บทที่ 828 พระโพธิสัตว์มัญชุศรี

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 828 พระโพธิสัตว์มัญชุศรี

ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งอรัญตาสกัดกั้นการเดินทางของเสินซู หยุดยั้งเขาไว้ที่ตีนเขา กีดกั้นไม่ให้เขาเดินหน้าไปได้แม้แต่ก้าวเดียว

เสินซูยกกำปั้นขึ้นและโจมตีกำแพงสีทองอย่างง่ายดายและหยาบคาย คลื่นอากาศส่งเสียง ‘เปรี้ยง’ ดูเหมือนระลอกคลื่นจะแทรกซึมผ่านพื้นผิวกำแพงสีทองแผ่ออกไปทั้งทางด้านบน ทางซ้ายและทางขวา

เสินซูไร้หัวก้าวถอยหลังเพราะไม่สามารถทำลายกำแพงได้

เขาเงียบไปไม่กี่วินาที ราวกับว่าเขาหงุดหงิด สะดือของเขาแยกออก กลายเป็นปากที่เปื้อนเลือด และเปล่งเสียงคำรามแสบแก้วหู

‘โฮก!’

คลื่นเสียงดังก้องทั่วถิ่นทุรกันดารดินแดนประจิมทิศ สะท้อนไปในนภาสีฟ้าใสและแผ่กระจายไปไกลหลายสิบลี้

ผู้คนจากดินแดนประจิมทิศที่อาศัยอยู่ใกล้กับอรัญตา ต่างหันไปทางภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ด้วยสีหน้าสับสนและหวาดกลัว

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกเขาได้ยินเสียงคำรามดังมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และก่อนหน้านั้น ยังมีตะวันดวงใหญ่อีกดวงกำลังขึ้น

ค่ายกลฉานป้องกันการโจมตีรวมถึงเสียงของเสินซูได้อย่างมีประสิทธิภาพ จอมยุทธ์ภิกษุบนภูเขาเพียงรู้สึกหนวกหูและเวียนหัวทว่าไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากมายนัก

โดยปกติ หากอยู่ไม่ห่างไกล แค่เสียงคำรามของเสินซูก็สังหารจอมยุทธ์ภิกษุไปกว่าครึ่งแล้ว

ทันทีที่จอมยุทธ์ภิกษุฟื้นจากสภาวะปราณโลหิตพลุ่งพล่าน ก็มองเห็นยักษ์ใหญ่มหึมาเกินกว่าจินตนาการ ช่วงอกของมันกว้างราวกำแพงภูผา ร่างกายของมันมืดทมึน แขนล่ำสันทั้งยี่สิบสี่ข้างอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ รำแพนออกเหมือนหางนกยูงราวกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสยายหางทั้งเก้าให้แผ่ออก

แขนแต่ละข้างอัดแน่นไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว จนผู้คนสงสัยว่ามันอาจสามารถทำลายอากาศว่างเปล่าได้

ยักษ์ตัวนี้ไม่มีหัว แต่หลังคอของมันมีวงแหวนเพลิงลุกโชนแผดเผาอากาศให้ลุกไหม้

อากาศใกล้เมืองอรัญตาร้อนขึ้นทันที ราวกับเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อน

จอมยุทธ์ภิกษุทั้งหลายที่เห็นร่างธรรมนี้เข้าก็ขาสั่นหน้าซีด ไม่ต้องพูดถึงความตั้งใจที่จะต่อสู้ พวกเขาแทบไม่สามารถถือดาบ กระบองทองแดงและอาวุธอื่นๆ ไว้ในมือได้เลย

ร่างธรรมวชิระเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและสง่างาม หากผู้บำเพ็ญที่ต่ำกว่าขั้นเหนือมนุษย์เผชิญหน้ากับร่างธรรมนี้พลังต่อสู้ก็แทบสิ้นสูญ

สาเหตุที่จอมยุทธ์ภิกษุบนขุนเขายังยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะค่ายกลฉานขัดขวาง ‘ความยิ่งใหญ่’ ของร่างธรรมเสินซู

“อย่าได้กลัว!”

จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนผู้มีตบะสูงส่งมองไปรอบๆ จอมยุทธ์ภิกษุผู้เป็นศิษย์และพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ค่ายกลฉานเป็นสิ่งที่ทำลายไม่ได้และไม่มีใครทำลายได้ แม้แต่ปีศาจตัวนี้”

จอมยุทธ์ภิกษุที่ทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนกอย่างยิ่งรู้สึกใจชื้นและฟื้นความมั่นใจกลับคืนมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้

ที่แล้วมาในอรัญตามีภาษิตข้อหนึ่งว่าเมื่อฉานซือเข้าสู่สมาธิ เขาจะอยู่ยงคงกระพันต่อเวทมนตร์คาถาทุกชนิดและมั่นคงไม่เคลื่อนไหวดุจดังขุนเขา

ระดับการฝึกฝนขั้นสูงสุด คือ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’

เดิมทีวิชาฉานถูกออกแบบมาเพื่อการป้องกัน ตอนนี้มีฉานซือมากกว่าสี่พันรูปก่อตัวเป็นค่ายกลฉาน มีพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งสามรูปเป็นประธาน จิ่วโจวกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้

พวกขั้นหนึ่งในระดับเดียวกันไม่มีใครแข็งแกร่งเท่านี้แน่นอน และในยุคที่ระดับสุดยอดหาได้ยากยิ่ง จะมีใครสามารถฝ่าข้ามค่ายกลที่น่าตกใจเช่นนี้ได้?

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าค่ายกลฉานของอรัญตาเป็นแนวป้องกันที่ดีที่สุดในจิ่วโจว

‘เปรี้ยง!’

หมัดของร่างธรรมเสินซูตรงเข้ากระแทกกำแพงม่านแสงสีทอง บนกำแพงบังเกิดระลอกคลื่นสีทองพุ่งออกไป ทว่ากำแพงไม่ขยับเขยื้อน

‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…’

แขนทั้งยี่สิบสี่ข้างเปรียบเสมือนก้านสูบเครื่องจักรไอน้ำ เปรียบเสมือนเครื่องตอกเสาเข็ม ปลดปล่อยความรุนแรงดัง ‘ปัง ปัง ปัง’ จนบังเกิดเป็นภาพติดตา

กำแพงทองคำเปรียบเสมือนชามคว่ำกลับหัวครอบคลุมไปทั่วอรัญตา ในเวลานี้ ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของเสินซู บังเกิดระลอกคลื่นสีทองปรากฏขึ้นบนพื้นผิวชาม

จากนั้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือน แม้แต่อรัญตาก็ยังสั่นสะเทือนเล็กน้อย พื้นดินสั่นสะเทือน ขุนเขาก็สั่นสะเทือน

ด้วยความถี่เช่นนี้ ด้วยพลังที่ใช้ออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ หากเป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ธรรมดาๆ ภายในหนึ่งเค่อเขาคงเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง จำต้องหายใจกระชั้นถี่เพื่อลดภาระแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อ

แต่เสินซูเป็นเหมือนเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวได้ต่อเนื่อง โจมตีอยู่ตลอดเวลา เหมือนว่าเขาไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย

‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…’

เศษแสงร่วงลงมาราวสายฝน เมื่อโจมตีถี่เข้า กำแพงม่านแสงสีทองพลันสั่นไหว ความถี่ในการสั่นและความถี่ในการออกหมัดก็ประสานกันอย่างช้าๆ ในระดับหนึ่ง

‘เปรี้ยงงงงงง!’

