บทที่ 595 องค์หญิง นี่ใช่คำสั่งของเจ้าหรือไม่
ชางฉีดึงผ้าเช็ดหน้าไปจากมือของนาง แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของนางดี
แม้ว่าเขาจะภาคภูมิใจในถู่เจีย แต่ก็เคยไปที่เมืองชายแดนของต้าจิ้นมาแล้ว
ที่นั่นเจริญรุ่งเรืองกว่าทุ่งหญ้าของถู่เจียมากจริง ๆ
และศัตรูตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้บนทุ่งหญ้า
แต่ทรัพยากรของจงหยวนนั้นเหนือกว่า
นางจึงได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมและล้ำค่าเพียงนี้ ก่อนแต่งงานกับนาง เขายังได้ยินพ่อค้าชาที่ไปจงหยวนเคยพูดว่า
“องค์หญิงใหญ่ต่อให้ต้องแต่งงานกับเจ้าของที่ดินสักคนในต้าจิ้น ก็ยังดีกว่าแต่งกับท่านข่านของถู่เจีย”
พวกเขาต่างก็รู้สึกเสียใจแทนนาง
แต่ชางฉีไม่ใช่ผู้ชายที่จะด้อยค่าตัวเอง เขาภูมิใจในตัวเองแต่ไม่ได้หยิ่งทะนง
ผู้หญิงของเขา เขาย่อมมีวิธีดูแลในแบบของเขา ถู่เจียก็มีสิ่งที่ต้าจิ้นไม่มีเช่นกัน
นางเคารพเขา เขาย่อมต้องรักและทะนุถนอมนาง
เซี่ยวั่งซูถูกเขาดึงไปด้านข้าง จากนั้นชางฉีก็เชยคางของนางขึ้นมา ก่อนจะเช็ดฝุ่นที่เลอะบนใบหน้าของนางออก
“ซี้ด” ผิวของนางบอบบาง เขาเช็ดแรงไป
ชางฉีจึงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “กลัวหรือไม่?”
ขนตาดำยาวเป็นแพของเซี่ยวั่งซูสั่นไหวเล็กน้อย “อืม”
“กลัวอะไร? เพราะตามข่าวลือข้าน่ากลัวมากอย่างนั้นหรือ? กินสัตว์ดิบ ๆ ดื่มเลือดสด ๆ หรืออย่างไร?” ชางฉีเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือของนางจนสะอาด ราวกับหยกเนื้อดี อ่อนนุ่มราวกับไม่มีกระดูก
“ภาษาจงหยวนของเจ้าดียิ่งนัก”
“ข้าเรียนกับพ่อค้าชาวจงหยวน แล้วเจ้ารู้ภาษาถู่เจียหรือไม่?”
เซี่ยวั่งซูจึงใช้ภาษาถู่เจียตอบกลับเขา “เรียนตลอดทางที่มา”
เห็นได้ชัดว่าภาษาถู่เจียของนางนั้นถูกต้องและคล่องแคล่วยิ่งนัก ทำให้ชางฉีรู้สึกประทับใจอย่างมาก
ดวงตะวันค่อย ๆ ลาลับไป เมฆถูกย้อมจนกลายเป็นสีส้ม เซี่ยวั่งซูมองภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ ในใจก็รู้สึกสงบอย่างยิ่ง และเต็มไปด้วยความปรารถนาถึงอนาคต
“ชางฉี”
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจมากที่นางเป็นฝ่ายเรียกเขาก่อน
“ข้าอยู่นี่”
“ข้าจะเป็นภรรยาที่ดีของเจ้า แต่ข้าอาจมีข้อบกพร่องมากมาย วันหน้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ตอนที่นางพูดประโยคนี้ แผ่นหลังของนางตั้งตรง ไม่ว่าจะที่ใดเวลาใด นางก็ยังรักษาท่าทีขององค์หญิงเอาไว้
เสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล พวกเขาจึงหันกลับไปมอง ก็เห็นธงของถู่เจียและต้าจิ้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เป็นขบวนรับและส่งตัวเจ้าสาว
เสนาบดีจางเป็นคนนำหน้ามา ก่อนจะเห็นองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดสีแดงนั่งเคียงข้างท่านข่านจากระยะไกล เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีจึงได้โล่งใจ
จากนั้นก็รีบลงมาจากหลังม้าและเข้ามาคุกเข่าทันที “องค์หญิงทรงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เสนาบดีจางไม่ต้องมากพิธี”
ส่วนทางนั้นกองทหารของถู่เจียที่รับผิดชอบเรื่องการรับเจ้าสาวก็ได้เริ่มตั้งค่ายแล้ว
จื่อหลันลงมาจากรถม้า วิ่งมาทางนางพร้อมกับจื่อฮุ่ย เพื่อเชิญนางไปพักผ่อนที่บนรถม้า
ส่วนชางฉีต้องต้อนรับเสนาบดีจาง และแม่ทัพหู่เปินที่มาส่ง
บนพื้นหญ้า ชุดเช่นนี้ทำให้นางเดินไม่สะดวก ดังนั้นหลังจากเซี่ยวั่งซูเดินไปได้สองก้าว ด้วยชายชุดยาวที่กรุยกรายจึงทำให้นางกลัวว่าจะมีแมลงมุดเข้าไป
ชางฉีเห็นได้จากทางหางตา จึงก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปหานาง ก่อนจะอุ้มคนขึ้นมาและพาไปส่งที่รถม้า
เนื่องจากเป็นรถม้าแต่งงานขององค์หญิงแห่งต้าจิ้น ย่อมหรูหราเป็นอย่างมาก
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันกลับยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว เซี่ยวั่งซูถูกเขาวางลงบนเบาะนุ่ม จื่อหลันและคนอื่น ๆ ก็ได้แต่ยืนอยู่ที่ประตูไม่กล้าเข้ามา
“การโจมตีเมื่อครู่?”
“เป็นกลุ่มม้าบินของที่นี่ คอยดักปล้นคาราวานพ่อค้าที่มาจากจงหยวนของพวกเจ้าโดยเฉพาะ” ชางฉีอธิบาย
“ต่อให้ข้าอยากจะแกล้งเจ้า ก็ไม่มีทางเอาชีวิตของเจ้ามาล้อเล่นเช่นนี้แน่”
อาจมีคนจำนวนมากที่ไม่ต้องการให้ทั้งสองแคว้นแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน แต่ไม่ใช่เขา
ชางฉีเอ่ยเพียงเท่านี้ก็เงียบไป เขารู้ว่าชาวต้าจิ้นมีกฎระเบียบ เมื่อเห็นว่านางนั่งดีแล้วจึงได้ลงจากรถม้า
พวกจื่อหลันจื่อฮุ่ยรอเขาเดินออกไปไกลแล้วจึงได้ขึ้นไปบนรถม้า
“องค์หญิง ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เพคะ?”
“องค์หญิง นั่นก็คือท่านข่านหรือเพคะ?”
เซี่ยวั่งซูกวาดตามองความยุ่งเหยิงบนรถม้า จื่อหลันเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปจัดเก็บทันที
จื่อฮุ่ยก็แต่งหน้าทำผมให้กับเซี่ยวั่งซูใหม่ “บนหน้าท่านข่านมีรอยแผลเป็นยาวมากรอยหนึ่ง หากไม่มีละก็คงจะหล่อเหลายิ่งกว่านี้นะเพคะ”
ใช่แล้ว หล่อเหลา แค่ใบหน้าก็คู่ควรกับองค์หญิงของพวกเราแล้ว
จื่อหลันพึมพำขึ้นมา “หน้าตาหล่อเหลามีประโยชน์อะไร ต้องทำดีกับองค์หญิงของเราด้วยถึงจะคู่ควร”
หลังจากอยู่ในรถม้าได้สักพัก ก็มีคนมาเชิญองค์หญิงลงจากรถม้า บอกว่ากระโจมตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้พักผ่อนก่อนสักคืน
รถม้าหยุดลงตรงด้านนอกกระโจม เมื่อเซี่ยวั่งซูลงไปก็สามารถเข้าไปในกระโจมได้เลย
ชางฉีนั่งอยู่กับเสนาบดีจาง ดูธรรมเนียมการแต่งงานของต้าจิ้นที่เขาเสนอมา
ราชสำนักถู่เจียได้เริ่มสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงยังคงพักอยู่ในกระโจมไปก่อน แต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้
ทหารม้าของต้าจิ้นจึงไม่สามารถเข้าไปในราชสำนักได้
เสนาบดีจางก็ต้องปิดตาตอนที่เข้าไปด้วย
เขาในฐานะเจ้าหน้าที่พิธีการ ย่อมต้องไปดูองค์หญิงใหญ่เข้าพิธีแต่งงานให้เรียบร้อยด้วยตาตัวเอง
นอกจากนี้ทางถู่เจียก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ เสนาบดีจางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
องค์หญิงใหญ่เป็นสมบัติล้ำค่าของต้าจิ้น ทั้งยังมีจิตใจที่เที่ยงธรรม เสนาบดีจางย่อมอยากให้นางมีชีวิตที่ดี
อาหารเย็นมื้อนี้เป็นเนื้อแกะย่างทั้งตัว และยังมีเครื่องเคียงที่พ่อครัวหลวงที่มาจากวังหลวงเป็นคนทำอีกด้วย
ฝ่าบาทสงสารองค์หญิงใหญ่ ตอนที่จัดสินเดิมก็ได้จัดเตรียมของให้ทุกอย่าง
แต่องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องการอัญมณี เครื่องประดับ หรือหยกเหล่านั้น
นางเพียงต้องการเมล็ดพันธุ์ ชาวนา หมอ ตำรา และช่างฝีมือทุกแขนงเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าไข่มุกงดงามแต่ไร้ชีวิตเหล่านั้นมาก
ทว่ากระโจมนั้นกลับดูซอมซ่ออย่างมาก จื่อฮุ่ยแค่มองก็รู้สึกดูแคลนแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ทว่าหลังจากที่เซี่ยวั่งซูอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้เอ่ยกับองค์หญิงใหญ่เบา ๆ “เมื่อครู่แม่นมซ่งมาคารวะและได้ทูลขออนุญาตจากองค์หญิง พรุ่งนี้จะเป็นวันอภิเษกสมรสแล้ว จะให้ส่งผู้หญิงเข้าไปให้ท่านข่านหรือไม่เพคะ?”
เซี่ยวั่งซูนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้าจื่อฮุ่ย
ตระกูลใหญ่ ๆ ก็มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ ก่อนแต่งงานต้องส่งคนไปหลับนอนกับเจ้าบ่าว เพื่อดูลีลาและขนาดว่าใช้ได้หรือไม่
ทว่าเซี่ยวั่งซูกลับขมวดคิ้ว “บอกนางให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าได้เอากฎระเบียบของต้าจิ้นมาใช้ที่นี่”
จื่อฮุ่ยอย่างไรเสียก็ต้องฟังองค์หญิงอยู่แล้ว
แต่ในวังก็ได้เลือกสาวงามมาให้สิบกว่าคน จึงนับว่าเป็นสินเดิมขององค์หญิงด้วย ดังนั้นถึงเวลาก็ต้องมอบให้ท่านข่านอยู่ดี
“แต่หากไม่ให้พวกนางทำหน้าที่ ท่านข่านจะคิดว่าองค์หญิงเป็นพวกชอบหึงหวงหรือไม่เพคะ?” จื่อหลันติดตามเซี่ยวั่งซูมาตั้งแต่เด็ก และรู้ใจนางมากที่สุด
เพราะผู้นำแคว้นไม่มีเหตุผลที่จะมีผู้หญิงเพียงคนเดียว
เซี่ยวั่งซูเม้มริมฝีปาก “หากเขาคิดเช่นนี้ แล้วข้าจะทำอะไรได้กัน”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ด้านนอกก็มีคนตะโกนเรียกท่านข่าน และทันใดนั้นม่านก็ถูกคนเปิดออก ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาทันที ทำให้กระโจมที่เล็กและคับแคบนี้ เมื่อมีคนเพิ่มขึ้นมาก็เริ่มหายใจลำบากขึ้น
เซี่ยวั่งซูลุกขึ้นนั่ง สาวใช้ทั้งสองก็ไม่รู้ว่าควรขวางอยู่ตรงนี้ หรือควรออกไปดี
แสงเทียนวูบไหว แต่ชางฉีก็ไม่ได้เข้ามาใกล้มากไปกว่านั้น “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
เซี่ยวั่งซูพูดจบก็ลงจากเตียงและสวมรองเท้า ในกระโจมไม่มีที่นั่ง ดังนั้นชางฉีจึงนั่งลงบนเตียงของนาง
“เมื่อครู่มีหญิงชราที่มากับพวกเจ้า ส่งผู้หญิงคนหนึ่งไปให้ข้า บอกว่าเป็นกฎระเบียบของพวกเจ้า เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
เซี่ยวั่งซูคิดไม่ถึงว่าแม่นมซ่งผู้นั้นจะกล้าทำอะไรโดยพลการเช่นนี้!
ทันใดนั้นความคิดมากมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง กลัวว่าการกระทำเช่นนี้จะสร้างความไม่พอใจให้ถู่เจีย และคิดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามท่านข่านของพวกเขา
ทว่าชางฉีเพียงแค่มองนางอยู่อย่างนั้น “ข้าถามเจ้า องค์หญิง นี่ใช่คำสั่งของเจ้าหรือไม่?”