บทที่ 826 การทำนาย
สวี่ชีอันก้าวยาวไปข้างหน้า และหยิบหนังสือ ‘วิธีการเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์’ ออกมาจากชั้นวางหนังสือ ประโยคแรกของบทนำเขียนไว้ว่า
“ระบบในโลก ข้ามออกนอกสามภพ กายอยู่ในห้าธาตุ มีเพียงจอมยุทธ์ กายอยู่ในสามภพ ไม่อยู่ในห้าธาตุ”
ความแตกต่างระหว่างจอมยุทธ์และระบบอื่นๆ คือ ‘ภายนอกและภายในสามภพ’…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว อ่านประโยคนี้อย่างละเอียด นอกจากรู้ว่าจอมยุทธ์แตกต่างกับระบบอื่นแล้ว ก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรได้มากนัก
‘สามภพ’ และ ‘ห้าธาตุ’ อาจมีความหมายพิเศษในศัพท์เฉพาะของโหร
ฝืนทำความเข้าใจอาจคลาดเคลื่อน รอถามศิษย์พี่ซ่งละกัน เขาพลิกหน้าถัดไปอย่างทนรอไม่ไหว
สิ่งที่เขียนไว้ในหน้านี้ก็คือคำอธิบายจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งของโหราจารย์ ในหนังสือเอ่ยถึง แก่นแท้ ลมปราณและจิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่ง ก่อเป็นวัฏจักรของตน ไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก…เมื่อเขียนถึงตรงนี้ ท่านโหราจารย์ยังหมายเหตุอย่างง่ายต่อการเข้าใจไว้ว่า
‘สิ่งที่เรียกว่าไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก หมายถึงไม่พึ่งยืมพลังของฟ้าดิน ประกอบด้วยแต่ไม่จำกัดเพียงสายฟ้าของหยินหยางและธาตุทั้งห้ากับพลังของธาตุอื่นๆ’
พลังปราณ การฝึกลมหายใจ พลังวิญญาณที่เคลื่อนย้ายอย่างปรกติไม่อยู่ในขอบเขตนี้ เอ่อ ในบรรดาขั้นหนึ่งที่ข้ารู้จัก ซ่าหลุนอากู่ ลั่วอวี้เหิง รวมไปถึงพระโพธิสัตว์สำนักพุทธล้วนมีกลวิธีพึ่งยืมพลังฟ้าดินมาแปลงให้ตนเองใช้งาน…มีเพียงจอมยุทธ์ที่พึ่งพาพลังและพลังปราณของตนเอง…หมายเหตุในท่อนนี้ของท่านโหราจารย์เขียนด้วย ‘ภาษาที่เข้าใจง่าย’ อย่างมาก จนรู้สึกว่าเอาไว้ให้คนไม่มีสมองอ่าน…พอสวี่ชีอันคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแข็งทื่อในทันใด
เพราะเขานึกขึ้นได้ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ และจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ท่านโหราจารย์ประคับประคองคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเขานี่เอง
ดูถูกใครกัน…สวี่ชีอันเดือดดาลในฉับพลัน
เขาเอ่ยในใจว่าทนไว้ เห็นแก่ตาเฒ่าที่ล่องทะเลอยู่ภายนอกในขณะนี้ ขอไม่เอาอะไรกับท่านก็แล้วกัน
เขาอ่านต่อไปจนพบเนื้อหาที่เกี่ยวกับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ในท้ายที่สุด
ท่านโหราจารย์ให้ไว้สองแนวคิด หนึ่งคือค่อยๆ ฝึกฝนอย่างหนักเหมือนยอดฝีมือขั้นสี่ระดับสูงสุดโม่บดกายหยาบ จนทำให้เนื้อเยื่อพัฒนา ถอดถอนร่างกายธรรมดาออกไป และกลายเป็นตัวตนประหนึ่ง ‘เทพ’
หากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งต้องการเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ก็ต้องชุบหลอมกายหยาบอย่างไม่หยุดหย่อนและเติมเต็มพลังปราณเช่นเดียวกัน ทว่าตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน จอมยุทธ์ที่สามารถนำขั้นหนึ่งไปสู่จุดสูงสุด และกลายเป็นระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์แทบไม่มีเลย
เท่าที่ท่านโหราจารย์ทราบ มีเพียงเสินซูที่ถูกผนึกไว้ที่ซังผอเมื่อห้าร้อยปีก่อน
“เนื่องจากจอมยุทธ์ที่เลื่อนขึ้นขั้นหนึ่งด้วยโชคชะตามีอายุขัยไม่ถึงร้อยปี จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลื่อนขึ้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ในช่วงร้อยปี แต่จอมยุทธ์ที่กลายเป็นขั้นหนึ่งด้วยการพึ่งพาพรสวรรค์และความพยายามของตนเอง ก็จะถูกสังหารโดยเทพพ่อมดและพระพุทธเจ้าภายในช่วงเวลาแสนยาวนาน”
“เทพเจ้ากู่เคยกล่าวว่า พวกเขาหวาดกลัวการปรากฏตัวของเทพยุทธ์ ดังจะเห็นได้ว่า หากต้องการสงบสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์ เป็นไปได้มากว่ามีเพียงการกำเนิดของเทพยุทธ์ จึงคาดการณ์ได้อีกว่า เป้าหมายของท่านโหราจารย์คือการสร้างเทพยุทธ์ใช่หรือไม่?”
“เขาวางแผนแก้ไขมหาเคราะห์อย่างมุมานะเช่นนี้มาโดยตลอดในฐานะผู้เฝ้าประตู …”
ส่วนอีกวิธีก็คือการเดินในวิถีทาง ‘ยาโลหิต’ อาศัยการปล้นแก่นชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันมาเพิ่มความเร็วในการเลื่อนขั้น
“ในตอนแรกที่รู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือหลอมยาโลหิต ข้าก็สังหรณ์ใจว่าระบบของจอมยุทธ์นี้อาจจะโหดเหี้ยมมาก” สวี่ชีอันถอนหายใจ
วิธีที่หนึ่งไม่มีทางลัด สิ่งที่เห็นคือพรสวรรค์และความพยายาม แต่วิธีที่สองมีทางลัด
สวี่ชีอันพลิกอ่านเนื้อหาท่อนหลังของหนังสือเล่มนี้ด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม จากนั้นเขาก็ประกบกลับไปเงียบๆ แล้วกลับไปข้างซ่งชิง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า
“ท่านโหราจารย์หลงเหลือค่ายกลขัดเกลา วัสดุและระดับที่เกี่ยวข้องไว้พอใช้ได้ น่าสนใจทีเดียว ท่านดูสิ”
ซ่งชิงดวงตาลุกวาวเป็นอย่างแรก เต็มไปด้วยความกระหายที่มีต่อความรู้ และทำท่าทีปฏิเสธในชั่วประเดี๋ยวนั้น “ข้าต้องพึ่งตนเอง ไม่พึ่งท่านโหราจารย์”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“การศึกษาความรู้เป็นขั้นตอนที่สนุกสนานอย่างหนึ่ง หากไม่ต้องการจ่ายสิ่งที่ต้องแลกมาระหว่างนั้น เช่นนั้นก็เป็นความเร็วเท่าตัว”
หากแปลเป็นคำพูดที่คุ้นเคยของพวกเราก็คือ
โสเภณีสีขาวทำให้พวกเรามีความสุข
ซ่งชิงตรองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงรับงานเขียนของตาเฒ่าโหราจารย์ และเปิดอ่านอย่างอดทน
“เป็นเช่นไรบ้าง” สวี่ชีอันไต่ถาม
ซ่งชิงเงยศีรษะขึ้นมาด้วยสีหน้างงงวย
“อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร…”
เขามองสวี่ชีอันด้วยสายตาอันมีความหวังในชั่วประเดี๋ยวนั้นพร้อมเอ่ยว่า
“คุณชายสวี่เข้าใจหรือไม่”
สวี่ชีอันยิ้มเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าพลิกอ่านผ่านๆ ท่านโหราจารย์เขียนได้ล้ำลึกมาก พอข้าอ่านจบ ล้วนแต่ทะลุทวารทั้งเจ็ดไปเกือบหมดสิ้น”
ซ่งชิงเอ่ยด้วยใบหน้าตกตกลึงว่า
“เพียงช่วงสั้นๆ ครู่เดียว คุณชายสวี่กลับสามารถอ่านเนื้อหาขอบเขตการเล่นแร่แปรธาตุมากขนาดนี้เข้าใจ เรื่องเดียวที่จำได้ คงจะเป็นค่ายกลล่ะสิ”
…สวี่ชีอันพยักศีรษะด้วยสีหน้าเข้มขรึม จากนั้นคุยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วว่า
“ศิษย์พี่ซ่งคิดว่า ประโยคแรกของบทนำอธิบายว่าอย่างไร”
ซ่งชิงพลิกไปที่บทนำตามคำพูด และอ่านประโยคนั้นใหม่อีกรอบ ก่อนเอ่ยอย่างไตร่ตรองว่า
“สามภพหมายถึง ‘รูปภพ’ ‘โลกียภพ’ ‘อรูปภพ’ คุณชายสวี่เข้าใจว่าเป็นโลกมนุษย์อันแปดเปื้อนก็ได้ ข้ามออกนอกสามภพหมายถึงตัดขาดจากเรื่องทางโลก ความใคร่…”
พูดให้กระจ่างก็คือไม่มีตัณหาทางโลก…สวี่ชีอันพยักศีรษะอย่างช้าๆ
“หากคุณชายสวี่สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน คงพบได้ไม่ยากว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ของระบบต่างๆ เมื่อระดับยิ่งสูงก็จะยิ่งหัวเดียวกระเทียมลีบ ตัณหามากมายอันประกอบด้วยกามารมณ์อยู่ภายในแทบถูกตัดออกไปหมดสิ้น ฮึ่ม นิกายมนุษย์คงถือเป็นข้อยกเว้นกระมัง แต่คงเป็นเพราะการมีอยู่ของไฟแห่งกรรม หากไม่มีไฟแห่งกรรม ลั่วอวี้เหิงก็คงไร้ความใคร่อยาก”
มิน่าล่ะผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ที่ข้าเคยเห็นแทบจะเป็นคนโสดทั้งสิ้น มีเพียงตัวข้าที่เป็นจอมยุทธ์ที่ทุ่มเทเพื่อการตอกเสาเข็มทุกวี่ทุกวัน…สวี่ชีอันเผลอหัวเราะออกมา
ทว่าครู่ต่อมา เขาก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างชะงักงัน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวว่า
การที่สวี่ผิงเฟิงไร้อารมณ์ความรู้สึก เป็นเพราะว่ามีปัจจัยทางด้านนี้ใช่หรือไม่ ระดับยิ่งสูง ความรู้สึกทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกก็ยิ่งจืดจาง
เขาหวนนึกถึงนักบวชเต๋าจินเหลียน จ้าวโส่ว ซ่าหลุนอากู่และผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์คนอื่นๆ และค้นพบอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงว่าในบรรดาพวกเขา ไม่มีใครลุ่มหลงในกามารมณ์เลยสักคน
ดังนั้นจึงเหลือเพียงจอมยุทธ์ที่ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกที่ครบถ้วนที่สุด สวี่ชีอันคิดในใจ
ซ่งชิงเอ่ยตามว่า
“ความหมายของกายอยู่ในห้าธาตุเข้าใจง่ายมาก ระบบต่างๆ ล้วนต้องอาศัยพลังฟ้าดิน ควบคุมดิน น้ำ ลม ไฟ หยินหยางและธาตุทั้งห้า แต่จอมยุทธ์ไม่ต้องใช้ เพราะอาศัยหมัดล้วนๆ จุๆ หยาบช้า”
“หะ ข้าไม่ได้สื่อว่าจะด้อยค่าฆ้องเงินสวี่ ข้าหมายถึงระบบจอมยุทธ์”
มันต่างกัน เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้เจาะจงเจ้า ข้าเจาะจงจอมยุทธ์ทั้งหมดในใต้หล้า คำแขวะเต็มอยู่ในหัวของสวี่ชีอัน
…
ณ เมืองจิ้งซาน
ก้อนหินดำขลับโผล่อยู่ท่ามกลางผืนทรายที่แห้งแล้งและไร้ต้นไม้ใบหญ้าของเมืองจิ้งซาน ยอดสูงสุดบนเทือกเขาไร้ซึ่งลมหายใจของชีวิตใดๆ
ผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ไกลออกไปไหลเป็นคลื่น ระยับด้วยแสงจากคลื่นอันสุกใส จุดตัดระหว่างฟ้าครามและมหาสมุทรบินฉวัดเฉวียนไปด้วยนกทะเลกลุ่มหนึ่ง
ที่นี่ติดทะเล ลมแรงและกลิ่นคาวจากทะเลอันเบาบางพัดแสกหน้าเข้ามา ซ่าหลุนอากู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ตรงหน้ามีโต๊ะเล็กๆ วางเอาไว้ ซึ่งด้านมีหนังสือแผ่นไม้ไผ่วางไว้ม้วนหนึ่ง เขียนไว้โดยแยกกันว่า
สวี่ชีอัน ลั่วอวี้เหิง หลี่เมี่ยวเจิน อาซูหลัว…
รวมไปถึงเจียหลัวซู่ หลิวหลี กว่างเสียนและตู้เอ้อร์
เจ้าแห่งวัสสานน่าหลันเทียลู่ ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอูต๋าเป๋าถ่าและอีเออร์ปู้ยืนอยู่ด้านหลังของซ่าหลุนอากู่
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่คลำกระดองเต่ากลมอวบอิ่มและมีท่วงทำนองเรียบง่ายออกมาจากใต้ผ้าคลุม จากนั้นกัดนิ้วชี้จนเป็นแผล และลูบหยดเลือดที่ซึมออกมาบนลายหลังกระดองเต่า
จากนั้น เขาก็ทำแบบเดิม แล้วหยดเลือดลงในถ้วยที่อีเอ๋อร์ปู้ยื่นให้
หยดเลือดเริ่มแผ่คลุมอย่างหนาทึบ จนทำให้น้ำใสในถ้วยทั้งใบเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน
ซ่าหลุนอากู่หลับตาลง และร่ายคาถาด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแน่นิ่ง
ในสายตาภายนอก เขาเพียงนั่งสมาธิตามปรกติ แต่ในสายตาของพ่อมดระดับเหนือมนุษย์ทั้งสาม ขณะนี้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เสมือนหลอมรวมกับฟ้าดิน ซึ่งกำลังสื่อสารกับความลับสวรรค์ท่ามกลางห้วงดำมืดอยู่ในสภาวะที่ลึกลับและล้ำลึก
นี่คือวรยุทธ์ระดับสูงในวิชาพยากรณ์ เมื่อถึงระดับพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ จะสามารถมองเห็นความลับสวรรค์ด้วยวิชาพยากรณ์ ซึ่งแม่นยำและชัดเจนยิ่งกว่าวิชาพยากรณ์
ชั่วเวลาอันสั้น ซ่าหลุนอากู่ลืมตา ชูถ้วยช้าขึ้น แล้วอมน้ำสะอาดสีเลือดจางไว้ในปาก ก่อนพ่นลงบนหนังสือแผ่นไม้ไผ่ดังฟู่
ชั่วพริบตานั้น หนังสือแผ่นไม้ไผ่สั่นขึ้นอย่างเบาๆ
หนังสือแผ่นไม้ไผ่ที่เขียนชื่อ ‘สวี่ชีอัน’ ‘หลี่เมี่ยวเจิน’ และชื่อคนอื่นๆ เอาไว้เหล่านี้เริ่มมีเลือดไหลย้อมชื่อที่เขียนไว้
และเลือดที่ติดอยู่บนกระดองเต่าค่อยๆ ไหลตามลายบนกระดองเต่าจนย้อมแดงทั่วทั้งหลังกระดองเต่า
ซ่าหลุนอากู่จ้องเขม็งสัญลักษณ์แปดทิศเป็นเวลานาน ก่อนพ่นลมหายใจออกช้าๆ และเอ่ยว่า
“น่าหลัน เจ้าไปบอกเจียหลัวซู่ที่ดินแดนประจิมทิศว่าภัยแห่งหายนะกำลังจะมาถึง ให้พวกเขาเตรียมตัวให้ดี”
น่าหลันเทียนลู่พยักศีรษะ ก่อนจับจ้องไปที่หนังสือแผ่นไม้ไผ่ของ ‘สวี่ชีอัน’ และ ‘เจียหลัวซู่’ พร้อมเอ่ยอย่างไตร่ตรองว่า
“พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงที่หนักหนาที่สุด…”
นี่คือการตีความที่เกิดจากสัญลักษณ์แปดทิศ ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ทั้งสองล้วนมีภัยแห่งหายนะ นี่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในอันตรายล่วงหน้า
แน่นอนว่าการต่อสู้ในระดับนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับประกันว่าตนจะมีชีวิตต่อไปได้เป็นแน่ การมีความเสี่ยงเป็นเรื่องปรกติ แต่ภัยแห่งหายนะของสวี่ชีอันและเจียหลัวซู่รุนแรงอย่างยิ่ง
อีเอ๋อร์ปู้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า
“ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ยังมีใครฆ่าเขาได้อีกหรือ”
หัวคิ้วเขากระตุกทันทีที่พูดจบ เขาเดาคำตอบออกแล้ว
พระพุทธเจ้า
ซ่าหลุนอากู่เอ่ยว่า
“ระดับสุดยอดไม่อาจทนให้จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเติบโต สวี่ชีอันคิดจะชิงศีรษะของเสินซูคืน ไม่แน่ว่าท่านผู้นั้นในอรัญตาอาจรอโอกาสเชิญท่านลงโอ่งอยู่[1] ส่วนเจียหลัวซู่…”
การทำสิ่งไม่ดีกับใครไว้ สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาหาตนเอง
เขาขมวดหัวคิ้ว ไม่อาจให้คำอธิบาย
กล่าวตามเหตุผล ในบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งสาม เจียหลัวซู่ควรปลอดภัยที่สุด พระโพธิสัตว์มัญชุศรีและร่างธรรมวชิระเพียงพอที่จะคุ้มครองชีวิตเขาให้หมดห่วง
ยกเว้นจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ของฝ่ายต้าฟ่งที่มุ่งเป้าไปที่พระโพธิสัตว์ท่านนี้อย่างเจาะจง
แต่เหตุผลล่ะ
ซ่าหลุนอากู่มองน่าหลันเทียนลู่พร้อมเอ่ยโดยไม่ได้คิดมากว่า
“หลังจากเจ้าไปดินแดนประจิมทิศ ให้สำนักพุทธส่งพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กลับที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขาต้องการพลังของระดับเต๋าแยกขันธ์ ส่วนเจ้า สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่อรัญตาอย่างเงียบๆ หากโอกาสเหมาะสม อย่าปล่อยสวี่ชีอันไปเด็ดขาด”
กล่าวจบ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ก็มอง ‘เจียหลัวซู่’ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“หากโอกาสพอควรก็ช่วยเขาสักยกเถอะ”
น่าหลันเทียนลู่พยักศีรษะด้วยความแจ่มแจ้ง
…
ณ ดินแดนประจิมทิศ
นครรัฐแห่งหนึ่งทางตอนใต้ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพระวิหาร ข้างล่างมีผู้คนหลายร้อยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในบรรดาพวกเขา บางคนเป็นภิกษุสวมผ้ากาสายะและกฐิน บางคนเป็นศาสนิกชนในนครรัฐ
“ธรรมและเราล้วนว่างเปล่า ทุกสรรพสิ่งล้วนปั้นแต่ง หลุดพ้นตนเองหลุดพ้นมนุษย์ รู้สึกตนรู้สึกผู้อื่น ก้าวข้ามมนุษย์ก้าวข้ามตนเอง สรรพชีวิตล้วนสำเร็จเป็นพุทธะ…”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นั่งขัดสมาธิเผยแพร่พระธรรมนาอยู่บนแท่นสูง กำลังบรรยายปรัชญานิกายมหายานของเขา
บรรดาศาสนิกชนและภิกษุด้านล่างประหนึ่งเมามาย
เทียบกับพระธรรมอรัญตาที่เน้นหนักในเรื่องการหลุดพ้นจากตนเอง และพระธรรมที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นำกลับมาจากต้าฟ่งตะวันออกแล้ว สิ่งนี้ได้รับการยอมรับจากภิกษุและประชาชนชั้นล่างง่ายดายยิ่งกว่า
หลุดพ้นมนุษย์ หลุดพ้นตนเอง จึงจะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่
และนี่เข้ากับหลักศีลธรรมของผู้คนอย่างไร้สิ่งใดเทียบ ทั้งยังสอดคล้องกับสัญชาตญาณของประชาชนที่ทุกข์ยากจากการดำรงชีวิตในดินแดนประจิมซึ่งกระหายที่จะได้รับการไถ่ถอนและไถ่ถอนผู้อื่น
ผนวกกับได้รับการค้ำจุนจากตำแหน่งของอรหันต์สำนักพุทธ เส้นทางการเผยแพร่คำสอนของตู้เอ้อร์จึงค่อนข้างราบรื่น
นอกจากการเคยถูกพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สั่งให้หยุดครั้งหนึ่ง ก็แทบไม่พบอุปสรรคใดๆ เลย
ขณะนี้เอง ผู้เลื่อมใสวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อผ้าซ่อมซ่อ ผิวหนังดำมืด และดูเหมือนเผชิญความลำบากมามากมายคนหนึ่งลุกขึ้นประนมมือเอ่ยถามว่า
“พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ ข้าสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้จริงหรือไม่”
“สามพันภพภูมิ พุทธะล้วนมีอยู่ทุกแห่ง สรรพชีวิตมากมายล้วนมีพุทธะ พุทธะคือมรรคผล หาใช่หนึ่งผู้หรือหลายผู้…”
ทันทีที่คำพูดของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จบลง เขาก็แน่นิ่งลงในทันใด ในดวงตาของเขา ผู้เลื่อมใสมากมายสูญเสีย ‘สีสัน’
เขาหันหน้าไปมองด้านซ้าย พระโพธิสัตว์หญิงผมสีดำเหมือนน้ำตกและงดงามเป็นที่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด
นางเท้าขาวราวหิมะ ชุดขาวสะบัดพลิ้ว ดวงตาเหมือนดวงแก้วอันไร้สี ขาดความรู้สึก แต่กลับทำให้เกิดความรู้สึกอันสวยงามของดวงตาคู่นี้อย่างไม่รู้สึกตัว
“กว่างเสียนประนีประนอมแล้ว ไม่สนับสนุนนิกายมหายานอีก ท่านเดินไปให้ทั่วดินแดนประจิมทิศ เผยแผ่นิกายมหายานทุกหนแห่ง ไม่กลัวถูกลงโทษภายหลังหรือ”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเอ่ยอย่างเยือกเย็น
ตู้เอ้อร์เอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“ข้าเพียงอยู่ในหนทางที่ตนเองเดิน”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเหยียดมุมปากเล็กน้อย และเอ่ยยิ้มว่า
“เรื่องของท่านข้าไม่ยุ่ง ข้ามาแจ้งท่านเรื่องหนึ่ง ไปที่ราบลุ่มภาคกลางใบบัดนี้ทันที และร่วมมือกับสำนักพ่อมดสยบเมืองหลวง”
ตู้เอ้อร์ส่ายศีรษะ
“ข้าไม่อาจลงมือกับชาวบ้านธรรมดา”
ลมพัดเส้นผมอันงดงามของหลิวหลีขึ้น และลูบไล้แก้มอันขาวผ่องประหนึ่งไขมันจับตัว นางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“รับมือกับระดับเหนือมนุษย์ก็คงได้”
…………………………………………………
[1] เชิญท่านลงโอ่ง มากจากสุภาษิตจีนที่ว่า 请君入瓮 หมายถึงหากทำสิ่งไม่ดีกับใครไว้ สิ่งนั้นจะคืนสนอง