บทที่ 436 เมื่ออสูรสมุทรบรรพกาลผงาด (2)
“วังครองกระบี่ไม่ใช่ที่ปลูกดอกไม้ และไม่ต้องการคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าคิดว่าจะใช้เสี้ยวความฉลาดนั่นทำตัวเกเรที่นี่…”
สวี่ชิงเห็นภาพนี้ ก็เข้าใจว่าตอนที่ข่งเสียงหลงมาส่งตัวนักโทษ คงถูกพบว่ากำลังทำเรื่องส่วนตัวอะไรบางอย่าง จนทำให้เจ้าวังตำหนิ เกรงว่าคงได้ไปอยู่ในห้องขังอีกแน่
‘ไยเจ้าวังจึงถึงจับจ้องแต่พี่ข่งเล่า’
สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็รู้ว่าเวลานี้อีกฝ่ายกำลังขุ่นเคือง จึงก้มหน้า เดินไปชั้นที่สิบ
แต่ไม่ทันลงบันได ข่งเสียงหลงก็ยอกย้อนอย่างหาได้ยาก
“ข้าไม่ได้ทำตัวเกเรนะขอรับ ข้าเสร็จภารกิจแล้ว ของในภารกิจข้าก็ได้มาแล้ว แค่ส่งกลับมาช้าสองวันเท่านั้น คนที่ถูกทำร้ายเหล่านั้นแต่ละคนก็ตกอยู่ในอันตราย แล้วจะให้ข้าทำเป็นมองไม่เห็นได้หรือ!”
“บังอาจ!” เจ้าวังแค่นเสียงเย็นชา เสียงนี้ดังครืนครันไปทั่วสารทิศราวสายอัสนี ทำให้ผู้คุมรอบๆ พากันตกตะลึง สวี่ชิงยังสูดลมหายใจลึก หันหน้ากลับไปมอง
เห็นแค่ข่งเสียงหลงเงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่ยินยอม แต่เจ้าวังทางนั้นกลับดูโมโหหนักขึ้นอย่างชัดเจน ในดวงตาแผ่ประกายเย็นเยียบออกมา
“ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ รู้จักเถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าหากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่สู้ไสหัวออกจากเมืองหลวงเขตปกครองไปเสีย หาที่เล็กๆ ที่จะได้เสพสุขกับความเป็นวีรบุรุษและเกียรติยศของเจ้า”
ข่งเสียงหลงร่างสั่นเทา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลง
“จำคำพูดแรกที่ข้าพูดตอนที่เจ้าเลื่อนขั้นเป็นผู้ครองกระบี่ได้หรือไม่” เจ้าวังมองข่งเสียงหลง ความน่าเกรงขามเปี่ยม
“เป็นผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนเป็นคมกระบี่ของเผ่ามนุษย์ ต้องเตรียมตัวพุ่งเข้าหาความตายเพื่อเผ่ามนุษย์อยู่ทุกชั่วขณะจิต” เมื่อข่งเสียงหลงได้ยิน ก็เอ่ยเสียงดัง
คำพูดนี้สวี่ชิงคุ้นเคยดี ตอนนั้นที่ชั้นแปดสิบเก้า ครั้งแรกที่ตนได้เจอเจ้าวัง ประโยคแรกที่อีกฝ่ายพูดก็คือเหล่านี้
เวลานี้คำพูดของเจ้าวังก็เข้มงวดขึ้น สะท้อนก้องต่อเนื่อง
“หวังว่าอนาคตของเจ้าคือดับสูญอยู่ในสนามรบของเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่ด้วยแผนการร้ายของพวกชั้นต่ำ!
“ด้วยนิสัยของเจ้า จะวางแผนร้ายกับเจ้าไม่ได้ยากเย็น ใครก็ได้ เอาตัวเขาไปขัง รอบนี้ขังไว้สองเดือน ระหว่างนี้ห้ามเข้าเยี่ยม!”
เจ้าวังสะบัดแขนเสื้อ หันหลังจากไป ตอนเดินผ่านสวี่ชิงก็ถลึงตา
“มองอะไรของเจ้า ความลับของติงหนึ่งสามสองน่ะหาเจอหรือยัง สัมผัสรับรู้ที่เขตปิ่งเสร็จแล้วหรือ ยังไม่รีบไปอีก!”
“ทราบ!” สวี่ชิงรีบก้มหน้า จ้ำอ้าวจากไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะจากไปเขายังมองข่งเสียงหลงผาดหนึ่ง พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองตนเช่นกัน ทั้งสองคนสบสายตา ต่างมีความจนใจอยู่ทั้งสิ้น
สวี่ชิงถอนสายตากลับมา รีบตรงไปยังชั้นที่เก้าสิบ ขณะที่กำลังทอดถอนใจกับความเข้มงวดของเจ้าวัง ดวงตาเขาก็ฉายแววครุ่นคิด
‘เจ้าวังรู้ว่าข้ากำลังสัมผัสรับรู้อยู่ด้วยหรือ’
สวี่ชิงเข้าใจว่าการเป็นเจ้าวัง ควบคุมทั้งกรมราชทัณฑ์ ล่วงรู้ว่าตนเองกำลังสัมผัสรับรู้อยู่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ทั้งกรมราชทัณฑ์ก็มีเรื่องมากมาย การที่ยังรู้การเคลื่อนไหวของตน บ่งบอกว่าเจ้าวังกำลังให้ความสำคัญกับตนอยู่
ขณะสวี่ชิงครุ่นคิด ก็มาถึงชั้นที่เก้าสิบอย่างรวดเร็ว เพิ่งเดินเข้าไปก็เห็นผู้อาวุโสมือผีกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นสวี่ชิงก็ยิ้ม
“ถูกเจ้าวังตำหนิมาล่ะสิ ข้าอยู่ที่นี่ยังได้ยินเสียงคำรามจากด้านบนเลย”
สวี่ชิงพยักหน้า รู้สึกหดหู่ ถูกตำหนิครั้งนี้ ถือเป็นการโดนหางเลขไปด้วย
“เจ้าวังเขาก็นิสัยเช่นนี้ เข้มงวดกับทุกคน กับตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้” มือผีโยนกาสุรามาให้ เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ยิ่งเขาดุด่า ก็อธิบายได้ว่าเขายิ่งสนใจเจ้า”
สวี่ชิงคิดถึงการคาดเดาของตนก่อนหน้านี้
“เจ้าวังไม่มีศิษย์ ทายาทก็สู้จนตัวตายหมด จึงเป็นห่วงผู้ครองกระบี่ที่มีคุณสมบัติเป็นอย่างมาก เจ้าเป็นเช่นนี่ ข่งเสียงหลงก็เช่นกัน”
มือผีทอดถอนใจ ดื่มสุราอึกหนึ่ง
“ทายาทของเขาสู้จนตัวตายไปแล้วหรือขอรับ” สวี่ชิงมองไปทางมือผี
“ใช่ เรื่องนี้หน้าใหม่ไม่รู้ พวกคนเก่าคนแก่ทั้งหลายรู้กัน เจ้าวังมีบุตรชายสองคน เป็นผู้ครองกระบี่ทั้งคู่ คุณสมบัติน่าตกตะลึง
“ทว่าคนหนึ่งตายระหว่างภารกิจแฝงตัวเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เป็นการฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้ถูกจับเป็น ส่วนอีกคนถูกวางแผนร้ายโดยพุ่งเป้ามาที่นิสัยจนตาย”
มือผีทอดถอนใจ ไม่พูดอะไรต่ออีก
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เงยหน้ามองชั้นแปดสิบเก้าด้านบนผาดหนึ่ง ครู่ต่อมาก็คารวะไปทางผู้อาวุโสมือผี เดินเข้าไปในภาพวาดฝาผนัง เข้าสู่โลกใบเล็ก
เขตสิบสามตะวันออกที่เขารับผิดชอบมีนักโทษที่เข้าเค้าอยู่สี่คน ถูกฟันมรรคาทิ้งไปแล้วทั้งสิ้น แต่สามวันก่อนหน้านี้สวี่ชิงยังเจอในเขตปิงอื่นอีก และใช้นักโทษในพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบบางส่วนแลกตัวกับคนที่เหมาะสมเหล่านั้นมา
ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาไฟ เงยหน้ามองท้องฟ้า จากเสียงฟ้าดินที่ครืนครัน ดาบสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ ตอนนี้เขาไม่ได้ร้อนรนเช่นตอนแรกอีกแล้ว แต่อยู่ในความสงบ จับจ้องเงียบๆ สัมผัสรับรู้เงียบๆ ประทับลงไปในจิตเทพเงียบๆ
แต่ละครั้งก็ก่อเงาร่างของดาบขึ้นในจิตเทพเขา
ทว่ากลับแตกสลายไปทุกครั้งเช่นกัน
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สวี่ชิงก็ยังคงยึดมั่น
จนผ่านไปอีกครึ่งเดือน ระหว่างที่เขาสัมผัสรับรู้แต่ละครั้ง ก็แลกกับการเหลือนักโทษต่างเผ่าเหล่านั้นอยู่ไม่กี่ตน
ตอนนี้ สวี่ชิงไม่ได้ใช้การทะลวงขั้นฝึกบำเพ็ญของนักโทษกระตุ้นดาบทัณฑ์สวรรค์แล้ว แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในสมองก็ระลึกถึงและสลักภาพลงไปอย่างต่อเนื่อง ยกมือขวาขึ้นหลายครั้ง ลอกเลียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในที่สุดในจิตเทพของเขาก็ปรากฏเงาดาบที่ไม่ถือว่ามั่นคงนักเล่มหนึ่งออกมา เขาดูแลอย่างระมัดระวัง ล้ำลึกขึ้นช้าๆ
ขั้นตอนนี้น่าเบื่อมาก ราวกับกำลังตีดาบคมที่ยอดเยี่ยมเล่มหนึ่ง
ประกายคมค่อยๆ ปรากฏ อันที่จริงเมื่อถึงจุดนี้ สวี่ชิงรู้ว่าตนทำให้สมบูรณ์ได้แล้ว
แต่เขาสัมผัสได้ว่าแม้พลานุภาพของดาบที่สัมผัสรับรู้มาตอนนี้จะน่าตกตะลึง แต่กลับไม่ได้ตัดวิถีอย่างที่จินตนาการไว้ แต่เป็นการฟาดฟันทั้งร่างกายและวิญญาณ
‘ไม่เหมือนกับที่คิดไว้…’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยังไม่ยอมจบ แต่ลอกเลียนเงาดาบในทะเลความรู้สึกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไป เขาอยากเห็นว่าหากสัมผัสรับรู้ต่อไปจะเป็นอย่างไร
เพียงแต่มีบางครั้ง หากไม่ถูกวิธี ใช้เวลาในการตีให้ขึ้นรูปไม่นานก็ดีกว่าทั่วไปแต่ไม่ได้โดดเด่น หากตีให้ขึ้นรูปนานเกินไป สิ่งที่ได้มาจะไม่ใช่ดาบคม แต่เป็นเศษเหล็ก
ดังนั้นผ่านไปอีกครึ่งเดือน จู่ๆ เขาที่มาสัมผัสรับรู้ที่นี่ทุกครั้งก็ใจสั่นสะท้าน ดาบที่เขาลอกเลียนในทะเลความรู้สึกแตกสลาย
และเนื่องจากฝังใจนานเกินไป เมื่อเงาดาบแตกสลาย ร่างสวี่ชิงก็สะท้านเฮือกอย่างรุนแรง กระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่
‘ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…’
สวี่ชิงหดหู่ รู้สึกไม่ยินยอม พึมพำเสียงต่ำ
ไม่ว่าจะดาบสะบั้นไพศาล หรือเงาเขาจักรพรรดิภูต เขาก็ไม่ได้รู้สึกยากลำบากเช่นนี้ ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่เขาสัมผัสรับรู้เป็นรูปร่างแล้ว แต่สุดท้ายไม่รู้เพราะเหตุใด จึงแตกสลายปอีกครั้ง
ราวกับ ดาบนั้นทิ้งเค้าโครงไว้ในจิตเทพได้ แต่หากจะประทับให้ลึกซึ้ง เขาทำไม่ได้
‘วิธีการข้าไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ’
สวี่ชิงครุ่นคิด หลับตาลงนั่งขัดสมาธิตรงนั้น ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ผ่านไปนาน เขาก็ปล่อยวางเรื่องการสัมผัสรับรู้ตัวดาบ แต่ย้อนระลึกถึงตอนที่นักโทษถูกฟันมรรคา ย้อนระลึกถึงภาพหลังจากที่ดาบนั้นฟาดลงมา รากฐานพังถล่มทีละฉาก
จากภาพที่ฉายต่อเนื่องในสมองเขา หลังจากผ่านครู่ใหญ่ จู่ๆ สวี่ชิงก็ร่างสะท้านเฮือก ลืมตาขึ้นฉับพลัน
‘ข้าทำไม่ถูกทาง!
‘ก่อนหน้านี้ที่ข้าสัมผัสรับรู้ทุกอย่าง ล้วนใช้วิธีก่อนหน้าทั้งสิ้น แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนใช้ร่างกายและจิตวิญญาณเป็นหลัก อย่างเช่นดาบสะบั้นไพศาล สิ่งที่ฟาดฟันคือร่างกาย ส่วนเขาจักรพรรดิภูตสะกดวิญญาณ
‘นั่นไม่ใช่การสัมผัสรับรู้ นั่นเป็นการคัดลอก และครั้งนี้สิ่งที่ต้องการคือการสัมผัสรับรู้ที่แท้จริง
‘เพราะกฎเกณฑ์ที่แปรมาจากดาบตัดวิถี มันไม่ใช่ดาบแห่งทัณฑ์สวรรค์ มันคือดาบแห่งวิถีสวรรค์!
‘เมื่อมองลึกลงไป มันเป็นการใช้กฎเกณฑ์ฟาดฟันไปที่พลังวิญญาณในร่างกายผู้บำเพ็ญ พลังวิญญาณจึงถูกผลกระทบในพริบตาที่ดาบนี้ฟาดลงไป ราวกับว่า…ไม่ได้เป็นของผู้บำเพ็ญอีก!
‘จุดสำคัญของดาบนี้ ไม่ใช่การฟาดฟัน แต่เป็นการทำให้ปราณวิญญาณของผู้บำเพ็ญปฏิเสธผู้บำเพ็ญ และแตกสลายเอง!
‘ดาบนี้ หรือวิถีนี้ ดูคล้ายกับ…ประกาศิตข้อหนึ่ง!’
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ดวงตาเผยประกายร้อนแรง
‘ประกาศิตที่สั่งให้ปราณวิญญาณปฏิเสธผู้บำเพ็ญเช่นนั้นหรือ
‘ทำได้อย่างไร’
สมองของเขามีคำตอบปรากฏขึ้นในพริบตา
ปราณวิญญาณคือคุณสมบัติดั้งเดิม เช่นนั้นหากมองปราณวิญญาณเป็นการมีอยู่ของไอพลังประหลาด เช่นนั้นปราณวิญญาณเป็นกลิ่นอายของใคร…
เมื่อสวี่ชิงคิดถึงวิถีสวรรค์ดั้งเดิมทั้งสี่นอกโลกใบเล็ก สายตาของพวกเขารวมกันเป็นตะวันจันทราแปรเป็นกฎเกณฑ์
“ปราณวิญญาณมาจากกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์มาจากวิถีสวรรค์?”
สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาเผยประกายประหลาด
นักโทษหลังจากถูกคุมขังที่โลกใบเล็กนี้ พวกเขาจะถูกโลกใบเล็กโจมตีและผสาน สุดท้ายก็จะหลอมรวมกับโลกใบนี้ ดังนั้นกฎเกณฑ์โลกใบเล็ก สามารถสลายพลังบำเพ็ญของพวกเขาได้
‘ดังนั้น ดาบนี้ คือวิถีสวรรค์ที่ใช้กฎเกณฑ์เป็นประกาศิต ฟาดฟันลงมา!
‘แล้ววิถีสวรรค์นั่นคืออะไร’
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด ครู่ต่อมาเขาก็สูดหายใจลึกยืนขึ้น เดินออกจากโลกใบเล็กมาแผ่นดินใหญ่ด้านนอก หยุดฝีเท้าท่ามกลางความว่างเปล่า ก้มหน้ามองวิถีสวรรค์ดั้งเดิมขนาดยักษ์ด้านนอกเปลือกแสงทั้งสี่
เขามองอย่างตั้งใจ อย่างละเอียด กระทั่งนั่งลงขัดสมาธิกลางอากาศ แผ่ประสาทสัมผัส ดำดิ่งลงไปทั้งกายใจ
เวลาไหลผ่านไป เจ็ดวันต่อมา สวี่ชิงก็รู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นมาทีละระลอก
‘วิถีสวรรค์ทั้งสี่นี้ ไม่ใช่วัตถุจริง แต่เป็นตัวตนที่เหมือนจะมีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต เหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย
‘ตัวตนเช่นนี้ ไม่มีเจตจำนงของตนเอง’
นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงสังเกตได้ ขณะเดียวกันในเจ็ดวันนี้ก็สอบถามจอมเซียนจื่อเสวียน ได้คำตอบมา
คำตอบนี้ ทำให้สวี่ชิงคิดถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
จากความเข้าใจของเขา ผู้แข็งแกร่งที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะสร้างดาบวิถีสวรรค์ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ เพียงแต่จุดนี้ทำได้ยากเหลือคนา
เพราะวิถีสวรรค์ของโลกใบเล็กใบนี้ เป็นสิ่งที่วังครองกระบี่ควบคุมไว้ จึงสามารถใช้ได้
แต่วิถีสวรรค์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ น่าจะไม่มีผู้ที่ควบคุมได้
และเมื่อไม่มีผู้ที่ควบคุมได้ วิถีสวรรค์จึงไม่มีจิตสำนึกของตน มีเพียงสัญชาตญาณที่แปรมาจากกฎเกณฑ์เท่านั้น
ตอนนี้ จู่ๆ สวี่ชิงก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือระดับสมบัติวิญญาณ
และเข้าใจว่าเพราะอะไรมือผีถึงพูดว่าระดับสมบัติวิญญาณต้องสัมผัสรับรู้วิถีสวรรค์ สมบัติลับในร่างกายต้องมีวิถีสวรรค์คอยสะกดไว้
นั่นเป็นเพราะ มีเพียงวิถีสวรรค์เท่านั้นที่จะแบกรับกฎเกณฑ์ได้ สามารถเข้าไปสั่งการกฎเกณฑ์ได้
ผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณ สามารถนำกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์ของร่างตน ใช้ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ แม้จะไม่ได้ยาวนานนัก แต่ก็ปรับเปลี่ยนได้ในเวลาสั้นๆ สร้างสภาวะที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดให้แก่ร่างกาย
คล้ายกับสภาวะแสงนภาของสร้างฐาน
หลังจากกระจ่างแจ้งสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงจึงเข้าใจดาบวิถีสวรรค์ลึกซึ้งขึ้น
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ตนจึงล้มเหลวมาตลอด
เพราะดาบนี้แฝงกฎเกณฑ์ไว้ และกฎเกณฑ์ก็มีเพียงสมบัติวิญญาณที่สามารถควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าใจสมบัติวิญญาณยังต้องอาศัยวิถีสวรรค์ในสมบัติเป็นพาหะอีกด้วย
เขาจึงล้มเหลว คัดลอกอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ
เขาขาดพาหะในการแบกรับกฎเกณฑ์!
‘เป็นเช่นนี้นี่เอง!’
สวี่ชิงกระจ่างแจ้งอย่างถ่องแท้
‘พาหะ…’
เขาคิดถึงลูกกลอนพิษต้องห้าม คิดถึงตะเกียงแห่งชีวิต คิดถึงวิชาระดับจักรพรรดิ คิดถึงพระจันทร์สีม่วง…
สุดท้าย เขาก็ต้องละทิ้งทั้งหมด
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุภายนอก
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด
นั่นก็คือ…อสูรสมุทรบรรพกาล
ดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล!
‘วิถีสวรรค์ในสมบัติลับของข้าในอนาคต!’
นี่ถึงจะเป็นวัตถุที่สร้างขึ้นจากตัวเขาเองอย่างแท้จริง!
สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกาย