ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 538 งานมงคลใกล้เข้ามา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 538 งานมงคลใกล้เข้ามา

จินซาในต้นเดือนแปด เป็นช่วงที่ร้อนจนทำให้ผู้คนว้าวุ่นใจ กินอาหารไม่ลง ต้นหลิวซึ่งถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนเริ่มเหี่ยวทิ้งตัวลงอย่างไร้ชีวิตชีวา

คุณชายสามเซิ่งที่ไม่มีชีวิตชีวาเช่นกันเตรียมตัวออกไปข้างนอกก็พบกับคนเฝ้าประตูเข้าไปส่งจดหมายด้านใน

“จดหมายจากที่ไหนหรือ” คุณชายสามเซิ่งเอ่ยถามประโยคหนึ่ง

“เรียนคุณชายสาม เป็นจดหมายจากจวนลั่วในเมืองหลวงขอรับ”

เมืองหลวง? จวนลั่วหรือ

คุณชายสามเซิ่งชะงักฝีเท้าทันทีแล้วยื่นมือออกไป “เอาจดหมายมาให้ข้า ข้าจะเข้าไปส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอง”

คนเฝ้าประตูมอบจดหมายให้คุณชายสามเซิ่ง

คุณชายสามเซิ่งยกเท้าวิ่งเข้าไปข้างใน วิ่งไปก็ตะโกนไปว่า “ท่านย่า น้องลั่วส่งจดหมายมาขอรับ!”

ตอนนี้น้องชายเป็นฮ่องเต้ ในเมื่อเป็นจดหมายจากจวนลั่ว เช่นนั้นต้องเป็นของน้องลั่วแน่นอน

เมื่อนึกถึงน้องลั่ว คุณชายสามเซิ่งก็เจ็บปวดใจ

เขาไม่ได้พบน้องหญิงนานแค่ไหนแล้ว ไม่ได้กินอาหารที่น้องหญิงกับอาซิ่วทำนานเพียงใด นับตั้งแต่กลับมา นี่เป็นการใช้ชีวิตของมนุษย์หรือ

ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกำลังกินอาหารเช้า

หมั่นโถวไหมเงินม้วน โจ๊กข้าวเหนียว กับเครื่องเคียงที่กินแล้วสดชื่นอีกสองสามอย่าง

เป็นช่วงเวลาที่กำลังกินปูพอดี แต่ครั้งนั้นได้ยินหลานชายคนที่สามเอ่ยถึงเรื่องฮูหยินอันกั๋วกงในเมืองหลวงกินเกี๊ยวปูแต่เช้าแล้วติดคอตาย เกี๊ยวปูนี่ก็ไม่อาจกินได้แล้ว

ไร้รสชาติจริงๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกินยำแตงกวาคำหนึ่งแล้วถอนหายใจเงียบๆ

“ท่านย่า น้องลั่วส่งจดหมายมาแล้วขอรับ!” คุณชายสามเซิ่งวิ่งเข้ามา

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งนัยน์ตาเปล่งประกาย “จดหมายน้องลั่วเจ้าหรือ รีบเอามาเร็วเข้า”

รับจดหมายมาแล้วก็กวาดตามองซองจดหมายแวบหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าเล็กน้อย “นี่คือจดหมายลุงเขยเจ้า”

นางเอ่ยเช่นนี้ พอเปิดจดหมายอ่านก็ตะลึงค้างไปทันที

คุณชายสามเซิ่งรอจนร้อนใจ “ท่านย่า จดหมายกล่าวว่าอะไรหรือขอรับ”

คงไม่ได้เรียกเขากลับไปหรอกนะ?

นับตั้งแต่ท่านพ่อพาพวกเขาสามพี่น้องออกจากเมืองหลวงมา ใต้หล้าก็วุ่นวายทันที จนกระทั่งปีที่แล้ว น้องชายได้เป็นฮ่องเต้ ญาติผู้พี่ทั้งสองคนรั้งตัวอยู่ในจวนถึงได้มีคนคุ้มครองไปเมืองหลวง

แต่ผู้อาวุโสบอกแล้วว่า ทุกแห่งยังคงวุ่นวาย พี่ใหญ่กับพี่รองมีตำแหน่งขุนนางติดตัว เข้าเมืองหลวงจึงเป็นเรื่องสมควร ส่วนเขารั้งอยู่ที่จวนอย่างว่าง่าย อย่าได้ไปก่อความวุ่นวาย

นี่ไม่ใช่ดูถูกเขาที่ไม่ได้ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือในตอนแรกหรอกหรือ!

“ท่านย่า?”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งได้สติคืนมา มองหลานชายคนที่สามด้วยแววตาซับซ้อนเล็กน้อย “ลุงเขยเจ้าบอกว่า…น้องลั่วเจ้าจะแต่งงานหลังซวงเจี้ยง[1]แล้ว!”

“อะไรนะขอรับ น้องลั่วถึงกับแต่งออกแล้วหรือ” คุณชายสามเซิ่งส่งเสียงร้องตะลึง เมื่อได้ยินเหล่าสาวใช้ปิดปากหัวเราะ ถึงได้ใจเย็นลง “แค่กๆ ความหมายของข้าคือ ทำไมถึงเร็วเช่นนี้…เจ้าบ่าวคือตระกูลไหนหรือขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง “เป็นไคหยางอ๋อง”

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ตอนนั้นที่หลานสาวถึงผ้าคาดเอวของไคหยางอ๋องยังดึงวาสนาในการแต่งงานมาด้วย

ไคหยางอ๋องน่าจะถูกฝีมือการทำอาหารที่ล้ำเลิศของหลานสาวนางจับเอาไว้สินะ?

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งนึกถึงหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงชามนั้นแล้ว ในใจก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกปลง

ได้ยินว่าเป็นไคหยางอ๋อง คุณชายสามเซิ่งกลับไม่ตะลึงแล้วและถามเรื่องที่ห่วงใยที่สุดขึ้นมา “ลุงเขยเชิญพวกเราเข้าเมืองหลวงไปร่วมงานแต่งงานน้องลั่วหรือขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งพยักหน้านิ่งๆ “อืม”

แต่ไม่ได้ตั้งใจกล่าวว่าไม่ให้นางไปนี่

ได้ยินซานหลังเล่าว่าเซิงเอ๋อร์เปิดหอสุราแห่งหนึ่งในเมืองหลวง อร่อยเสียจนทำให้เสนาบดีและรองเสนาบดีเหล่านั้นแย่งชิงกัน นางจะไม่ไปชิมได้หรือ

แน่นอนล่ะ การชิมนั้นเป็นเพียงการแวะไป หลักๆ ยังคงเป็นคิดถึงหลานสาวแล้ว

“อะไรนะ ท่านแม่ก็จะไปด้วยหรือ” เมื่อเรียกนายท่านทั้งจวนมาหมดแล้ว หลังจากได้ยินประกาศของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง ทุกคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี

ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าบึ้งตึง “ข้ามีหลานสาวสายตรงอยู่คนเดียว จะไม่ไปดูนางแต่งงานเองกับตาได้หรือ”

เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะเอ่ยไปชั่วขณะ

น้ารองเซิ่งซึ่งผ่ายผอมลงไปไม่น้อยหัวเราะเหอะๆ พลางเอ่ยว่า “โชคดีที่ยังห่างจากเวลาแต่งงานของเซิงเอ๋อร์อีกหนึ่งเดือนกว่าๆ ค่อยๆ เร่งเดินทางก็ยังทันเช่นกัน”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกวาดตามองทุกคน “ต้องมีคนอยู่ที่จวนด้วยเช่นกัน”

เมื่อวาจานี้หลุดออกมา น้ารองเซิ่งพลันตื่นเต้นขึ้นมา “ลูกคุ้นเคยกับเมืองหลวง มีร้านเป็ดย่างร้านหนึ่งทำได้อร่อยมากขอรับ!”

“เจ้าใหญ่กับสะใภ้ใหญ่รั้งอยู่ก็แล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งตัดสินใจในคำเดียว

ในเมืองหลวง บรรยากาศเฉลิมฉลองเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

งานมงคลเฉกเช่นการออกเรือนขององค์หญิงใหญ่ไม่มีมาหลายปีแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงใหญ่ท่านนี้ก็เป็นคุณหนูลั่วด้วย ล้วนเป็นคนเมืองหลวงโดยกำเนิด ใครจะไปคิดว่า คุณหนูลั่วจะมีวันที่แต่งงานกับเขาด้วย

แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินหน้าทะมึนเข้ามา ระบายโทสะกับลูกบุญธรรมอวิ๋นต้ง “ประชาชนพวกนั้นว่างเกินไปแล้ว อะไรเรียกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าเซิงเอ๋อร์จะสามารถแต่งออกไปได้ หากไม่ใช่ไคหยางอ๋องสู่ขออย่างจริงใจจนเกือบจะคุกเข่าให้ข้า ข้าไม่มีทางตกลงหรอก”

อวิ๋นต้งเป็นคนที่แสดงคำพูดในใจออกมาไม่เก่ง ทำได้แค่พยายามกล่าววาจาปลอบใจ “พ่อบุญธรรมกล่าวได้ถูกต้องขอรับ”

“ชาวบ้านพวกนั้นยังบอกอีกว่า ถึงเซิงเอ๋อร์จะสามารถแต่งออกไปได้แล้ว แต่คุณหนูคนอื่นๆ อีกสามท่านในจวนลั่วนั้นหมดหวังแล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วตบโต๊ะอย่างแรง “เหอะ รอเซิงเอ๋อร์กับไคหยางอ๋องแต่งงานกันเรียบร้อย พ่อจะให้อิงเอ๋อร์โยนลูกแพรปักเลือกคู่สักครั้ง!”

อิงเอ๋อร์อายุยี่สิบแล้ว เป็นอายุที่เหมาะสมจะแต่งงานพอดี

อวิ๋นต้งอึ้ง เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมาหลายส่วน “ความตั้งใจนี้ของท่านพ่อบุญธรรม…คุณหนูใหญ่รู้หรือไม่ขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วคัดค้าน “อิงเอ๋อร์หน้าบาง นางรู้หรือไม่รู้นั้นมีอะไรสำคัญกัน กล่าวโดยสรุปเลือกคนดีๆ ให้นางสักคนก็ได้แล้ว ตระกูลพวกเราไม่ขาดแคลนเงินทอง และไม่ขาดแคลนอำนาจเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลที่มีตำแหน่งฐานะสูงกว่า เพื่อให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปอีก ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามอุปนิสัยใจคอดี ดีกับอิงเอ๋อร์ ถึงจะเป็นคนตัวเปล่าก็ได้เช่นกัน”

แน่นอนว่า อยากจะแต่งกับตระกูลที่มีตำแหน่งฐานะสูงกว่าก็หาผู้ที่สูงกว่านี้ไม่พบแล้วเหมือนกัน

อวิ๋นต้งกลับลืมปลอบพ่อบุญธรรมต่อไป คิดถึงวาจาเหล่านั้นแล้วเหม่อลอย ‘ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามอุปนิสัยใจคอดี ดีกับอิงเอ๋อร์ ถึงจะเป็นคนตัวเปล่าก็ได้เช่นกัน’

หากเงื่อนไขของพ่อบุญธรรมมีเพียงเท่านี้ เช่นนั้น…เขาก็ได้ด้วยหรือ

นึกถึงลั่วอิง บุรุษซึ่งมีแววตาลึกลับจนถึงขั้นเอื่อยเฉื่อยเล็กน้อยก็พลันมีประกายอ่อนโยนหลายส่วน

เดิมเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่พ่อบุญธรรมบอกว่า เดี๋ยวจะให้คุณหนูใหญ่โยนลูกแพรปักเลือกคู่ แบบนั้นหากบุตรเขยที่เลือกออกมาเชื่อใจไม่ได้จะทำอย่างไร

“เอาล่ะ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วคล้ายจะบ่นเสร็จแล้วจึงโบกมือไปมา

“ลูกขอตัวขอรับ” อวิ๋นต้งถอยออกไปด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

รอจนบานประตูห้องปิดลง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยิ้มตาหยี ดื่มชาคำหนึ่งแล้วด่าในใจ ‘หากเจ้าตัวโง่งมนี่ยังคิดแล้วไม่เข้าใจอีก เขาจะให้บุตรสาวคนโตโยนลูกแพรปักเลือกคู่จริงๆ ด้วย’

แม่ทัพใหญ่ลั่วซึ่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินมาหลายปีย่อมไม่ใช่คนที่ดีแต่ใช้กำลัง แต่ไร้สติปัญญาแน่นอน ความรู้สึกพิเศษที่ลูกบุญธรรมมีต่อบุตรสาวคนโตนั้นอยู่ในสายตานานแล้ว

แต่เจ้าเด็กนี่ดันไม่ยอมเปิดปาก

แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดๆ แล้วก็โมโห

ไคหยางอ๋องเป็นเช่นนี้ ลูกบุญธรรมก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

เจ้าเด็กสารเลวพวกนี้คิดจะทำเหมือนตนเองได้ประโยชน์แล้วขาดทุนหรือ

“แม่ทัพใหญ่ คนของจวนเซิ่งใกล้จะถึงท่าเรือที่ชานเมืองแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็มาด้วยเช่นกันขอรับ” ข้ารับใช้คนหนึ่งมารายงาน

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งมาด้วยก็รีบพาคนไปรับคนที่ท่าเรือด้วยตนเอง

เรือลำใหญ่เทียบท่า ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถูกสะใภ้รองประคองลงจากเรือก็เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วรออยู่บนฝั่งจึงอดหน่วยตาชื้นไม่ได้

บุตรเขยปฏิบัติต่อบุตรสาวเช่นไร ดูท่าทีที่บุตรเขยปฏิบัติต่อตระกูลบิดามารดาของบุตรสาวก็สามารถมองออกแล้ว

นางคิด หลายปีนั้นบุตรสาวน่าจะมีความสุข

แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินเร็วๆ เข้าไปแล้วประคองฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งด้วยตนเอง “ท่านผู้เฒ่าไท่สุ่ย บุตรเขยมารับท่านกลับจวนขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งพยักหน้าติดต่อกัน “ดีๆ กลับจวน”

[1] ซวงเจี้ยง เป็นช่วงที่เกิดน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะเกิดในวันที่ 23-24 ตุลาคมของทุกปี

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท