บทที่ 1449 การต่อสู้ปะทุขึ้น
หลังจากที่จั่วชิวเฟิงสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลงอย่างกะทันหัน เขาก็ตัดสินใจเข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ดังนั้นการต่อสู้ที่แท้จริงจึงปะทุขึ้น
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ร่างสองร่างทะยานผ่านอากาศ และพุ่งเข้าโจมตีราชันเซียนรัตติกาล
แน่นอนว่า บุคคลทั้งสองคือจั่วชิวเฟิงและจั่วชิวหวงหลิน โดยที่คนแรกเพิ่งบรรลุขอบเขตราชันเซียนเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในขณะที่อีกคนได้บรรลุขอบเขตราชันเซียนมานานแล้ว ประกอบกับพวกเขาได้ตัดสินใจร่วมมือกันสังหารราชันเซียนรัตติกาล ดังนั้นจึงไม่คิดยั้งมือแต่อย่างใด
“เหอะ! สองต่อหนึ่ง? เจ้าทั้งคู่ประเมินข้าไว้สูงจริง ๆ น่าเสียดายที่ฝีมือของพวกเจ้าไม่คู่ควร!” เส้นผมที่สวยงามของเตียนเตี้ยนปลิวไสว ใบหน้าสง่าและงดงามเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิและเย่อหยิ่ง
ในช่วงเวลาถัดมา นางกลายร่างเป็นเงาสีม่วงอ่อนที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และเผชิญหน้ากับศัตรู ราชันเซียนทั้งสามได้เปิดสมรภูมิใหม่บนท้องฟ้า ทั้งยังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ในขณะที่พลังแห่งกฎตัดไขว้กัน และโลกก็สว่างไสวจากการปะทะ!
นอกจากนี้ พลังทำลายยังน่าตกใจอย่างยิ่ง
…
ในเวลาเดียวกัน ร่างชุดคลุมทั้งหกก็พุ่งตัวออกไปอย่างดุร้ายเช่นกัน
คู่ต่อสู้ที่พวกเขาเลือกคือ เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ย
หกต่อสาม
อันที่จริง สถานการณ์นั้นคล้ายคลึงกับการต่อสู้ของราชันเซียนรัตติกาลที่กำลังเผชิญอยู่ เพราะเซวียนหยวนเส้าและคนอื่น ๆ ต่างก็เผชิญกับการรุมโจมตีของร่างชุดคลุมสองคน
ในทางกลับกัน ตั้งแต่การต่อสู้ปะทุขึ้น หัวเจี้ยนคงก็ต่อสู้อยู่บนท้องฟ้ามาตลอด เขาต่อสู้กับศัตรูสามคนด้วยตัวเขาเอง และจนถึงขณะนี้ การต่อสู้เริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะได้ในเวลาสั้น ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในขณะนี้ นอกจากจั่วชิวเฟยหมิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ราชันเซียนทั้งหมดจากทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงชีวิต!
ณ เวลานั้น ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเนตรสวรรค์ที่ปกคลุมพื้นที่หลายสิบล้านลี้ได้กลายเป็นสมรภูมิที่โกลาหลโดยสิ้นเชิง ห้วงมิติแตกเป็นเสี่ยง ๆ เคล็ดวิชาเต๋าระเบิดเสียงกัมปนาท สายฟ้าพลุ่งพล่านไปทั่วสารทิศ เหล่าภูติผีต่างร่ำไห้ ทวยเทพล้วนคร่ำครวญ และแม้แต่ท้องฟ้าก็แตกสลาย ในขณะที่ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็แทบจะพังทลาย
ขอบเขตราชันเซียน!
พวกมันคือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในสามภพอย่างภาคภูมิ และพวกมันก็ทรงพลังอย่างยิ่ง เพียงแค่คิดก็สามารถควบคุมเวลาและมิติ หรือพลิกความเป็นความตายได้ โดยในทางปฏิบัติ พวกมันเป็นดั่งตัวตนที่เป็นอมตะซึ่งมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างกลุ่มราชันเซียน!
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่น่าสะเทือนใจเท่านั้น แม้แต่คำกล่าวที่บอกว่ามันทำให้จักรวาลและทวพเทพตกตะลึงก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายได้แม้แต่เศษเสี้ยว! ตลอดประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ของสามภพ การต่อสู้ในระดับดังกล่าว ถือได้ว่าหายากยิ่ง!
การต่อสู้นั้นช่างน่ากลัวและดุเดือดมาก!
ในเวลานี้ การต่อสู้ที่สะท้านโลกานี้ แม้แต่ทวีปเนตรสวรรค์ก็ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ ปรากฏการณ์แห่งความโกลาหลได้จุติลงมาจากสวรรค์ เสียงของเทพอสูรคร่ำครวญดังก้อง ฝนเลือดโปรยปรายลงมา สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง เวลาและห้วงมิติปั่นป่วนวุ่นวาย…
บนพื้นดิน บังเกิดฉากภัยพิบัติทุกประเภท เช่น ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำไหลบ่า สัตว์ร้ายที่กำลังหลบหนี พื้นดินสั่นสะเทือน และอื่น ๆ สามารถพบเห็นได้ทุกที่
เหล่าสิ่งชีวิตที่อยู่บนทวีปเนตรสวรรค์ต่างหวาดกลัวและตื่นตระหนัก พวกมันกำลังหลบหนีไปทุกทิศทุกทาง และเข้าใจว่ากลียุคของสามภพกำลังมาถึง!
ฝ่ายหนึ่งคือกองกำลังที่เป็นตัวแทนของจั่วชิวเฟิงและเว่ยซิงซึ่งมีราชันเซียนทั้งหมดสิบเอ็ดคน
ส่วนอีกฝ่ายคือกองกำลังกองกำลังที่เฉินซีเป็นตัวแทน และมีราชันเซียนทั้งหมดห้าคน
หากตัดสินจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว มันย่อมแสดงว่าฝ่ายของเฉินซีอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข้อได้เปรียบด้านตัวเลขเท่านั้น เพราะในการต่อสู้ระหว่างราชันเซียน ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือพลังฝีมือที่ราชันเซียนแต่ละคนครอบครอง!
ในทางกลับกัน พลังฝีมือนั่นสะท้อนให้เห็นผ่านการบ่มเพาะ กฎแห่งราชันเซียน พลังของสมบัติอมตะ ประสบการณ์การต่อสู้ สัญชาตญาณการต่อสู้ การบ่มเพาะในดวงจิตแห่งเต๋า และแง่มุมอื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถตัดสินได้ เมื่อเผชิญกับการต่อสู้แบบกลุ่มระหว่างราชันเซียน
ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขา
เว่ยซิงก็ทราบดีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนครั้งนี้
ตราบใดที่กองกำลังของเขาสามารถปราบราชันเซียนฝ่ายศัตรูได้ มันก็เพียงพอแล้ว เพราะเป้าหมายของภารกิจนี้ไม่ใช่ราชันเซียน แต่มันคือ… เฉินซี!
ราชันเซียนที่ติดพันอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือด ด้วยเหตุนี้ เว่ยซิงจึงสามารถสังหารเฉินซีโดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขามั่นใจว่ากองกำลังเท่านี้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเฉินซี!
เพราะขณะนี้ รอบ ๆ ตัวเฉินซีเหลือเพียงจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังที่พ่ายแพ้ไปก่อนหน้านี้
เว่ยซิงยังมีราชันเซียนครึ่งขั้นหกสิบเก้าคน และถ้ารวมตัวเขาไปด้วย ก็จะมีราชันเซียนครึ่งขั้นเจ็ดสิบคน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องไร้สาระ หากพวกเขาไม่สามารถฆ่าเฉินซีได้
“ฉวยโอกาสนี้จัดการมันซะ!” เป็นเพราะความเข้าใจนี้เอง เว่ยซิงจึงไม่ลังเลหลังจากที่เห็นการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนปะทุขึ้น เขานำร่างชุดคลุมที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นทะยานออกไปเพื่อรุมสังหารเฉินซี
…
เฉินซีก็สังเกตเห็นการกระทำและความตั้งใจของเว่ยซิงเช่นกัน
ชายหนุ่มกวาดสายตามองศัตรู รอยยิ้มที่เย็นชาและอำมหิตพลันปรากฏที่มุมปาก ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาที่กว้างใหญ่ราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพลุ่งพล่านด้วยจิตสังหารที่บริสุทธิ์และน่าสะพรึงกลัว
หากเป็นในอดีต บางทีเฉินซีอาจจะรู้สึกหมดหนทางและหวาดกลัว
แต่ตอนนี้ เขาได้บรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว และการบ่มเพาะก็อยู่ในระดับเดียวกับคู่ต่อสู้ แล้วเขาจะต้องกลัวอะไรอีก?
ทันใดนั้น กลิ่นอายของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที กระแสลมรอบ ๆ ตัวส่งเสียงหวีดหวิว ขณะที่มันกลืนพลังงานภายในโลก ปราณเซียนพิสุทธิ์สีทองเข้มอันไร้ที่เปรียบได้พุ่งออกมาจากร่างกาย และทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า ทุกการเคลื่อนไหว แฝงกลิ่นอายของจักรพรรดิที่เสด็จขึ้นสู่สวรรค์
“ผู้อาวุโส ให้ข้าจัดการกับไอ้สารเลวเหล่านี้เถอะ” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เฉินซีพลันหายไปจากจุดนั้นทันที
เดิมที จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ตั้งใจที่จะปกป้องเฉินซีด้วยชีวิต จึงได้แต่ประหลาดใจเมื่อเห็นฉากนี้ จะห้ามก็ห้ามไม่ทันแล้ว
“เด็กคนนี้ไม่วู่วามไปหน่อยหรือ? เขาจะต่อกรกับไอ้พวกสารเลวของนิกายอำนาจเทวะด้วยตัวเขาเองได้อย่างไร? ไม่ได้การ! ข้าต้องไปช่วยเขา!” ผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยความกังวล ตั้งท่าพุ่งตัวออกไป แต่กลับถูกจั่วชิวเฟยหมิงห้ามไว้เสียก่อน
“ปล่อยให้เขาไป เรามาดูกันว่าบุตรชายของอาเสวี่ยมีความสามารถเช่นใด อย่าลืมว่าเขาเป็นดาวที่โดดเด่นที่สุดของภพเซียน และบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว บางทีเขาอาจทำให้เราประหลาดใจก็ได้” จั่วชิวเฟยหมิงหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่ใบหน้าเหี่ยวย่นเผยให้เห็นถึงความคาดหวังเล็กน้อย
“เราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? สถานการณ์ปัจจุบันร้ายแรงถึงเพียงนี้!” ผู้อาวุโสอีกคนขมวดคิ้ว และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเจ้าจงปกป้องข้า ข้าล้มเหลวในการระเบิดตัวเองสองครั้งก่อนหน้านี้ และมันได้ทำลายพลังแก่นแท้ของข้าในขอบเขตราชันเซียนแล้ว ข้าต้องฟื้นฟูมันเสียก่อน!” จั่วชิวเฟยหมิงหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง พลางกล่าวด้วยท่าทางหนักแน่น
ผู้อาวุโสอีกแปดคนของตระกูลจั่วชิวพยักหน้าและเห็นด้วย
หลังจากประสบกับการต่อสู้และการสังหารหมู่อันดุเดือดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาเหลือเพียงเก้าคนเท่านั้น และมันถึงขั้นที่พละกำลังได้หมดไปนานแล้ว ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันจึงเหมือนกับปาฏิหาริย์ที่พวกเขาสามารถรอดชีวิตมาได้จนถึงตอนนี้
ในขณะนี้ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ส่อแววจะพลิกผัน พวกเขาก็ไม่กล้าหย่อนยานแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงใช้เวลานี้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ คอยปกป้องจั่วชิวเฟยหมิง และให้ความสนใจกับสนามรบที่ไกลออกไปอย่างระมัดระวัง โดยที่พวกเขานั้นพร้อมจะพพุ่งเข้าไปช่วยเหลือเฉินซีได้ทุกเมื่อ
…
ขณะที่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ เริ่มหารือเรื่องนี้ เฉินซีก็เข้าสู่การต่อสู้แล้ว!
พื้นที่เหนือท้องฟ้าเป็นสนามรบของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียน ในขณะที่ผืนดินใต้ท้องฟ้ากลายเป็นสนามรบที่เฉินซีต่อสู้กับราชันเซียนครึ่งขั้นหกสิบเก้าคนที่เว่ยซิงเป็นผู้นำ
การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที
ทั้งสองฝ่ายตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่กดดัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
“เฉินซี ไอ้สารเลวน้อย! ไปตายซะ!”
ปัง!
ร่างชุดคลุมเป็นคนแรกที่พุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง ก่อนที่สายฟ้านับไม่ถ้วนจะพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นคัมภีร์เต๋าโบราณที่ท่วมท้นไปด้วยดวงแสงสายฟ้า ซึ่งฟาดไปที่เฉินซีอย่างดุร้ายและทรงพลัง
เมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ ชายหนุ่มพลันกางมือเป็นกรงเล็บ และกระแสวังวนห้วงมิติก็พุ่งออกมา มันเกิดแรงกระเพื่อมขณะที่ทำลายคีมภีร์เต๋าโบราณอย่างรุนแรง จนกลายเป็นฝุ่นผงโปรยปรายลงมาราวกับฝนแสง
พริบตานั้น เฉินซีก็ก้าวไปข้างหน้า และฟาดฝ่ามือใส่หน้าอกของร่างชุดคลุม
ปัง!
หน้าอกของร่างที่สวมเสื้อคลุมยุบเป็นหลุม ชุดคลุมสวมพลันแตกสลายเป็นผง เลือดทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด และใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“พิสดารเฟิงของสำนักศึกษานภาไพศาล? เป็นเจ้าเอง!” ดวงตาของเฉินซีที่พลุ่งพล่านด้วยจิตต่อสู้ พลันกลับกลายเป็นเย็นชาเมื่อจำร่างในชุดคลุมได้ นานมาแล้วในระหว่างการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก เขาได้พบกับพิสดารเฟิง และทราบดีว่าคนผู้นี้ได้เข้าร่วมนิกายอำนาจเทวะ ทว่าไม่คาดคิดว่าพิสดารเฟิงจะเข้าร่วมการต่อสู้นี้เช่นกัน
โครม!
ขณะที่กล่าว เฉินซีก็ไม่ยั้งมือใด ๆ พลันกระทืบเท้าและขยี้พิสดารเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างดุร้าย ทำให้ร่าวของอีกฝ่ายแหลกเป็นชิ้น ๆ และเสียชีวิตทันที!
ราชันเซียนครึ่งขั้นถูกสังหารในพริบตา!
“ระวัง! เจ้าเด็กนี้ฝีมือไม่ธรรมดา!”
“โจมตีพร้อมกัน!”
พิสดารเฟิงพ่ายแพ้เร็วเกินไป ทำให้กลุ่มราชันเซียนครึ่งขั้นคนอื่น ๆ ช่วยเหลือไม่ทัน ในทางกลับกัน พลังฝีมือที่เฉินซีได้เผยออกมานั้น กลับทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน และไม่กล้าที่จะประมาท
โดยเฉพาะเว่ยซิง มีแสงสว่างวาบในใจ และเริ่มถอยกลับไปอยู่ด้านหลังกลุ่มอย่างไม่รู้ตัว
ปัง ปัง ปัง ปัง!
ราชันเซียนครึ่งขั้นอีกสี่คนพุ่งเข้ามาพร้อมกัน พวกเขามาจากสี่ทิศ และแต่ละคนก็โจมตีด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุด
กระบี่เซียนสีเหลืองอมส้มทะยานผ่านท้องฟ้า และมันกลายเป็นม่านกระบี่ที่เปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน มันช่างอำมหิตและร้อนแรง
ขวดแก้วหมุนวน แต่ขวดนั้นดูประณีต ยาว และเป็นสีขาวหยก ทั้งยังปลดปล่อยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีซีดอย่างน่าสยดสยอง ซึ่งแผดเผาไปทั้งผืนฟ้า
ธงเบญจทัศน์สีแดงเลือดกระพือผ่านท้องฟ้าขณะที่มันก่อตัวเป็นเหล่านักรบและเทพอสูรที่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ตราขุนเขาสีเทาขนาดมหึมาฟาดลงมาจากเวหา เหมือนกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ตกลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และตั้งใจบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางมัน
สมบัติอมตะระดับความว่างเปล่าสี่ชิ้นและราชันเซียนครึ่งขั้นสี่คน ล้วนโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มี ในขณะนี้ พวกเขากดดันเฉินซีจากทุกทิศทุกทาง และปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมด ทั้งยังผนึกห้วงมิติและกาลเวลาที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ!
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเฉินซีก่อนหน้านี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าประมาท ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันและตั้งใจทำลายเฉินซีด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุด!