ตอนพิเศษ 3 ปุถุชน
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆหนาซ้อนทับกันเป็นชั้นคล้ายจะร่วงลงมา
โค่วเอ๋อร์เดินเข้ามารายงานต่อลั่วเซิงที่กำลังใช้ปอหลังกู่หยอกเล่นกับบุตรสาวตัวน้อย “นายหญิง ทางเรือนหนิงมีคนมาแจ้งว่า จู่ๆ หมิงจู๋ก็อาการไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ…”
เสียงปอหลังกู่หยุดชะงัก
ทารกน้อยวัยสิบเดือนกว่ามองมารดาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้ไม่มีเสียงแล้ว
“พาท่านหญิงน้อยไปนอนเถอะ” ลั่วเซิงสั่งแม่นม
แม่นมรีบอุ้มท่านหญิงน้อยขึ้นมาแล้วไปยังห้องข้าง
ลั่วเซิงถึงได้สั่งโค่วเอ๋อร์ว่า “ให้คนไปหอสุรา เรียกฟู่เสวี่ยกลับมา”
ตั้งแต่ปีที่แล้ว หมิงจู๋ก็เริ่มป่วย เป็นๆ หายๆ ดีบ้างแย่บ้างจนถึงตอนนี้กระทั่งยาก็ไม่ได้ผลแล้ว นับว่าได้เตรียมตัวแล้วเช่นกัน
“ให้คนไปเรียกแล้วเจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์เม้มปาก “หมิงจู๋…อยากพบท่าน”
ลั่วเซิงครุ่นคิด ลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ”
เรือนหนิงอยู่มุมหนึ่งทางตะวันตกเฉียงหนึ่งของจวนอ๋อง ครานั้นที่แม่ทัพใหญ่ลั่วพาครอบครัวหนีไป ฟู่เสวี่ยได้รับการคุ้มครองจากสือเยี่ยนให้มาพักที่จวนอ๋อง
ในภายหลังเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิงฉางเล่อ คนทั้งจวนองค์หญิงที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนี ภายใต้การวิงวอนของฟู่เสวี่ย สือเยี่ยนเสี่ยงกับการต้องขัดถังส้วมไปตลอดชีวิตรับพวกหมิงจู๋หลายคนเอาไว้
นี่จึงก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ คุณหนูลั่วยังไม่ได้แต่งเข้ามา บุรุษคนโปรดหลายคนกลับพักอาศัยอยู่ในจวนไคหยางอ๋องแต่เนิ่นๆ เสียแล้ว
พ่อบ้านจวนอ๋องแอบถามเว่ยหานว่าจะจัดการหลายคนนี้อย่างไร เว่ยหานเอ่ยอย่างไม่ใส่ “ให้อาศัยต่อไปเหมือนเดิมก็ได้”
ดังนั้นหลายคนนี้จึงรั้งอยู่ที่จวนอ๋องมาโดยตลอด
เมื่อเดินเข้าไปในเรือนหนิงก็เห็นหลิงเซียวกับลี่ว์ฉี่ร่ำไห้เงียบๆ
หมิงจู๋เห็นลั่วเซิงเข้ามาก็พยายามยกศีรษะขึ้น “ท่านมาแล้ว”
ไม่รอให้ลั่วเซิงเอ่ยปาก หลิงเซียวกับลี่ว์ฉี่ก็ถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
หมิงจู๋มองโคว่เอ๋อร์ที่ติดตามอยู่ข้างกายลั่วเซิง ปลุกความกล้าถามว่า “ข้าสามารถคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักสองสามประโยคได้หรือไม่ขอรับ”
ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ ให้โค่วเอ๋อร์ โค่วเอ๋อร์จึงถอยออกไปด้วย
“คุณหนู…” พอหมิงจู๋เอ่ยปากก็ไอขึ้นมา
ลั่วเซิงไม่ได้แก้ไขคำเรียกของเขาให้ถูกต้อง เพียงเอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าให้คนไปเชิญหมอเทวดามาตรวจอาการให้เจ้าแล้วกัน”
“ไม่จำเป็นแล้วขอรับ” หมิงจู๋พยายามแย้มรอยยิ้มให้ลั่วเซิง “อาการป่วยรักษาได้แต่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไม่ได้ อย่าได้ทำให้ท่านหมอเทวดาต้องลำบากใจเลย อีกอย่าง ข้าก็มีชีวิตมาพอแล้ว…”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้ามีความปรารถนาอันใดไหม”
หมิงจู๋มองลั่วเซิงอย่างไม่ละสายตา “ไม่มีขอรับ…แค่อยากพบคุณหนูอีกครั้ง”
นี่คือคุณหนูที่เขาแอบชอบ เพียงแต่น่าเสียใจยิ่ง ด้วยฐานะที่ต่ำต้อยของเขา หากเอ่ยคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาล้วนเป็นเรื่องน่าขัน
เช่นนั้นก็ไม่พูดแล้ว เก็บเอาไว้ในใจเถอะ สำหรับคุณหนู เดิมความชอบนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
เขาเคยเป็นคนขององค์หญิงฉางเล่อ ในภายหลังถูกมอบให้คุณหนู เขานึกว่าต้องปรนนิบัติคุณหนูเหมือนกับที่ปรนนิบัติองค์หญิงฉางเล่อ แทนที่จะกล่าวว่าเห็นเขาเป็นบุรุษคนโปรด มิสู้กล่าวว่าเป็นสาวใช้ดีกว่า
และในภายหลัง เมื่อมีต้าไป๋ก็ไล่เขากับฟู่เสวี่ยไปเลี้ยงห่านเสียอย่างนั้น
ในสายตาเขา คุณหนูลั่วที่เหลวไหลและเอาแต่ใจในสายตาผู้คน ความจริงแล้วเป็นแค่เด็กสาวที่ใช้ชีวิตตามที่ใจปรารถนาเท่านั้นเอง
เขาพอใจกับชีวิตที่มั่นคงเช่นนี้ รู้สึกว่าสามารถเป็นเช่นนี้ไปจนแก่เฒ่าก็นับว่าเป็นเรื่องควรค่าแก่การเฉลิมฉลองแล้ว
เริ่มต้นเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันนะ
หมิงจู๋พยายามครุ่นคิด
น่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ รัชศกหย่งอันปีที่สิบเจ็ด คุณหนูกลับมาจากจินซาและเรียกเขามาพบ ประโยคแรกที่เอ่ยก็คือไล่เขาไป
ท่าทางเฉยชาของนางทำให้เขาหวั่นกลัว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นับตั้งแต่นั้นเด็กสาวที่ทำตามแต่ใจปรารถนาในความทรงจำเขาคนนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยเด็กสาวท่าทางเฉยชา เก็บงำความรู้สึกเก่งแทน
เขาสงสัย ประหลาดใจ อยากจะเข้าใกล้ แต่กลับไม่มีโอกาส
ทว่านางกลับสลักลึกอยู่ในใจเขาทุกๆ วัน
เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาถึงได้เข้าใจ นี่น่าจะเป็นการตกหลุมรักสินะ
ไม่ว่าจะชอบคุณหนูลั่วที่แท้จริง หรือเป็นคุณหนูลั่วในจินตนาการของเขา ด้วยฐานะต่ำต้อยแบบนี้ของเขา สามารถเกิดความรู้สึกชื่นชอบเช่นนี้ได้ก็เป็นแสงสว่างในชีวิตแล้ว
หมิงจู๋มองลั่วเซิงอยากลึกซึ้ง อยากจะสลักนางไว้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
หากชาติหน้ามีจริง หวังว่าเขาจะเป็นคนบริสุทธิ์ไร้ราคี ร่ำรวยก็ดี ยากจนก็ช่าง อย่างน้อยได้มีคุณสมบัติจะเอ่ยกับแม่นางที่เขาชอบว่า ‘ชอบ’ สักคำ
“พี่หมิงจู๋…” ฟู่เสวี่ยพุ่งเข้ามา
หมิงจู๋มองเด็กหนุ่มที่น้ำตานองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “ฟู่เสวี่ย เจ้าเรียนทำขาหมูตุ๋นกับอาซิ่วเป็นแล้วหรือไม่”
หลังคุณหนูมาที่จวนอ๋องก็เคยถามความตั้งใจของพวกเขา เขากับลี่ว์ฉี่และหลิงเซียวล้วนเลือกแก่เฒ่าไปในเรือนเล็กหลังนี้ ฟู่เสวี่ยกลับเอ่ยว่าอยากเรียนการทำอาหารกับอาซิ่ว
ใครจะไปคิดกันว่า เด็กหนุ่มซึ่งผิวพรรณขาวเนียน หน้าตาน่ารักในอดีตจะกลายเป็นผู้ช่วยแม่ครัวของมีหอสุราในวันนี้กัน
“ทำเป็นแล้วๆ! ตอนนี้ข้าทำอร่อยกว่าอาซิ่วอีก พี่หมิงจู๋ ท่านรีบหายดีแล้วมาลองชิมขาหมูตุ๋นที่ข้าทำนะ”
หมิงจู๋ยิ้มบางๆ พยักหน้า “ได้”
ลั่วเซิงถอยออกไปเงียบๆ
หมิงจู๋จากไปในคืนนั้น
ข่าวแพร่ออกไป เสี่ยวชีที่กลายเป็นรองผู้บัญชาการองครักษ์แห่งวังหลวงก็รีบกลับมาส่งเขาจากไป
วันที่ฝังศพ ฟู่เสวี่ยร้องไห้หนักมาก แต่ก็รีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ในไม่ช้า
เขารู้ว่าพี่หมิงจู๋จากไปอย่างสงบ กระทั่งรอคอยที่จะได้บอกลาโลกใบนี้ไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว
สตรีสองนางอายุราวยี่สิบกว่า หน้าตาคล้ายคลึงกัน แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน
หงโต้วจำได้ในแวบแรก “เอ๋ พวกท่านไม่ใช่คุณหนูสองท่านของตระกูลหวังหรอกหรือ”
เอ่ยจบก็นึกอะไรขึ้นมาได้กะทันหัน ชี้ไปทางสตรีซึ่งสวมเสื้อคลุมเป้ยจื่อ[1] สีแดงอมส้ม พลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่หวังหายตัวไปไม่ใช่หรือ”
คุณหนูใหญ่หวังยิ้ม ยอบกายให้หงโต้ว “พี่ใหญ่หงโต้ว ไม่ได้พบกันนาน สบายดีหรือไม่”
ตอนนี้หงโต้วก็ไม่มีเวลาจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคำเรียกขาน นางมองคุณหนูใหญ่หวังแล้วมองคุณหนูรองหวัง
คุณหนูรองหวังเอ่ยยิ้มๆ “ตอนนี้ห้องส่วนตัวว่างไหม”
“อา ว่าง ทั้งสองท่านเข้าไปก่อนเถอะ”
ในห้องโถงใหญ่ สือเยี่ยนกำลังเช็ดโต๊ะ ผู้ดูแลหญิงกำลังพลิกสมุดบัญชี เมื่อเห็นคนที่เข้ามาก็ล้วนตะลึงค้างไป
รอจนหงโต้วนำทั้งสองคนเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วออกมา สือเยี่ยนจึงได้เข้ามาใกล้ “ภรรยา นั่นดูเหมือนจะเป็นคุณหนูทั้งสองของตระกูลหวังนะ!”
หงโต้วกลอกตาใส่เขา “ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ พวกนางอยากเจอนายหญิง เจ้ารีบไปแจ้งที่จวนอ๋องสักหน่อย”
“ได้เลย” สือเยี่ยนโยนผ้าขี้ริ้วลงบนโต๊ะแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป
ลั่วเซิงได้ข่าวก็ทั้งตะลึง ทั้งยินดี รีบตรงไปยังหอสุรา
เมื่อเห็นนางเข้ามา คุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวังที่รออยู่ในห้องส่วนตัวก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
ลั่วเซิงจ้องมองคุณหนูใหญ่หวังแล้วเอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่หวังปลอดภัยและสบายดีสินะเจ้าคะ ช่างดีเหลือเกิน”
คุณหนูใหญ่หวังกับคุณหนูรองหวังสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็คุกเข่าแสดงความเคารพพร้อมกัน
ลั่วเซิงรีบประคองทั้งสองคนขึ้นมา “ทั้งสองท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
คุณหนูรองหวังหน่วยตาแดงเรื่อ “คุณหนูลั่ว ข้ายังเคยต่อว่าท่าน ในภายหลังถึงได้รู้ว่า การที่พี่สาวได้พบบิดาท่านนั้นโชคดีมากเพียงใด พวกเราไม่สะดวกไปคุกเข่าแสดงความขอบคุณกับบิดาท่านจึงมาคารวะท่านแทน…”
ในปีนั้นท่านปู่เร่งรีบพาทั้งครอบครัวออกจากเมืองหลวง ระหว่างทางไปบ้านเกิดก็ได้ยินว่าเมืองหลวงควบคุมดูแลประตูเมืองเอาไว้แล้ว ขอแค่เป็นสตรีแรกรุ่นล้วนถูกจับมาสังหาร
ตอนนั้นนางเข้าใจความเร่งรีบของท่านปู่ และเมื่อกลับไปเจอพี่สาวที่บ้านเกิด นางก็เข้าใจความเมตตาของแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว
คุณหนูใหญ่หวังก็ตาแดงเรื่อเช่นกัน “เดิมควรจะเข้าเมืองหลวงมาสักรอบนานแล้ว เพียงแต่ท่านปู่จัดการเรื่องงานแต่งงานของข้ากับน้องสาวเร็วมาก…”
คุณหนูรองหวังเอ่ยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “หลังแต่งงานพี่สาวตั้งครรภ์ก่อน ในภายหลังข้าก็ตั้งครรภ์ เมื่อยื้อไปมาก็ลากยาวมาจนถึงตอนนี้…”
ลั่วเซิงเชื้อเชิญให้ทั้งสองคนนั่งลงแล้วเอ่ยยิ้มๆ “คนปลอดภัยนั่นสำคัญที่สุด คุณหนูใหญ่หวังสามารถเล่าสถานการณ์ในขณะนั้นได้ไหม”
“ตอนนั้นข้ากับแม่นางหลายคนถูกขังไว้ในเรือนหนึ่ง มีคนหนุ่มสองคนดูแล ข้ารู้เพียงแค่ว่าที่นั่นไม่ใช่เมืองหลวง ส่วนอื่นๆ ล้วนไม่รู้แล้ว มีวันหนึ่ง หนึ่งในพวกเขาเอ่ยว่า พวกเขาต้องไปแล้ว เตือนพวกเราว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้กลับเมืองหลวง…”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องในอดีต คุณหนูใหญ่หวังก็มีสีหน้าซับซ้อน “แรกเริ่มข้านึกว่าพวกเขาหลอกพวกเรา แต่ในไม่ช้าก็ค้นพบว่า พวกเขาจากไปแล้วจริงๆ พวกเราเป็นอิสระแล้ว เด็กสาวหลายคนโวยวายว่าต้องการกลับบ้าน เมื่อนึกถึงคำเตือนของคนหนุ่มผู้นั้น ข้าไม่วางใจอยู่บ้าง พอปลอบพวกนางเรียบร้อยแล้ว ข้าก็สอบถามข่าวมาเล็กน้อย ถึงได้รู้เรื่ององครักษ์จิ่นหลินไล่สังหารสตรีแรกรุ่น แม่ทัพใหญ่ลั่วพาครอบครัวหลบหนีออกจากเมืองหลวง ตอนนั้นข้าก็เข้าใจสาเหตุการถูกลักพาตัวได้ในที่สุด และเข้าใจได้ว่า พวกเราหลายคนนั้นนับว่าโชคดี หลังตระหนักถึงความอันตรายของเมืองหลวง ข้าจึงพาสตรีคนอื่นๆ กลับบ้านเดิมไปด้วยกัน…”
คุณหนูรองหวังทั้งร้องไห้ ทั้งยิ้ม “คุณหนูลั่ว ท่านไม่รู้หรอกว่า ตอนที่ข้าตามคนในครอบครัวกลับบ้านเดิมไปด้วยจิตใจอันสิ้นหวังแล้วค้นพบว่าพี่สาวกำลังรออยู่ในบ้านนั้นมีความรู้สึกเช่นไร”
คุณหนูใหญ่หวังคล้องแขนน้องสาว เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผ่านสถานการณ์ไม่ราบรื่นมาระยะหนึ่ง หลังกลับไป ความจริงก็ส่งจดหมายไปที่เมืองหลวงแล้ว แต่ตอนนั้นพวกน้องสาวอยู่ระหว่างทาง และเคยคิดว่าจะเขียนจดหมายให้คุณหนูลั่วเช่นกัน ในภายหลังครุ่นคิดดู ให้พวกเราเข้าเมืองหลวงมาเอ่ยขอบคุณด้วยตนเองจะดีกว่า”
“คิดไม่ถึงว่าหอสุรายังเปิดอยู่” คุณหนูรองหวังสีหน้าปีติยินดี มองไปทางลั่วเซิง “ตอนนี้สมควรจะเรียกท่านว่าพระชายาแล้วใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงยิ้ม “คำเรียกขานไม่มีความสำคัญอะไร ทั้งสองท่านต้องการกินอะไร วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง”
คุณหนูใหญ่หวังเอ่ยยิ้มๆ “งั้นเอาบะหมี่หยางชุนสองชามแล้วกันเจ้าค่ะ”
“เอาเนื้อตุ๋นจานหนึ่งด้วยนะเจ้าคะ”
สองพี่น้องสบตากันยิ้มๆ
ลั่วเซิงก็ยิ้มเช่นกัน
หลายปีก่อนครั้งแรกที่สองพี่น้องก้าวเข้ามาในมีหอสุราก็สั่งบะหมี่หยางชุนสองชามและเนื้อตุ๋นหนึ่งจานเช่นกัน
ยามนั้นพวกนางพยายามปกปิดความขี้ขลาดและความลำบากยากแค้นจากราคาอาหารที่แพงหูฉี่ แต่ตอนนี้มีเพียงความสงบนิ่งและสบายใจหลังจากผ่านอุปสรรค
เฉกเช่นเดียวกับมีหอสุราของนาง หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ในที่สุดก็ได้กลายเป็นหอสุราอย่างจริงแท้แห่งหนึ่งเสียที
ถึงเวลาเปิดร้านของหอสุราแล้ว ภายในห้องโถงใหญ่คึกคักขึ้นมา ยืนอยู่ข้างบนก็ยังสามารถได้ยินเสียงดังทรงพลังของเสนาบดีจ้าวที่ตะโกนว่า “พี่ใหญ่หงโต้ว วันนี้น่าจะมีอาหารรายการใหม่ใช่หรือไม่”
หงโต้วกลอกตามองบน “เรียกใครว่าพี่ใหญ่กัน”
เสนาบดีเฒ่าครุ่นคิด หยั่งเชิงเอ่ยว่า “ภรรยาตระกูลสือล่ะ”
คำเรียกขานนี้น่าจะเหมาะสมแล้วสินะ
เสนาบดีเฉียนซึ่งอยู่อีกด้านหักหน้าทันที “พี่ใหญ่โค่วเอ๋อร์ก็แต่งกับพี่น้องตระกูลสือเช่นกัน เหล่าจ้าวเอ๋ย เจ้าเรียกขานเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะปนกันได้ง่ายหรือ”
“เช่นนั้น…ภรรยาของซานหั่ว?”
หงโต้วมีสีหน้าทะมึน “เรียกพี่ใหญ่หงโต้วเถอะ”
ตอนนี้เองเว่ยหานก็เดินเข้ามา สือเยี่ยนเข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางดีใจสุดขีด “นายท่าน ท่านมารับพระชายาหรือขอรับ”
เว่ยหานเงยหน้ามองสตรีซึ่งเดินลงบันไดอย่างสบายอารมณ์แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ได้ยินมาว่า วันนี้หอสุราวางจำหน่ายอาหารใหม่ ข้ามาร่ำสุราและกินอาหารเป็นเพื่อนภรรยา”
ลั่วเซิงเดินฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามา
เว่ยหานกุมมือนาง เดินไปนั่งตำแหน่งข้างหน้าต่างด้วยกัน
เหล่าลูกค้าหอสุราคุ้นเคยกับเรื่องนี้จนเห็นเป็นสิ่งปกติจึงตั้งอกตั้งใจร่ำสุรา กินเนื้อ ไม่แม้แต่กระทั่งทอดสายตาซุบซิบนินทามองมา
นี่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดี แสงจันทร์กระจ่างส่องลงบนโลก ธงสุราสีเขียวนอกประตูหอสุราปลิวไสวต้อนรับสายลม โอ้อวดความครึกครื้นของหอสุราต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมา
(จบ)
[1] เสื้อคลุมเป้ยจื่อ เป็นเสื้อคลุมสตรีฮั่นแขนยาว ผ้าเนื้อบาง เอาไว้ใส่กับชุดเกาะอก หรือชุดกระโปรงที่ปิดถึงหน้าอก เพื่อไม่ให้เห็นเนื้อหนังสัดส่วนชัดเกินไป