ดูเหมือนกำแพงม่านแสงสีทองจะไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ราวกับฟองสบู่ที่สั่นไหวในสายลม พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

จอมยุทธ์ภิกษุในเมืองอรัญตารู้สึกตกใจเมื่อพบว่าร่างของฉานซือที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกห้องโถงสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู ราวกับว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะล้มลง เลือดเนื้อกลางหว่างคิ้วปริแยกและมีโลหิตหลั่งไหล

ในบรรดาฉานซือทั้งหมดที่นั่งทำสมาธิ มีเพียงกว่างเสียน หลิวหลีและเจียหลัวซู่เท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่ง ส่วนฉานซือคนอื่นๆ ล้วนมีอาการผิดปกติตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงร้ายแรง

นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทไหน?!

ค่ายกลน่าทึ่งที่ควบรวมพลังของขั้นหนึ่งทั้งสามรูปและฉานซือมากกว่าสี่พันรูปยังไม่สามารถหยุดยั้งหมัดที่ไร้ทักษะ เรียบง่ายและหยาบกร้านของสัตว์ประหลาดได้เชียวรึ?

จอมยุทธ์ภิกษุระดับกลางและระดับล่างที่ไม่รู้จักตัวตนของเสินซู รู้สึกเพียงหัวใจของพวกเขาค่อยๆ จมลงสู่ห้วงแห่งความหนาวเย็นมืดมิด

“ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ”

สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลโพ้น นักบวชเต๋าจินเหลียนได้เห็นความแข็งแกร่งของเสินซูด้วยตาตัวเอง ความจริงในใจเขากลับรู้สึกประทับใจ

“นี่ยังไม่ใช่ความแข็งแกร่งเต็มกำลังของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว”

อาซูหลัวเสริมเบาๆ

“หากมีจอมยุทธ์หยาบคายสักคนก็ทะลุทะลวงเปิดทางทำลายค่ายกลได้อย่างง่ายดาย”

จ้าวโส่วหัวเราะ

เหล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แต่ละคนล้วนคึกคักแสดงอารมณ์ แต่ซุนเสวียนจีเสียสิทธิ์ในการพูดไปเพราะไม่มีลิงเป็นล่ามแปลจึงได้แต่นิ่งเงียบ

ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้มี จินเหลียน จ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี อาซูหลัว หลี่เมี่ยวเจิน รวมถึงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและราชาหมีแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“เมื่อไรสวี่หนิงเยี่ยนจะไปถึงระดับนี้?”

หลี่เมี่ยวเจินเปรียบเทียบสวี่ชีอันกับเสินซูโดยไม่รู้ตัว

จ้าวโส่วยิ้มและพูดว่า

“วันนี้ สวี่หนิงเยี่ยนกับเสินซูจะทำให้สำนักพุทธรู้ว่าความรุนแรงเยี่ยงจอมยุทธ์เป็นเช่นไร”

หลังจากพูดจบ จ้าวโส่วก็หาว เขารู้สึกว่าเปลือกตาเขาหนักถึงพันชั่งและอยากนอนขึ้นมาทันที

ในเวลานี้ เขาได้ยินหลี่เมี่ยวเจินพึมพำว่า

“เหตุใดข้าง่วงเสียจริง…”

เหนือมนุษย์ทุกคนต่างตกตะลึง

แม่มดผมเงินหันขวับมาอย่างรวดเร็วและมองไปยังราชาหมีที่อยู่ข้างนาง แน่นอนว่าดวงตาของมันเปิดครึ่งหนึ่งและปิดครึ่งหนึ่งราวกับว่ากำลังนอนหลับ

‘เผียะ เผียะ เผียะ…’

หางทั้งเก้ากางออกพร้อมกัน เฆี่ยนตีราชาหมีราวกับแส้ ทำให้เขาถูกราชินีผู้มีน้ำใจปลุกให้ตื่น

ราชาหมีเจ็บปวดจนตาแทบถลน อาการง่วงนอนของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง

อาการง่วงนอนของเหล่าเหนือมนุษย์ทั้งหลายก็หายไปเช่นกัน

เมื่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ มองมาที่นาง นางก็แย้มยิ้มอธิบาย

“ขออภัย ถ้าราชาหมีง่วงนอน พลังเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขาจะดึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆ ให้มานอนด้วยกัน”

“ทุกท่านโปรดระมัดระวัง ถ้าง่วงเมื่อใดให้ปลุกราชาหมีทันที ย่อมไม่เกิดปัญหาใหญ่จริงหรือไม่”

‘มันเป็นปัญหาใหญ่ ใช่หรือไม่ พวกเราเกือบจะประสบปัญหาแล้ว’…หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่ข่มรูปร่างหน้าตานางให้ด้อยกว่าและบ่นอยู่ในใจเงียบๆ

‘เหตุใดเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงมีรูปแบบที่แปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้? ลิงกับหมีก็เหมือนกันทุกประการ’…นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้ายิ้มๆ แต่ในใจเขากำลังว่าร้ายเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่

ผู้เป็นมือดีอย่างจ้าวโส่วพูดเสียงดัง

“ห้ามหลับใน”

พลังธรรมมะแห่งคำพูดปกคลุมทั่วพื้นที่ ราชาหมีรู้สึกราวกับมีคนเทน้ำเย็นใส่ มันสั่นไปทั้งตัวและได้สติทันที

แน่นอนว่ามันยังสามารถแสร้งหลับได้ แต่ความง่วงที่คอยกวนใจมันอยู่ได้หายไปแล้ว

“มันจะคงอยู่ประมาณหนึ่งเค่อ” จ้าวโส่วกำลังอดทนต่อผลกระทบจากคาถา และหลังจากแน่ใจว่ามันเป็นเพียงผลกระทบเล็กน้อย เขาก็ถอนหายใจโล่งอก

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยังพูดเรื่องเดิมต่อ

“อย่าประมาท ค่ายกลนี้ได้รวบรวมพลังของฉานซือและพระโพธิสัตว์ทั้งสามไว้ ไม่ง่ายเลยที่จะพังเข้ามา”

ราวกับตอบสนองต่อคำพูดของนาง ในอรัญตา พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถงใหญ่พลันลืมตาขึ้นและมองลงไป

เสินซูสูงใหญ่มาก อรัญตาน่าเกรงขามก็เหมือนเนินดินสูง

สิ่งปลูกสร้างบนภูเขาก็เหมือนแบบจำลอง เหล่าภิกษุบนภูเขาก็เหมือนกับมดปลวกตัวจ้อย

ด้านหลังพระสรีระของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ปรากฏร่างธรรมร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิ หลุบคิ้วพนมมือ

ทันทีที่ร่างธรรมนี้ปรากฏ กำแพงม่านแสงสีทองที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจวนเจียนจะพังทลายก็มั่นคงทันที

ลมพัดกระโชกเสียงดังพลันยุติ ลมคลั่งและพลังปราณถูกบังคับให้หยุดลง!

ราวกับว่ายังไม่เพียงพอ พระสรีระกำยำของเจียหลัวซู่พลันผสานเข้ากับ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’

ต่อมาพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิหลุบคิ้วก็เริ่มขยายออกจนกลายเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงหลายร้อยหลายพันเมตร

บนเศียรมีกำแพงม่านแสงสีทอง

รองรับค่ายกลอันยิ่งใหญ่นี้ไว้

‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง’…หมัดของเสินซูพุ่งเข้าโจมตีกำแพงอย่างบ้าคลั่ง บังเกิดประกายแสงนับครั้งไม่ถ้วน

แต่เสียงสะท้อนกลับไม่สะท้อนต่อ ทุกครั้งที่ระลอกคลื่นแผ่ขยายไปถึง ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ระลอกคลื่นเหล่านั้นจักเรียบลงอย่างน่าประหลาด!

……………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท