ตอนที่ 314 ญาติผู้น้องข้าล่ะ
เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงสำหรับทุกครัวเรือนในราชวงศ์ต้าซย่า ล้วนเป็นเทศกาลใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญ ตระกูลใหญ่ร่ำรวยก็ยิ่งให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าระยะนี้ราชสำนักมีกลิ่นอายเข่นฆ่าและการลงโทษรุนแรง รองเจ้ากรมต้วนตำแหน่งขุนนางไม่สูง ชาติกำเนิดธรรมดา สายสัมพันธ์ไม่มาก…ทุกอย่างรวมกันแล้ว ในยามปกติมักทำให้เขารู้สึกขาดอันใดไป แต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าความยุ่งยากลดลง พอเป็นเช่นนี้ จวนรองเจ้ากรมจึงมีความกระตือรือร้นที่จะฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงมากยิ่งขึ้น
นายหญิงผู้เฒ่าคิดแล้วว่าเทศกาลพรุ่งนี้คงวุ่นวาย แต่การที่ต้วนอวิ๋นหลางโพล่งออกมาหลังอาหารเย็นก็คงเป็นเรื่องที่น่าจะวุ่นวายไม่น้อย ดื่มน้ำชาบ้วนปากแล้วก็ถามขึ้นว่า “หลางเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดหรือ”
ต้วนอวิ๋นหลางมองซ้ายมองขวาแล้วก็เอ่ยว่า “ท่านย่า ให้บ่าวออกไปก่อนได้หรือไม่”
นายหญิงผู้เฒ่าขมวดคิ้ว แสดงท่าทีให้บ่าวในห้องออกไป ไม่นานในโถงบุปผาก็เหลือเพียงเจ้านายในจวนรองเจ้ากรม
“พูดมาได้แล้ว”
ต้วนอวิ๋นหลางลังเลมองน้องสาวตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างมารดาทีหนึ่ง
นายหญิงบ้านสองจูซื่อเห็นเช่นนี้ ก็ดึงคุณหนูสี่ต้วนอวิ๋นเยี่ยนลุกขึ้น “นายหญิงผู้เฒ่า เยี่ยนเอ๋อร์เข้านอนแต่เช้าทุกวัน ข้าพานางกลับเรือนก่อน”
นายหญิงผู้เฒ่าพยักหน้า
ต้วนอวิ๋นหลางนิ่งรอจูซื่อพาต้วนอวิ๋นเยี่ยนออกไปแล้วก็รีบกล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็จะเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ข้าไปเรือนหว่านฉิงยังไม่ได้พบน้องชิง ท่านย่า ท่านลุง เกิดเรื่องกับน้องชิงใช่หรือไม่”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกไป นายหญิงผู้เฒ่าก็อดสบตากับรองเจ้ากรมต้วนไม่ได้
คนที่จ้องมองสองผู้อาวุโสมิได้มีเพียงต้วนอวิ๋นหลาง ยังมีต้วนอวิ๋นหลิง
สองเดือนมานี้ นางไปเรือนหว่านฉิงหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้พบพี่ชิงสักครั้ง ได้แต่คาดเดาจากปฏิกิริยาของเสี่ยวเหลียน น่าจะไม่เกิดเหตุอันใดกับพี่ชิง หากพี่ชิงเกิดเหตุ ในฐานะสาวใช้คนสนิทของนาง เป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวเหลียนจะสงบนิ่งอยู่ได้
ความนิ่งเงียบของนายหญิงผู้เฒ่ากับรองเจ้ากรมต้วนทำให้ต้วนอวิ๋นหลางหน้าซีด “น้องชิง มะ…ไม่อยู่แล้ว ใช่หรือไม่”
ต้วนอวิ๋นหลางหันขวับมองไปทางต้วนอวิ๋นเฉิน ความเคารพต่อพี่ชายไม่ได้มากเหมือนที่มีต่อผู้อาวุโส “พี่ใหญ่เองก็รู้ใช่หรือไม่”
เขามองสีหน้าเคร่งเครียดของท่านย่า ท่านลุงและพี่ใหญ่ ยังมีสีหน้าสงสัยของบิดา ในสมองพลันมีเสียงอื้ออึงไปหมด หลุดปากเอ่ยการคาดเดาออกไปว่า “พวกท่านกักขังน้องชิงไว้ใช่หรือไม่ คิดฮุบร้านหนังสือชิงซงกับร้านค้าของน้องชิงทั้งหมดนั้นหรือ”
ต้วนอวิ๋นเฉินก้าวเข้ามาบีบแขนต้วนอวิ๋นหลาง “น้องรอง เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอันใดอยู่ เหตุใดเจ้าคาดเดาผู้ใหญ่เช่นนี้”
ต้วนอวิ๋นหลางกล่าวออกไป ความจริงในใจก็รู้สึกผิด แต่พอถูกต้วนอวิ๋นเฉินถามเอาเรื่องก็โมโหขึ้นมา “ไม่เช่นนั้นพี่ใหญ่ลองว่ามา เหตุใดสองเดือนมานี้ไม่เห็นน้องชิงก้าวออกจากประตูเรือนหว่านฉิง พี่ใหญ่ไม่รู้สึกแปลกบ้างเลยหรือ”
พอต้วนอวิ๋นเฉินถูกถามก็มีสีหน้าย่ำแย่ เม้มปากเอ่ยว่า “ข้ารู้เพียงแค่น้องชิงมาเอ่ยกับท่านย่าเองว่าต้องการเก็บตนบำเพ็ญ เช่นนั้นข้าก็ย่อมต้องเคารพการตัดสินใจของนาง ไม่มาหาเรื่องผู้ใหญ่เหมือนน้องรองเช่นนี้”
เขาย่อมรู้สึกแปลก แต่ท่านย่ากับท่านพ่อไม่พูด เขาก็ได้แต่ถือเสียว่าตนเป็นพี่ชายเท่านั้น จะถามมากความได้อย่างไร
“ข้าไม่ได้หาเรื่อง ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าแท้จริงน้องชิงเป็นอย่างไรบ้าง” ต้วนอวิ๋นหลางสะบัดมือต้วนอวิ๋น เฉินออก
เขาเหลวไหลหรือ แต่หากน้องชิงเกิดเรื่องจริง วันหน้าพี่ใหญ่ก็คือคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด เพียงแต่วาจานี้พูดแล้วไม่น่าฟังนัก หากพูดออกไป สายสัมพันธ์พี่น้องก็คงแตกหัก
“อวิ๋นหลาง” ในที่สุดรองเจ้ากรมต้วนก็เอ่ยขึ้น
ต้วนอวิ๋นหลางมองไปทางเขา
“ผู้ใหญ่ในตระกูลพูดเจ้าก็ไม่เชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ลองถามเสี่ยวเหลียน”
ไม่นานเสี่ยวเหลียนก็เร่งรีบมาจากเรือนหว่านฉิง ได้ยินสาเหตุ แววตาที่มองต้วนอวิ๋นหลางก็รู้สึกทั้งซาบซึ้งและจนใจ
“บ่าวอยากขอคุยกับคุณชายรองส่วนตัวสักครู่” เสี่ยวเหลียนย่อกายให้พวกนายหญิงผู้เฒ่าอย่างไม่มีทีท่าหวาดหวั่น
นายหญิงผู้เฒ่าพยักหน้าพลางนวดหว่างคิ้ว
พอไปถึงสถานที่สะดวกพูดแล้ว ต้วนอวิ๋นหลางก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเหลียน เจ้าไม่ต้องกลัว บอกข้ามา น้องชิงเป็นอย่างไรบ้าง มีเรื่องต่อหน้าผู้ใหญ่ในวันนี้แล้ว ไม่สอบถามให้กระจ่าง ข้าไม่มีทางยอมแน่”
ก่อนหน้านี้ไปเรือนหว่านฉิงมา ตอนถามถึงน้องชิง เสี่ยวเหลียนก็ตอบกลับทันที เขาคิดว่าเสี่ยวเหลียนอาจมีเรื่องไม่อาจเอ่ยได้ จึงไม่ได้ถามต่อ ตอนนี้ท่านลุงตามเสี่ยวเหลียนมา แม้เสี่ยวเหลียนพูดความจริง ก็ไม่อาจลงโทษสาวใช้เช่นนาง
“ข้ายอมรับได้ เจ้าว่ามา” แม้ต้วนอวิ๋นหลางกล่าวเช่นนี้ แต่น้ำเสียงก็ยังเจือเสียงสะอื้นในลำคอ
จบสิ้นแล้ว น้องชิงคงจบสิ้นแล้วเป็นแน่!
“คุณหนูไม่อยู่เรือนหว่านฉิงแล้วเจ้าค่ะ”
ไม่อยู่แล้ว?
“น้องชิงไม่อยู่แล้วดังคาด ข้ามีลางสังหรณ์นานแล้ว…”
เห็นดวงตาทั้งสองของต้วนอวิ๋นหลางเบิกกว้างคลอไปด้วยหยาดน้ำตาทันที เสี่ยวเหลียนก็กระตุกมุมปากคล้ายยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณหนูออกไปเที่ยวนอกเมือง กลัวคนจะนินทา จึงหลอกว่าเก็บตนบำเพ็ญ…”
ต้วนอวิ๋นหลางได้ฟังก็ตาค้าง เป็นนานก่อนจะถามขึ้นน้ำเสียงแข็งทื่อว่า “ท่านย่ารู้ไหม”
เสี่ยวเหลียนลังเลเล็กน้อย “นายหญิงผู้เฒ่าน่าจะรู้…กระมัง”
สองเดือนมานี้นายหญิงผู้เฒ่าไม่ถามถึงคุณหนูเลย ดูท่านายท่านใหญ่น่าจะบอกนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว
“แล้วท่านลุงข้าล่ะ”
“นายท่านใหญ่รู้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงเสี่ยวเหลียนยืนยันหนักแน่น อย่างไรนางก็เป็นคนบอกรองเจ้ากรมต้วนเอง
“แล้วพี่ใหญ่…”
เสี่ยวเหลียนมองต้วนอวิ๋นหลางที่คิดถามทีละคนก็รีบเอ่ยว่า “ผู้อื่นน่าจะไม่รู้เรื่องเจ้าค่ะ”
ต้วนอวิ๋นหลางนิ่งอึ้งไปนาน ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปโถงบุปผาคุกเข่าลงตรงหน้านายหญิงผู้เฒ่า ก่อนจะกอดขาทั้งสองข้างของนายหญิงผู้เฒ่าเอาไว้ “ท่านย่า หลานผิดไปแล้ว!”
นายหญิงผู้เฒ่าตวาดอย่างโมโห “ปล่อยมือ!”
“ท่านย่า หลานผิดไปแล้วจริงๆ!”
ก้มหน้าลงมองหลานชายหน้าไม่อายแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจหนัก “กลับห้องเจ้าไปได้แล้ว”
บางทีอาจเพราะถูกหลานสาวเล่นงานจนชินชาแล้ว พอเจ้าบัดซบรู้ผิดขออภัย ก็ถึงกลับโกรธไม่ลง
ต้วนอวิ๋นหลางปล่อยมือเปลี่ยนไปคุกเข่าอีกทาง “ท่านลุง หลานผิดไปแล้ว!”
รองเจ้ากรมต้วนยังจะกล่าวอันใดได้ หน้าบึ้งเอ่ยว่า “วันหน้าอย่าได้วู่วามเช่นนี้อีก”
ต้วนอวิ๋นหลางรับรอง ก่อนจะตามต้วนเหวินไป่บิดาตนเองออกไปจากเรือนหรูอี้ถัง
สองพ่อลูกเดินตามกันออกมา ผ่านค่ำคืนมืดสนิทมาอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่งผ่านไปต้วนเหวินไป่ก็เอ่ยว่า “หลางเอ๋อร์ วันนี้เจ้าวู่วามไปจริงๆ”
ต้วนอวิ๋นหลางก้าวไปด้านหน้าก้าวใหญ่ก่อนจะเดินไปข้างกายต้วนเหวินไป่ ก้มหน้าเอ่ยน้ำเสียงเบายิ่งว่า “ข้ารู้ เพียงแต่ไม่ถามให้ละเอียด ข้าไม่สบายใจ…”
หากเขาไม่ถาม ในจวนรองเจ้ากรมนี้ยังมีผู้ใดกล้าถาม
ต้วนเหวินไป่นิ่งเงียบตบไหล่บุตรชาย
ในเรือนหรูอี้ถัง
ผู้อื่นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าถามรองเจ้ากรมต้วน “เหวินซง ท่านเซียนมาเข้าฝันบอกเจ้าหรือไม่ว่าชิงชิงต้องเก็บตนบำเพ็ญถึงเมื่อใดจึงจะกลับมา”
“ใกล้แล้ว…”
รองเจ้ากรมต้วนรับมือมารดาตนเองเสร็จก็กลับที่พัก นั่งลงบนเก้าอี้ กลัดกลุ้มทึ้งผม
วันเวลาบ้าบอเช่นนี้ ทนชีวิตแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ!
วันต่อมาเป็นวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ออกประชุมท้องพระโรงตามปกติ จากนั้นก็จัดการราชกิจต่างๆ ได้ฟังขุนนางรายงานเรื่องการจัดงานเลี้ยงฉลองแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด
เพิ่งฝังซินซินได้ไม่นาน ความจริงเขาไม่มีกะจิตกะใจจะจัดงานเลี้ยงในวัง แม้ว่าเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นเทศกาลพิเศษก็ตาม แต่แม้ไม่สนใจผู้อื่น ก็จำต้องใส่ใจความรู้สึกเสด็จแม่
พอคิดถึงความครึกครื้นเฉลิมฉลองในวัง แต่มู่เอ๋อร์อยู่เฝ้าสุสานเยียบเย็นเงียบเหงาเพียงลำพัง ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็รู้สึกบอกไม่ถูก
เขาคิดแล้วก็เรียกตัวเฮ่อชิงเซียวเข้าเฝ้า