บทที่ 549 เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเกิ่ง
หวังจื่อหมิงทราบถึงความมั่นใจของอีกฝ่ายเช่นกัน หากเป็นคนอื่นเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเขาคงไม่เชื่อ กระทั่งคิดว่ากำลังพูดจาไร้สาระ แต่คนที่กล่าวออกมาในเวลานี้คืออู๋ฝาน จิตใต้สำนึกของตนจึงตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อทันที
“ก็ได้ ขอแค่เตรียมพร้อมอยู่เสมอก็พอ” หวังจื่อหมิงตอบกลับ
“พี่หวัง ผมมีเรื่องอยากรบกวนหน่อยครับ” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรล่ะ?” หวังจื่อหมิงตอบรับ
“เมื่อวานเกิ่งหย่าเฟยโทรมาหาผมครับ น้ำเสียงดูแปลก ๆ ผมสงสัยว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่จะถามยังไงเธอก็ไม่ยอมปริปากพูดออกมา พี่หวังพอจะช่วยตรวจสอบให้ได้ไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ได้เลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หวังจื่อหมิงรับคำ
“รบกวนพี่หวังแล้วครับ” อู๋ฝานตอบ
“มากมารยาททำไมกัน หย่าเฟยก็เป็นเพื่อนฉันคนหนึ่ง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ ฉันเองก็ต้องกังวลด้วย” หวังจื่อหมิงตอบรับ
หลังวางสายจากหวังจื่อหมิง อู๋ฝานก็กลับไปชี้แนะพวกลู่หรงฮวาต่อ ตอนนี้ทุกคนอยู่ระหว่างการเรียนรู้ ยังจำเป็นต้องให้เขาคอยเฝ้ามองและชี้แนะส่วนที่ยังขาดตกในทุกวัน เมื่อไหร่ที่ฝีมือของพวกเขาสุกงอมกันอย่างเต็มที่ เมื่อนั้นตนก็คงไม่ต้องคอยชี้แนะอีก
จนกระทั่งผ่านไปเกือบสิบนาที โทรศัพท์ของอู๋ฝานก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสายจากหวังจื่อหมิงเช่นเดิม
คล้ายว่าหวังจื่อหมิงจะไปตรวจสอบสถานการณ์ของเกิ่งหย่าเฟยมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นอู๋ฝานจึงรีบรับสาย
“อู๋ฝาน เกิดเรื่องแล้ว!” เสียงของหวังจื่อหมิงดังมาด้วยความเคร่งเครียดยิ่งกว่าการโทรครั้งก่อน “เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเกิ่ง!”
“เรื่องเป็นมายังไงครับ?” อู๋ฝานรีบถาม
หวังจื่อหมิงเล่าสถานการณ์ที่สืบทราบออกมาให้ฟัง
“หุ้นส่วนคนอื่นของบริษัทตระกูลเกิ่งรวมตัวกันกดดันพ่อของเกิ่งหย่าเฟยให้ถอนตัวออกจากตำแหน่ง” หวังจื่อหมิงเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “และพ่อของหย่าเฟยก็ตอบรับไปแล้วด้วย”
“สารเลว!” อู๋ฝานสบถออกมาเสียงเบา
ช่วงที่เกิ่งหย่าเฟยมาใช้บริการร้านโลกในแหวนเพื่อแสดงการสนับสนุน อู๋ฝานก็กังวลอยู่ว่าวังเมฆาสีชาดอาจคิดลงมือ แต่ไม่คาดว่าความกังวลของเขาจะกลายเป็นจริงซะแล้ว
“นายคิดจะทำอะไร?” หวังจื่อหมิงถามกลับ
“หยุดการสละตำแหน่งของพ่อเกิ่งหย่าเฟยครับ!” อู๋ฝานตอบกลับ
“นายคิดวิธีคลี่คลายปัญหานี้ออกแล้วเหรอ?” หวังจื่อหมิงเอ่ยถาม
แม้อู๋ฝานจะสังหารจานเฮ่อ แต่วังเมฆาสีชาดก็ยังคงอยู่ บรรดาลูกค้าและผู้ผลิตที่ร่วมมือกับบริษัทของตระกูลเกิ่งยังไม่กล้าขัดขืนวังเมฆาสีชาดอยู่ดี
“ยังคิดไม่ออกครับ แต่ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นไม่ได้!” อู๋ฝานตอบกลับ
เรื่องนี้เริ่มต้นมาจากเขา ดังนั้นเมื่อทราบเรื่องแล้วตนจึงไม่อาจนิ่งเฉยและมองข้ามไปได้
“อืม” หวังจื่อหมิงตอบรับ “ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ ก็บอกมาแล้วกัน”
“ขอบคุณพี่หวังครับ” อู๋ฝานตอบรับ
ชายหนุ่มไม่ต้องการให้หวังจื่อหมิงถลำลึกเข้ามาด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเกิ่งได้ย้ำเตือนเขาว่า วังเมฆาสีชาดไม่ใช่คนดีแม้แต่น้อย หากอีกฝ่ายยังถลำลึกเข้ามาช่วยเหลือมากกว่านี้จะเป็นการทำร้ายตัวเอง แม้ตระกูลหวังจะมีอำนาจไม่น้อย แต่อู๋ฝานก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เพื่อนเพราะตนเองไปมากกว่านี้
หลังทราบที่อยู่บริษัทเกิ่งจากหวังจื่อหมิง เขาก็ขอตัวจากเจ้าหย้าหนาน ก่อนจะพาสองพี่น้องเหมยอวี่กับเหมยเสวี่ยไปยังบริษัทเกิ่ง
แต่ระหว่างทาง รถของอู๋ฝานกลับถูกรถสองคันขัดขวางจนต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน
อู๋ฝานขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาจากการกระทำของรถทั้งสองคัน เห็นได้ชัดว่าตั้งใจทำโดยเจตนา และมีเป้าหมายเป็นเขาตั้งแต่แรกแล้ว
รถของอู๋ฝานมีเอกลักษณ์ตัว เพราะความโดดเด่นทางด้านรูปลักษณ์และดีไซน์ ทั่วทั้งเจียงโจวไม่มีรถคันไหนเหมือน ดังนั้นหากต้องการระบุจำแนกก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด
คนราวห้าถึงหกคนลงมาจากรถทั้งสองคัน หนึ่งในนั้นเป็นชายชราในชุดคลุม ส่วนที่เหลือเป็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบ แค่เห็นคนกลุ่มนี้เขาก็ทราบตัวตนของอีกฝ่ายได้แทบจะในทันที
วังเมฆาสีชาด!
เสื้อผ้าที่กลุ่มคนหนุ่มใส่เหมือนกับของศิษย์สองคนจากวังเมฆาสีชาดที่บุกมาลงมือเมื่อคืน อู๋ฝานคาดว่าอีกฝ่ายจะต้องมาอยู่ตรงหน้าตนอีกครั้ง แต่ก็ไม่นึกว่าจะเร็วถึงขนาดนี้
ทั้งอู๋ฝาน เหมยอวี่ และเหมยเสวี่ยต่างลงจากรถ ขณะกลุ่มคนเดินตรงมาหาเหมือนดังที่คิดเอาไว้
“แกคืออู๋ฝาน?” ชายชราที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนเอ่ยคำถาม สายตาจ้องมองมาประหนึ่งมีเพลิงลุกโชน
ออร่าของชายชราแข็งแกร่งยิ่งกว่าจานเฮ่อ ดวงตาคมกล้านั้นจับจ้องอู๋ฝานราวกับคิดจะกินเลือดกินเนื้อ
“ฉันเอง” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
“รู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็นใคร?” ชายชรายังคงเอ่ยถาม
“ก็รู้อยู่” อีกฝ่ายมาเยือนถึงหน้าประตูขนาดนี้ อู๋ฝานไม่มีทีท่าคิดเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“งั้นก็ดี เจ้าฆ่าจานเฮ่อและศิษย์ทั้งสองคนของเราใช่ไหม?” ดวงตาของชายชราคมกล้า ราวกับต้องการมองให้เห็นถึงความคิดของอู๋ฝาน
ชายชราสนใจเพียงความตายของคนจากวังเมฆาสีชาดเท่านั้น ส่วนหวงถิงเฟิงนั้นไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง
“ถ้าบอกว่าไม่ก็จะเชื่องั้นเหรอ?” อู๋ฝานถามกลับ
“ไม่เชื่อ!” ชายชราคำรามตอบ
“งั้นก็เท่านั้น” อู๋ฝานตอบ “ก่อนจะถามก็ปักใจเชื่อไปแล้ว งั้นยังจะถามให้เสียเวลาไปทำไมอีก?”
ชายชรามองอู๋ฝานด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “แกรู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาหากต่อต้านวังเมฆาสีชาดของพวกเราแล้วจะเป็นยังไง?”
“เหมือนทางฝั่งนั้นเองก็มีเรื่องที่ควรต้องทำความเข้าใจใหม่นะ” อู๋ฝานตอบกลับ “ฉันคนนี้ทำการค้าอย่างสง่าผ่าเผย แต่เป็นคนของวังเมฆาสีชาดต่างหากที่มาก่อกวนทำให้น้ำขุ่น จะบอกว่าฉันคนนี้ควรต้องอดกลั้นคอยดูคนอื่นมาสร้างปัญหางั้นเหรอ?”
ชายชราจ้องอู๋ฝานอยู่นานก่อนจะตอบกลับ “ดี ตอบได้ดี! คำพูดของแกวันนี้มีราคาที่จะต้องชดใช้!”
สิ้นคำกล่าว ชายชราก็หันกลับและจากไป แม้ไม่มีหลักฐานพิสูจน์เรื่องที่อู๋ฝานกระทำ แต่ชายชราปักใจเชื่อไปแล้ว ผู้ต้องสงสัยที่น่ารังเกียจ และสร้างความเสื่อมเสียให้แก่วังเมฆาสีชาดมีชะตาที่จะต้องตาย!
แต่ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมาย ดังนั้นชายชราจึงเลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ก่อน อีกทั้งเขาเพิ่งจะมาถึงที่นี่ จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับรายละเอียดให้ถี่ถ้วนซะก่อน
อู๋ฝานมองอีกฝ่ายเดินกลับ ในใจทราบดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมจบเพียงเท่านี้
‘วังเมฆาสีชาดก็เหลือเกิน’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ หากเรื่องราวยังเป็นแบบนี้ต่อไป ร้านโลกในแหวนของเขาจะยังเปิดต่อได้ไหมนะ?
ดังนั้นเรื่องนี้จึงจำเป็นต้องคลี่คลายให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด
หลังกลุ่มคนจากวังเมฆาสีชาดกลับกันไป อู๋ฝานจึงขับรถไปยังบริษัทของตระกูลเกิ่ง
ตอนนี้ที่บริษัทเกิ่งหย่าเฟยอยู่ข้าง ๆ พ่อของเธอด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
แม้พ่อของเธอจะปลอบมาทั้งคืนแล้ว แต่เกิ่งหย่าเฟยก็ยังคงรู้สึกผิด เมื่อต้องมาเห็นบริษัทที่พ่อของตนเองฟูมฟักมานานแทบจะทั้งชีวิต สุดท้ายกลับต้องยกให้คนอื่น
หากเทียบกับความโศกของเกิ่งหย่าเฟยแล้ว สีหน้าท่าทีพ่อของหลี่ปิงในเวลานี้กำลังยิ้มแย้มเบิกบาน สายตาที่มองดูพ่อลูกตระกูลเกิ่งประหนึ่งคนที่ได้รับชัยชนะแล้ว