ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 615 ต่อไปฉันจะรับช่วงต่อเอง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 615 ต่อไปฉันจะรับช่วงต่อเอง(2)

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เซี่ยฉางชิงก็ทนไม่ไหวก่อนจะพูดกล่าว “มู่หลาน ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลูกยังจะปิดพวกเราอีก ถ้าพ่อไม่บังเอิญได้ยินเข้า พ่อก็คงไม่รู้ว่าลูกเจอปัญหาหนักขนาดนี้”

ฉินมู่หลานนึกไม่ถึงว่าเซี่ยฉางชิงจะทราบเรื่องนี้ด้วย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดจะบอกเรื่องนี้ให้กับคนนอก จึงไม่ได้บอกตระกูลเซี่ยด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ยังทราบ

“พ่อคะ ครั้งนี้หนูก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ”

“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง พ่อได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นมีอาวุธอยู่ในมือด้วยนะ”

เซี่ยฉางชิงคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็หวาดกลัว จากนั้นจึงหันมองเซี่ยเจ๋อหลี่ก่อนจะกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะไหวพริบของมู่หลาน หล่อนคงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว เธอปกป้องมู่หลานยังไงเนี่ย”

เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่กล่าวแก้ตัวสักคำ พลางก้มหน้าก้มตายอมรับความผิด “พ่อครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”

เพราะเขาก็รู้สึกโทษตัวเองนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงน้อมรับคำตำหนิของเซี่ยฉางชิง

ในทางกลับกัน ฉินมู่หลานกลับทนไม่ไหวแล้ว

“พ่อคะ ทำไมพูดกับอาหลี่แบบนั้น ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น”

เซี่ยฉางชิงเห็นลูกสาวออกโรงปกป้องลูกเขยในทันที จึงได้แต่จ้องมองพวกเขาสองคน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับพูดจุดประสงค์ในการมาของเขาแทน “พ่อพาคนมาคุ้มกันมู่หลานโดยเฉพาะ พวกเขาอยู่ที่นี่…”

เซี่ยฉางชิงยังทันพูดจบ ฉินมู่หลานก็กล่าวขึ้นทันที “พ่อคะ ฉันมีคนคอยคุ้มกันอยู่แล้วค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงหรอก” พูดจบก็รีบไปเรียกเหวินเชี่ยนและชุยเสี่ยวผิงที่เพิ่งกลับมาจากซิงหลินถังออกมา

เซี่ยฉางชิงเห็นว่าลูกสาวเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วจริง ๆ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อย แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมองเซี่ยเจ๋อหลี่ต่อ

เซี่ยเจ๋อหลี่น้อมรับแต่โดยดี เพราะเขาก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน

เซี่ยฉางชิงพูดคุยกับฉินมู่หลานต่ออีกสักพักแล้วจึงกลับไป และฉินมู่หลานก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันจบแล้ว แต่สิ่งที่เธอไม่ทันคาดคิดก็คือ เยวี่ยจงจีมาปักกิ่งอีกแล้ว

“นายมาทำไม?”

ฉินมู่หลานเห็นเยวี่ยจงจีปรากฎตัวที่มหาวิทยาลัยของพวกเขา สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เยวี่ยจงจีหันมองฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้มแล้วจึงกล่าวว่า “นักศึกษาฉิน พวกเราไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยอยู่ข้าง ๆ ฉินมู่หลาน เดิมทีทั้งสองกำลังจะไปโรงอาหาร นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับเยวี่ยจงจีเข้า “นักศึกษาเยวี่ย นายเพิ่งกลับไปไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงกลับมาอีกรอบเร็วขนาดนี้ล่ะ”

เยวี่ยจงจีได้ยินแบบนี้ก็หันมองเซี่ยปิงหรุ่ย จากนั้นก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นของที่หลี่หมิงฮุ่ยฝากมาให้เธอ เขาบอกว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว นี่เป็นของขวัญ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยปิงหรุ่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัย

“หลี่หมิงฮุ่ย? ทำไมเขาถึงให้ของขวัญฉันล่ะ?”

เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยไม่ขยับ เยวี่ยจงจีจึงยัดของใส่มือเซี่ยปิงหรุ่ยทันที “เรื่องนี้ฉันไม่รู้หรอก เอาไว้ต่อไปเธอเจอเขา ก็ลองถามเขาเอง”

พูดจบก็หันมองฉินมู่หลานแล้วบอกกล่าวอีกครั้ง “นักศึกษาฉิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย เกี่ยวกับตู้เยว่เอ๋อร์ รวมถึงเรื่องการทำธุรกิจของเยว่หรงกรุ๊ปและมู่เสวี่ยด้วย”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็หันไปมอง จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้สิ พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันก่อนเถอะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าทั้งสองจะคุยเรื่องมู่เสวี่ย จึงไม่คิดจะตามไป “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอไปนั่งที่ร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยสิ อาหารที่นั่นรสชาติดีมาก”

ส่วนหล่อนก็เดินไปที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย

เมื่อฉินมู่หลานและเยวี่ยจงจีมาถึงร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัย ทั้งสองก็สั่งอาหารมาคนละสองสามอย่าง หลังจากนั้นก็นั่งลงพูดคุยกัน

“ตู้เยว่เอ๋อร์โดนคุมขังแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ตกตะลึง “หล่อนโดนพาส่งสถานีตำรวจที่ฮ่องกงเหรอ?”

แต่มาคิดดูก็พบว่าตู้เยว่เอ๋อร์เป็นภรรยาน้อยของเยวี่ยหรงกวง ตระกูลเยวี่ยจะต้องปกป้องหล่อนแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะโดนคุมขังแล้ว จึงค่อนข้างน่าแปลกใจ แต่เธอก็อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน

“เปล่าหรอก”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินมู่หลานก็จางหายในทันที “ที่แท้ฉันก็คิดผิด”

เยวี่ยจงจีรีบอธิบายทันที “ถึงจะไม่ได้โดนควบคุมตัวอยู่ในสถานีตำรวจ แต่สภาพของตู้เยว่เอ๋อร์ก็ไม่ได้มีความเป็นอยู่ดีมากไปกว่าที่นั่น หล่อนโดนพ่อฉันขังเอาไว้ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก”

เยวี่ยจงจีก็คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้พ่อจะโหดได้ขนาดนี้

“ตู้เยว่เอ๋อร์ความสามารถค่อนข้างดี พ่อจึงให้ค่ามาตลอด ตอนแรกฉันคิดว่าการที่ตู้เยว่เอ๋อร์เสียลูกไปจะทำให้พ่อฉันนึกสงสารหล่อน นึกไม่ถึงเลยว่าพ่อจะเล่นบทโหดขังหล่อนเอาไว้”

หลังจากพูดจบ สายตาของเยวี่ยจงจีก็เต็มไปด้วยความเย็นชา

“อันที่จริง พ่อฉันก็ยังจิตใจด้านชาอยู่นะ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะชอบตู้เยว่เอ๋อร์มากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็สลัดทิ้งได้อย่างไม่ไยดี”

ฉินมู่หลานก็แปลกใจเหมือนกัน “ดูเหมือนว่าพ่อของนายจะชอบลูกชายคนก่อนที่เสียไปมากเลยนะ”

“เหอะ…”

เยวี่ยจงจีแค่นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ย “ถึงพ่อจะชอบลูกชายคนเล็กคนก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้นหรอก ตอนนี้ที่เขาทิ้งตู้เยว่เอ๋อร์ ก็เพราะว่าหล่อนจะทำลายผลประโยชน์ของพ่อฉัน”

ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ เยวี่ยจงจีไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องภายในเยว่หรงกรุ๊ป

และฉินมู่หลานก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เธอเพียงแค่อยากทราบว่าตอนนี้ตู้เยว่เอ๋อร์มีชะตากรรมอย่างไรบ้างเท่านั้นเป็นพอ

เยวี่ยจงจีพูดเรื่องตู้เยว่อ่อร์จบแล้ว ก็พูดเรื่องการร่วมมือทางธุรกิจของสองตระกูลขึ้นมา

“ต่อไปการร่วมธุรกิจของเยว่หรงกรุ๊ปกับเครื่องแบรนด์เครื่องสำอางมู่เสวี่ย ฉันจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมดเอง”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็อดหันไปมองเยวี่ยจงจีเสียไม่ได้พลางกล่าวขึ้น “นายรับผิดชอบเหรอ? แต่ไม่ใช่ว่านายกำลังเรียนแพทย์อยู่หรอกเหรอ?”

“ใช่ ถึงฉันจะเรียนแพทย์ แต่ก็เรียนการบริหารธุรกิจมาด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการร่วมมือทางธุรกิจเธอไม่ต้องเป็นห่วง”

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอย่างราบรื่นนะ”

“หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอย่างราบรื่น”

ทั้งสองจับมือเป็นการแสดงความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ

เยวี่ยจงจีกินข้าวเสร็จก็กลับไป หลังจากเซี่ยปิงหรุ่ยทราบจุดประสงค์ในการมาของเยวี่ยจงจีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าสงสัย “เขามาที่นี่เพื่อจะคุยกับเธอสองเรื่องนี้เหรอ ถ้าอย่างนั้นจำเป็นต้องถ่อมาถึงปักกิ่งเลยหรือไง หาวิธีติดต่อทางอื่นก็ได้”

ฉินมู่หลานไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากมายนัก “บางทีเขาอาจจะมีธุระอย่างอื่นที่จำเป็นต้องมาปักกิ่งด้วยก็ได้”

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้ก็ไม่ว่าอะไรอีก

และฉินมู่หลานก็ได้พูดคุยกับเซี่ยปิงหรุ่ยอีกเรื่องด้วยเหมือนกัน

“ปิงหรุ่ย พรุ่งนี้พวกเรามาประชุมกันให้ดี ต่อไปเราจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของซิงหลินถังแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อ? ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อคืออะไร?”

“ก็อย่างเช่นเมื่อมีคนพูดถึงผลิตภัณฑ์นี้ ทุกคนก็จะรู้ว่ามาจากซิ่งหลินถังของเราไง”

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ฟังคำพูดนี้ แววตาก็สว่างวาบเป็นประกาย

“จริงเหรอ ซิ่งหลินถังของพวกเราจะกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนได้จริงเหรอ?”

“แน่นอน ตราบใดที่เราทำงานได้ดี ต้องเป็นไปได้อยู่แล้ว” ฉินมู่หลานมีความคิดอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นสิ่งที่เธอคิดหลังกลับมาจากไห่เฉิง

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท