บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1438 กระแสน้ำวนแห่งกาลเวลา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1438 กระแสน้ำวนแห่งกาลเวลา

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน คิมหันต์ผ่านพ้น สารทฤดูเดินทางมาถึง ใบไม้หวีดหวิวปลิดปลิวลงพื้น ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยภาพแห่งความเหี่ยวแห้ง

เฉินซียังคงมุ่งหน้าต่ออย่างไม่คิดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไร้ความลังเลใด ยามเมื่อพ้นสารทฤดูเข้าถึงยามเหมันต์จึงได้หยุด

พอหันกลับมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนผันไปทันใด

ยังคงเป็นภาพต้นท้อผลิดอกบานสะพรั่ง พืชพันธุ์รอบข้างสีเขียวขจี แสงอาทิตย์สาดส่องและสายลมอันอบอุ่นชวนเบิกบานใจ ตอนนี้เข้าวสันตฤดูอีกครั้ง

ทว่าสถานที่ซึ่งเฉินซียืนอยู่ น่าตกใจนักที่มันเป็นจุดเดียวกับที่เข้ามายังดินแดนกาลเวลา ไม่ว่ามองไปทางใดก็เป็นภาพฤดูใบไม้ผลิอันงดงามตา ราวกับเพิ่งเห็นเมื่อไม่นานนี้เอง

ในขณะที่ข้าเอาแต่มุ่งหน้าเดินต่อ กาลเวลาก็ไม่เคยหยุดหมุน พอหันกลับมาอีกที รอบกายก็กลับคืนสู่จุดเริ่มต้นแล้ว… กาลเวลาผันเปลี่ยนเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดอย่างแท้จริง เฉินซีมองมันด้วยสายตาว่างเปล่าอยู่เนิ่นนาน ภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยนจากใบไม้ผลิเป็นฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวอย่างรวดเร็ว มันเปลี่ยนผันไปไม่หยุดยั้ง ซ้อนทับกันไม่มีที่สิ้นสุด

ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นระหว่างวันและคืน แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์รอบกาย หากไม่เต็มไปด้วยพลังชีวิตท่วมท้นจนถึงขีดสุด ก็เป็นเสียงกรอบแกรบและความเหี่ยวเฉา หรือไม่ก็เป็นความเงียบงันและอ้างว้าง…

ดอกท้อผลิบาน ดอกบัวหน้าร้อนผลิดอก ใบไม้ปลิดปลิวยามฤดูใบไม้ร่วง พืชพันธุ์เหี่ยวเฉาในฤดูหนาว… ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยกระแสแห่งกาลเวลา

เมื่อครั้งยุคโบราณยังมีคำกล่าวอยู่ว่า ความงามเลือนหายในพริบตา

ในใจเฉินซีตอนนี้ ฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน วันคืนที่หมุนเปลี่ยน การเติบโตและเหี่ยวเฉาของทุกสรรพสิ่ง และห้วงกาลเวลาทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาภายในใจของเขา

จากนั้นชายหนุ่มก็หลับตาลงและเข้าสู่ห้วงความคิดอันลึกซึ้ง ปลดปล่อยจิตใจ ให้มันล่องลอยไปกับความเปลี่ยนแปลงที่สองตาได้เห็น สัมผัสถึงกระแสแห่งกาลเวลาท่วมท้นอยู่รอบกาย

กาลเวลาอยู่แห่งหนใดกันแน่?

มันอยู่ทุกแห่งหน!

เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเปลี่ยนแปลงในทุกสรรพสิ่ง การเติบโตและแห้งเหี่ยวเฉาไป… ทุกสิ่งอย่างอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลา

ดังนั้นหากยังสัมผัสไม่ได้ก็ยังไม่จำเป็น ทว่าจิตใจไม่อาจหยั่งถึง ต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้

หากแต่เฉินซีก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจ เพราะการรู้แจ้งถึงเต๋านั้นจำต้องมีความหยั่งรู้

ความหยั่งรู้คือการใช้ใจสัมผัส

พูดให้ง่ายกว่าเดิม การรู้แจ้งถึงเต๋าเป็นการรับรู้ที่เรามีต่อเต๋า หากใจเราสัมผัสรู้ถึงมันได้ เช่นนั้นเต๋าก็สถิตอยู่ในเรา ก็คือความหยั่งรู้เข้าใจ

ดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีค่อย ๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ในใจใสกระจ่างมีสมาธิ ทั่วทั้งห้วงจิตและร่างกายดื่มด่ำไปกับการค้นหากระแสแห่งกาลเวลา

ฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งรอบกายคล้ายกับหยุดนิ่ง

พร้อมกันนั้น เฉินซีก็ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ถึงขั้นที่ลืมกาลเวลาและลืมตัวตน

ท่ามกลางสภาวะลึกล้ำอันแปลกประหลาดนี้ ร่างกายพลันตกลงสู่ห้วงลึกแห่งกาลเวลา จิตใจ ความแข็งแกร่ง จิตวิญญาณ พลัง แก่นพลัง และชีวิต… ทุกอย่างกำลังถูกชะล้างไปอย่างรวดเร็ว!

ตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ ยอดฝีมือมากมายทำความเข้าใจกาลเวลาแต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาจนแก่เฒ่า ร่างกลายเป็นผุยผง

นั่นก็เพราะกาลเวลาคือพลังสูงสุดของเต๋าแห่งสวรรค์ หากสัมผัสมันแล้วไม่อาจทำความเข้าใจได้ ก็จะถูกพลังตีกลับ ถือเป็นพลังที่อันตรายยิ่ง

เฉินซีรู้แจ้งถึงเหตุการณ์ทุกอย่างนับตั้งแต่ที่สัมผัสกระแสพลังแห่งกาลเวลาได้ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจถอยหลังกลับได้แล้ว

เบื้องหน้าคือก้นบึ้งห้วงเวลา หากทำความเข้าใจมันได้ เขาก็จะได้มหาเต๋าแห่งเวลา แต่หากทำไม่สำเร็จ อายุขัยและชีวิตก็จะถูกกาลเวลาพาหายไป…

หรือก็คือ เฉินซีไต่ถึงพลังแห่งกาลเวลา และเพิ่งได้เริ่มทำความเข้าใจเท่านั้น!

นอกดินแดนกาลเวลา

หัวเจี้ยนคงยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาลึกล้ำคล้ายกับสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างภายในดินแดนกาลเวลาได้

จังหวะที่เฉินซีเริ่มสัมผัสพลังแห่งกาลเวลา เขาก็หรี่ตาลง ก่อนแสงสีทองพลันเรืองออกมา “ช่างเป็นทักษะการทำความเข้าใจที่น่าตกใจยิ่ง!”

ทว่าหัวเจี้ยนคงก็รู้สึกกังวลภายในใจ

สำหรับตนที่ทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาได้นานแล้ว ย่อมรู้ดีว่าเฉินซีเพิ่งจะเริ่มทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาเท่านั้น กระบวนการนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

เพราะนี่คืออำนาจแห่งกาลเวลา!

สามารถทำให้คนจากแข็งแรงมีกำลังวังชากลายเป็นไร้เรี่ยวแรงได้ในทันใด ทำให้อายุขัยเหือดแห้งหายไปจนสิ้นลม แต่ก็ทำให้สามารถย้อนกลับคืนวันวาน สูญเสียทุกอย่างที่เคยมีในวันนี้ไปได้เช่นกัน!

หรือก็คือ กาลเวลานั้นน่าหวาดกลัว เพราะมันสามารถขยับขยายไปได้อย่างไร้ขอบเขต สามารถทำให้พลังชีวิตของเซียนเหือดแห้ง และหากย้อนรอยพลังไป ก็สามารถเปลี่ยนให้ยอดฝีมือกลายเป็นเด็กทารกอีกครั้ง!

มันคือพลังอันน่ากลัวสองอย่าง เรียกว่า ‘ห้วงเวลาไร้ขอบเขต’ และ ‘การย้อนเวลา’

ยกตัวอย่างเช่น ราชันเซียนแค่คิดเพียงคราเดียวก็สามารถดูดพลังชีวิตออกจากร่างคนคนหนึ่งได้ในพริบตา ทั้งยังทำให้สามารถกลับสู่เมื่อครั้งยังเป็นทารกได้ด้วย ทว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้พลังที่เคยมีหายไปสิ้น คล้ายกับยอดฝีมือที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดกลับคืนสู่ก้าวแรกแห่งเส้นทางมหาเต๋า!

และนี่คือความน่ากลัวของพลังแห่งกาลเวลา

ทว่าหากสองราชันเซียนเข้าห้ำหั่นกัน หากทั้งคู่มีพลังแห่งกาลเวลา ก็จะไม่มีฝ่ายใดต้องลงเอยด้วยชะตากรรมเช่นนั้น

“เขาไม่ธรรมดาจริง ๆ ใช้เวลาไม่กี่วันแต่กลับแตะพลังแห่งกาลเวลาได้แล้ว” แม้หัวเจี้ยนคงจะยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงอันอบอุ่นก็ดังก้องที่ข้างหู เขารีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เหมิงซิงเหอ ปรากฏกายอยู่ด้านข้าง

“ท่านอาจารย์” หัวเจี้ยนคงป้องมือคำนับ

เหมิงซิงเหอยังคงเป็นเหมือนเคย ใบหน้าอ่อนเยาว์เหมือนชายหนุ่ม แต่นัยน์ตากลับเคล้าด้วยกลิ่นอายมากประสบการณ์ ทั่วร่างให้ความรู้สึกเหมือนเป็นท้องฟ้าพร่างดาว เพียงยืนเฉย ๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเคารพได้แล้ว

“เจี้ยนคง เจ้าคิดว่าเฉินซีจะใช้เวลาในการทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลานานเท่าไร?” เหมิงซิงเหอยิ้มถาม

หัวเจี้ยนคงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ข้าไม่อาจมั่นใจ”

เขาไม่กล้าคาดเดาไปเรื่อย เพราะจากความเข้าใจที่พึ่งได้มาช่วงนี้ กฎเกณฑ์ใด ๆ ก็ไม่สามารถใช้ตัดสินเฉินซีได้จริง ๆ

คนผู้นี้แปลกประหลาดเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็เกินคาดอยู่เสมอ เช่นนี้แล้วหัวเจี้ยนคงจะกล้าเดาสุ่มได้อย่างไร?

เหมิงซิงเหอยิ้มให้ เหมือนเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย “เดิมทีข้าคิดจะไปพบเขาหลังจากเขาทำความเข้าใจมรดกจักรพรรดิเต๋าได้สมบูรณ์แล้ว น่าเสียดายที่เวลาเหลือน้อยเต็มที ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าเสียก่อน”

หัวเจี้ยนคงตกตะลึงอยู่ในใจ ไม่เหลือเวลา? หรือกำลังจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นในสามภพอีกแล้ว?

ทว่าเหมิงซิงเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงสั่งไว้ว่า “ไม่ว่าเฉินซีจะสามารถขึ้นสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นภายในเวลาร้อยปีได้หรือไม่ เจ้าต้องพาเขามาหาข้า”

พูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป

หัวเจี้ยนคงกลับนิ่งอึ้งไป ภายในเวลาร้อยปีหรือ? ทำไมกัน? หรืออีกร้อยปีจะเกิดกลียุคแห่งสามภพขึ้นก่อนเวลา?

เมื่อคิดถึงจุดนี้เขาก็หรี่ตาลง

ดินแดนกาลเวลา

พลังห้วงเวลาไร้รูปโอบกายเฉินซีไว้ พลังชีวิตและอายุขัยคล้ายล่วงผ่านไปนับพันปี

ผมยาวร่วงหล่นลงสู่พื้น มันยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเริ่มมีอายุคล้ายผ่านประสบการณ์มาโชกโชน ในฐานะเซียนปราชญ์ เขาสามารถคงรูปกายให้เยาว์วัยอยู่ตลอดเวลาได้ แต่ไม่สามารถปกปิดอายุขัยที่สั้นลงได้

เรือนผมจากสีดำกลายเป็นสีดอกเลา จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว…

ผิวเริ่มปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าเองก็เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านร่างกายของเขาในชั่วขณะนั้น มันพัดพาเอาพลังชีวิตออกไปอย่างรวดเร็ว

ว่ากันว่าเซียนนั้นมีอายุขัยยาวนานเท่าฟ้า แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อมตะ อย่างไรก็มีจุดสิ้นสุด แม้เฉินซีจะพึ่งทำการบ่มเพาะพลังมาไม่ถึงพันปี แต่อยู่เพียงขอบเขตเซียนปราชญ์ก็ทำให้มีอายุขัยยืนยาวได้หลายแสนไปจนถึงหลายล้านปีได้แล้ว

แต่หากอายุขัยยังคงลดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ต่อไป ไม่นานคงได้หมดลงภายในชั่วระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีเป็นแน่ สุดท้ายเขาก็จะมอดม้วยมรณาไป!

พลังแห่งกาลเวลาจึงน่ากลัวยิ่ง

หากเฉินซีไม่อาจเข้าถึงความลึกล้ำของมันได้ เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้

แต่เฉินซีเหมือนไม่ได้รับรู้อะไรเลย

พลังแห่งกาลเวลาพลุ่งพล่าน ผมขาวสะบัดพลิ้ว ใบหน้าแก่ชรา ดูเหมือนรูปปั้นที่ถูกสายลมกัดกร่อน เขานั่งทำสมาธิอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่กลับไม่อาจต้านทานพลังทำลายล้างของกาลเวลาได้

เท่านั้นเวลาก็ผ่านไปแล้วยี่สิบปี

เวลายี่สิบปีก็เหมือนดีดนิ้วคราวหนึ่งสำหรับเซียนธรรมดา ทว่าเฉินซีที่กำลังทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลานี้ เวลาชั่วดีดนิ้วก็ทำให้อายุขัยของเขาหายไปเกือบครึ่ง!

ตอนนี้ผมเขาขาวโพลนเต็มหัว ใบหน้ายังเหลือเค้าความหล่อเหลา แต่เพิ่มชั้นความมากประสบการณ์ขึ้นมาอีก หากใครที่คุ้นหน้าคุ้นตาเฉินซีมาเห็นจังหวะนี้ คงไม่เชื่อสายตาตนเป็นแน่

แต่ถึงเวลาจะผ่านไปแล้วยี่สิบปี เฉินซีก็เหมือนไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองเลย ยังคงทำความเข้าใจอย่างเงียบเชียบ

“ผ่านไปแล้วยี่สิบปี เหตุใดจึงไร้การเคลื่อนไหวเล่า?” ภายนอกดินแดนกาลเวลา หัวเจี้ยนคงมุ่นคิ้ว เขาจำตอนที่ทำความเข้าใจกฎแห่งเวลาเมื่อหลายปีก่อนได้ เขาใช้เวลาไปเพียงสิบปีในการทำความเข้าใจกระแสพลังแห่งกาลเวลา ‘ชั้นห้วงเวลา’

แม้ชั้นห้วงเวลาจะเป็นเพียงแขนงหนึ่งของมหาเต๋าแห่งเวลา แต่ก็เหมือนกับเงาแห่งกาลเวลาของอวิ๋นฝูเซิง มันไม่ใช่มหาเต๋าแห่งเวลาที่สมบูรณ์ แต่ก็นับว่าเป็นการก้าวถึงมหาเต๋าแห่งเวลาได้แล้ว

ทว่าเฉินซีกลับใช้เวลาถึงยี่สิบปี แต่ยังคงนิ่งสงบจนถึงตอนนี้ จึงทำให้หัวเจี้ยนคงรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง

เพราะเท่าที่เขาเข้าใจ เฉินซีเป็นยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่กลับพบเจอปัญหาขณะทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลา ดูแล้วไร้ความคืบหน้า ดังนั้นหัวเจี้ยนคงจึงรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง

“หรือเขาจะใจร้อนเกินไป?” หัวเจี้ยนคงมุ่นคิ้วแน่น เขารู้ดีว่าเฉินซีเพิ่งขึ้นขอบเขตเซียนปราชญ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน เพิ่งสร้างกฎแห่งปราชญ์เต๋าของตน ก่อนที่จะมาทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาเช่นนี้

หากเป็นเซียนปราชญ์ธรรมดาก็คงไม่รีบขึ้นขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นหรอก แต่เฉินซีกลับทำเช่นนั้น

พอลองคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว หัวเจี้ยนคงจะรู้สึกสงสัยว่า เฉินซีเลือกทำความเข้าใจพลังแห่งกาลเวลาเร็วเช่นนี้เป็นเรื่องถูกหรือผิดกันแน่

“หือ?” เป็นตอนนั้นเองที่หัวเจี้ยนคงหรี่นัยน์ตาลง ตกใจที่สัมผัสได้ว่า เฉินซีภายในดินแดนกาลเวลานั้นกำลังถูกโอบล้อมไปด้วยกระแสน้ำวนแห่งกาลเวลาไร้รูป!

มันไร้รูป แต่เต็มไปด้วยความลึกล้ำแห่งกาลเวลา ยามหมุนตัวก็เผยแสงงดงามใสดั่งแก้ว มันคือกระแสแห่งเวลาที่คล้ายว่าจะสามารถจับต้องได้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท