บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1457 การมาถึงของเจ้าสำนัก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1457 การมาถึงของเจ้าสำนัก

……………………………………………………………………..

บทที่ 1457 การมาถึงของเจ้าสำนัก

มีตำนานเล่าขานมากมายถึงแดนเทพโบราณ ดินแดนซึ่งถูกกลบฝังไว้ภายใต้กาลเวลาอันยาวนาน

แม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาอย่างจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิง พวกเขาก็รู้เพียงแต่ว่าแดนเทพโบราณนั้นมีอยู่จริงอย่างแน่นอน มันเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าทวยเทพดำรงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์!

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่รู้ที่ตั้งอันแน่นอนของมัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั่นมีสิ่งใดหลบเร้นอยู่ภายใน

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้คนรู้จักมันเพียงจำกัดเช่นนี้ ก็ทำให้แดนเทพโบราณยิ่งดูลึกลับมากขึ้น มันกลายเป็นสถานที่ซึ่งล่อตาล่อใจผู้คนที่ดำรงอยู่ในขอบเขตเทวาอย่างร้ายกาจ

เช่นเดียวกับการที่ผู้บ่มเพาะจากภพมนุษย์ปรารถนาที่จะขึ้นไปยังภพเซียน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาเองก็ปรารถนาที่จะหลบหนีจากเขตแดนแห่งสามภพและไปถึงแดนเทพโบราณเพื่อแสวงหาหนทางอันลึกล้ำสู่การเป็นเทพเซียน!

ในตอนนี้ สิ่งที่ซุ่ยเหรินถิงพูดขึ้นได้ปัดความคิดของจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ทิ้งไปโดยปริยาย สิ่งนั้นทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้อยู่ลึก ๆ ในใจ

ใช่ พวกเขาเข้าใจเรื่องเช่นนี้มานานแล้ว เหมิงซิงเหอเคยกล่าวเอาไว้ว่าสำหรับตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเทวา วิถีแห่งโอกาสนั้น มาพร้อมกับอันตรายซึ่งแฝงอยู่ใต้การมาถึงของภัยพิบัติ

วิถีแห่งโอกาสนี้คือเส้นทางสู่แดนเทพโบราณ!

ทว่าตอนนี้ซุ่ยเหรินถิงกลับปัดตกเรื่องทั้งหมดนี้ไปอย่างไม่ไยดี มีหรือที่พวกเขาจะยอมรับได้?

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกหดหู่หรือปล่อยให้ดวงจิตแห่งเต๋าได้รับการกระทบกระเทือนจากเรื่องนี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็คิดว่าหากตนไม่สามารถค้นพบวิถีแห่งโอกาสในภัยพิบัตินี้ได้จริง ๆ พวกเขาก็ไม่สามารถหลีกนี้จะภัยพิบัติต่าง ๆ ได้อีกต่อไป….

“ฮึ่ม! หากพวกเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัตินี้ได้ นิกายอำนาจเทวะของเจ้าก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นด้วยเช่นกัน!” ฉือฉางเซิงแค่นเสียงเย็น

“โธ่! ช่างไร้เดียงสาเสียจริง อย่าลืมสิว่านิกายอำนาจเทวะของข้าควบคุมและรักษาพลังของเต๋าแห่งสวรรค์อยู่ พวกข้านั้นมีชะตากรรมแห่งสวรรค์ ไม่มีภัยพิบัติใดที่จะสามารถทำภยันตรายอะไรแก่พวกข้าได้ทั้งนั้น สิ่งนี้เรียกว่าความยุติธรรมสำหรับสวรรค์!” ซุ่ยเหรินถิงเย้ยหยัน เสียงของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยถากถาง

มันเป็นคำพูดที่แม้แต่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธว่ามันไม่จริง อย่างที่ซุ่ยเหรินถิงกล่าว ความสามารถในการใช้พลังของเต๋าแห่งสวรรค์ของนิกายอำนาจเทวะนั้นหาใช่เรื่องที่เป็นความลับแต่อย่างใด

ก็อย่างที่เห็น ผู้บ่มเพาะซึ่งเคยผ่านทัณฑ์สวรรค์หรือภัยพิบัติแห่งฟ้าดินทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีเงาของนิกายอำนาจเทวะซ้อนทับอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

“ผดุงความยุติธรรมแก่สวรรค์อย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าจะวาจาหรือการกระทำ นิกายอำนาจเทวะของเจ้าก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้ใต้บัญชาของเต๋าแห่งสวรรค์เท่านั้น มีสิ่งใดให้เจ้ากล้ายืดอกภูมิใจด้วยหรือ?” น้ำเสียงของเฉินซีเย็นชา มันเต็มได้การเย้ยหยันไม่ต่างกัน มันเป็นคำพูดของจักรพรรดิเต๋าจี้อวี๋ บัดนี้ชายหนุ่มนำมันมาใช้กับซุ่ยเหรินถิง

ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าของซุ่ยเหรินถิงพลันมืดมน นี่เจ้ามดปลวกตัวจ้อยกล้าเรียกนิกายอำนาจเทวะของข้าว่าสุนัขรับใช้อย่างนั้นหรือ?! โอหัง สมควรตาย! ไม่ใช่แค่ซุ่ยเหรินถิงเท่านั้น หากใบหน้าจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวาเองก็เคร่งขรึมลงไม่ต่างกัน มันแฝงไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง

ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบพลันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันเงียบงัน ราวกับการต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

แปะ! แปะ! แปะ!

ทันใดนั้น เสียงปรบมือที่ดังกังวานก็กึกก้องมาจากที่ไกล มันเป็นจังหวะที่แปลกหูและชวนให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย

“พูดได้ดี แต่ถึงอย่างนั้น ในความคิดของข้า คนของนิกายอำนาจเทวะน่ะ ต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขรับใช้เสียอีก พวกเขาเป็นเพียงฝูงของสัตว์ประหลาดที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก” ครั้นเสียงปรบมือหลุดลง คลื่นแห่งความผันผวนก็เกิดขึ้นท่ามกลางพื้นที่มิติอันห่างไกล ไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏขึ้น คนหนึ่งดูคล้ายกับชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์ธรรมดา ทว่าดวงตากลับแต่งแต้มไปด้วยช่วงวัยที่มากประสบการณ์ ราวกับเคยพบพานกับภัยพิบัติมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน

เมื่อมองจากที่ไกล เขาเป็นเหมือนผืนฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว กลิ่นอายอันสง่างามทอดไปอย่างไร้สิ้นสุด

ข้าง ๆ กันนั้นคือชายหนุ่มรูปงามผู้มีริมฝีปากสีแดงสด ฟันขาวเรียวสวย ดวงตาทอประกายวาววับ อาภรณ์ปักลายบนกายนั้นส่งเสริมให้เขาดูมีเสน่ห์เหลือร้าย

สองคนนี้คือเหมิงซิงเหอ เจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และหลียางแห่งเขาเทพพยากรณ์ไม่ผิดแน่!

“ท่านเจ้าสำนัก!” ดวงตาของจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ทอประกาย จริงอยู่ที่พวกเขาไม่รู้จักหลียาง แต่การปรากฏตัวของเหมิงซิงเหอก็ทำให้หัวใจของพวกเขาสงบนิ่ง ความตึงเครียดคลายลงหลายส่วน

“เหมิงซิงเหอ!” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน เซวียนหยวนท่าเป่ย จั่วชิวเฟยหมิง และคนอื่น ๆ จดจำคนผู้นี้ได้ทันทีเมื่อเห็นหน้า จิตใจของพวกเขาเองก็ชุ่มชื่นมากขึ้นไม่น้อย

หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดเจ้าสำนักของสำนักศึกษาอันดับหนึ่งในภพเซียนก็ปรากฏตัวขึ้นบนโลกอีกครั้ง การมาถึงของเขาสร้างขวัญกำลังใจให้แก่คนทั้งหลายอย่างแท้จริง

“หลียางแห่งเขาเทพพยากรณ์…” ในบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ นอกจากเฉินซีแล้ว ก็มีเพียงราชันเซียนรัตติกาลที่จำชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมปักลายนี้ได้ แสงเรืองรองตระการฉายฉาบดวงหน้าของนางชั่วขณะหนึ่ง คล้ายกับว่านางกำลังตื่นเต้น หวาดหวั่น ยากจะจำแนกได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่

แน่นอนว่าคนที่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือเฉินซี ตั้งแต่ขึ้นสู่ภพเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับศิษย์พี่ของตน แล้วจะไม่ให้เขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?

อาจกล่าวได้ว่าในใจของเฉินซีนั้น ศิษย์พี่หลียางไม่ต่างอันใดจากคนในครอบครัว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางได้ช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วน และในเมื่อพวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้งโดยไม่คาดคิด ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทั้งยินดีและประหลาดใจ

“ศิษย์พี่…” เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกนาง

“อ้าว ศิษย์น้องเล็ก” ครั้นหลียางที่แต่งตัวเยี่ยงบุรุษเห็นเฉินซี นางก็ยิ้มร่าเสียจนตาหยีราวจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มนั้นเปี่ยมไปด้วยความสุขใจอย่างเหลือล้น

ขณะที่พูด นางก็เดินทางผ่านปริภูมิที่อยู่โดยรอบเข้ามา ฉับพลันนั้น มือของนางก็ตบลงบนไหล่ผู้เป็นศิษย์น้องก่อนจะถอนใจ “ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันเสียที หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าคงจะลำบากมากเลยสินะ”

เฉินซีส่ายหน้า “ไม่เลยขอรับ”

เมื่อจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ เห็นว่าคนทั้งสองดูสนิทสนมกันมากทั้งยังเรียกแทนกันและกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น นี่เฉินซีมีศิษย์พี่หญิงตอนไหนกัน?

จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงต่อสิ่งที่ได้เห็น เนื่องจากหญิงสาวที่แต่งตัวอย่างบุรุษนี้เดินทางมาพร้อมกับเหมิงซิงเหอ เห็นได้ชัดว่านางจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่านางจะเป็นศิษย์พี่ของเฉินซี!

นางเป็นใครกันแน่?

“หึ! เหมิงซิงเหอแห่งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หลียาง ศิษย์อันดับที่สิบสามแห่งเขาเทพพยากรณ์ ในที่สุดพวกเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่จนได้” เมื่อซุ่ยเหรินถิงเห็นถึงการปรากฏตัวของเหมิงซิงเหอและหลียาง ดวงตาของเขาก็หรี่ลงไปในพลันทั้งใจสงบนิ่ง คล้ายไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

ในทางกลับกัน จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ กลับเป็นฝ่ายใจสั่นระทึกเสียเอง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจ ที่แท้ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ก็คือหลียาง ศิษย์อันดับที่สิบสามของเขาเทพพยากรณ์!

เขาเทพพยากรณ์!

การดำรงอยู่ที่ยิ่งใหญ่และลึกลับที่สุดในสามสุดยอดมหานิกายแห่งสามภพ พวกเขามีศิษย์เพียงหลักสิบคนเท่านั้น แม้ว่าในเชิงจำนวน อาจไม่สามารถเทียบได้กับตำหนักเต๋าหนี่หวาและนิกายอำนาจเทวะ แต่พวกเขาก็เป็นนิกายที่ไม่มีผู้ใดกล้าสบประมาท สิ่งนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าทรัพยากรและกองกำลังของเขาเทพพยากรณ์นั้นน่ากลัวเพียงใด

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ตัวตนของเขาเทพพยากรณ์ในภพทั้งสามนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับมาโดยตลอด ศิษย์ในนิกายนี้ไม่ค่อยปรากฏตัวในโลกมากนัก หากจะกล่าวว่าเข้าถึงได้ยากก็คงไม่ผิดนัก สิ่งนี้ทำให้ความรู้สึกของนิกายอื่น ๆ ในภพเซียนที่มีต่อเขาเทพพยากรณ์ล้วนเต็มไปด้วยคำว่าลึกลับ

ในตอนนี้ หลียาง ศิษย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ได้ปรากฏตัวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมาพร้อมกับเหมิงซิงเหอ เจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มีหรือที่เหตุการณ์นี้จะไม่กระตุ้นความประหลาดใจของผู้คน?

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดเฉินซีจึงเรียกนางว่าศิษย์พี่ แม้จะรู้มานานแล้วว่าเฉินซีมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อเขาเทพพยากรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเป็นหนึ่งในศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ด้วย!

หากเรื่องนี้กระจายออกไปยังโลกภายนอก มันคงจะทำให้ทั้งโลกปั่นป่วนไม่น้อย

วังวนวันสิ้นโลกส่งเสียงก้องและหมุนวนไปมาอย่างไร้จุดจบ กลุ่มสามคนของซุ่ยเหรินถิงจ้องมองคงตรงหน้าทั้งแววตาอาฆาต เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งรำลึกความหลัง

ในเวลาไม่นาน ทุกคนก็กลับมาสนใจเรื่องที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง กระนั้นหลังจากที่เหมิงซิงเหอและหลียางปรากฏตัว บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

มันเป็นพลังอำนาจที่บังเกิดขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว เพียงได้ครอบครองก็รู้สึกสบายใจและมีขวัญกำลังใจที่เหลือล้น

“หรือว่าเจ้าจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าพวกเราจะปรากฏตัว? ภัยพิบัติครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะของเจ้า เห็นที นิกายอำนาจเทวะคงจะใช้เคล็ดวิชาบางอย่างเพื่อทำให้ภัยพิบัตินี้มาถึงก่อนเวลาอันควร หากนิกายของเจ้าสามารถควบคุมเต๋าแห่งสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แล้วละก็ พวกข้าก็ยินดีจะน้อมรับชะตากรรมนี้เอาไว้ ทว่าตอนนี้… ผลลัพธ์นั้นยังไม่แน่นอน!” หลียางเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้างดงามแฝงไปด้วยความสงบ ดวงตาใสกระจ่างทอประกายเจิดจ้า ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่สามารถทำให้ผู้คนคล้อยตาม

แม้ว่าเฉินซีจะบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจมองเห็นถึงระดับการบ่มเพาะของหลียางได้!

“ชิ! สิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ล้วนแต่เป็นมดปลวกทั้งสิ้น แม้ว่าภัยพิบัติจะยังมาไม่ถึง พวกมันก็หาได้มีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่สำหรับพวกเจ้าที่อยู่ในขอบเขตเทวาและขอบเขตราชันเซียน ภัยพิบัติเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวันโลกาวินาศ พวกเจ้าคิดจริง ๆ น่ะหรือ ว่าตนจะสามารถเอาชนะเต๋าแห่งสวรรค์ได้ด้วยกำลังน้อย ๆ เช่นนี้? อีกทั้งไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ตอนนี้พวกเจ้าก็เป็นแต่เพียงนักโทษที่รอวันพิพากษาต่อหน้าเต๋าแห่งสวรรค์เท่านั้น!” ซุ่ยเหรินถึงคำรามเยือกเย็น แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในสิ่งที่หลียางพูด

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นิกายอำนาจเทวะสามารถหยิบยืมพลังจากเต๋าแห่งสวรรค์มาใช้ประโยชน์ได้ แต่ยังไม่อาจควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นแล้ว นิกายอำนาจเทวะคงจะเข้ายึดครองภพทั้งสามได้นับแต่ยุคบรรพกาลแล้ว

“การตอบโต้ไปมาเช่นนี้ข้าไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใด เพราะอย่างไรเสีย เราจะรู้คำตอบได้ก็ต่อเมื่อเราได้ลองลงมือเท่านั้น” หลียางตอบด้วยท่าทีเรียบง่าย คิ้วคู่โก่งของนางเลิกสูงคล้ายกำลังยิ้มเยาะด้วยความมากเล่ห์ “เฮ้อ ซุ่ยเหรินถิง นี่เจ้าคิดจะพูดจาเพื่อซื้อเวลาไปอีกนานหรือไม่?”

สิ้นเสียง หญิงสาวก็หันไปส่งกระแสปราณกับคนอื่น ๆ ต่อ “ภัยพิบัติครั้งนี้อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น ทุกท่านโปรดสงบใจ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้แย่อย่างที่พวกท่านคิด ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้ก็เกินขอบเขตของภพทั้งสามไปมากแล้ว มันกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเขาเทพพยากรณ์ของข้า ตำหนักเต๋าหนี่หวาและนิกายอำนาจเทวะ แม้ว่าภัยพิบัติจะมาถึง แต่วิถีแห่งโชคชะตาจะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน”

จิตใจของผู้ฟังสดชื่นขึ้นในทันที พวกเขารู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยินเช่นนั้น

โดยเฉพาะจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิง เมื่อได้ยินคำว่าวิถีแห่งโชคชะตา ภายในใจพลันสะท้านไหว ความหวังที่เคยริบหรี่ถูกปลุกเร้าให้กลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง

พวกเขากำลังหวังสิ่งใดอยู่อย่างนั้นหรือ?

แน่นอนว่าต้องเป็นวิถีแห่งโชคชะตา เพราะถ้าหากได้รับมัน ก็หมายความว่าพวกเขาจะสามารถค้นหาเส้นทางไปยังแดนเทพโบราณซึ่งอยู่ภายในภัยพิบัติได้!

สำหรับเฉินซี… ทั้งหมดนี้ออกจะเกินความเข้าใจของเขาไปสักหน่อย สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้ในตอนนี้มีเพียงเฝ้ารออย่างเงียบเชียบ คล้ายกำลังถูกลดบทบาทให้ถอยลงไปเป็นฝ่ายสนับสนุน แต่มีเพียงผู้ที่ใส่ใจอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะรู้ว่า…

หากเฉินซีไม่อยู่ที่นี่ เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ยก็คงจะไม่ปรากฏตัวที่นี่ ในขณะที่ราชันเซียนรัตติกาลก็คงจะไม่เร่งร้อนทั้ง ๆ ที่กำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะเพื่อบรรลุขอบเขตเทวา

ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงก็คงไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้

ในอีกด้านหนึ่ง เหมิงซิงเหอและหลียางนั้นเป็นศิษย์พี่ของเฉินซี อาจกล่าวได้ว่าเฉินซีนั้นเป็นเสมือนแกนหลักระหว่างพวกเขาทั้งหมด สิ่งเดียวที่เขาขาดไปมีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น

แม้แต่ซุ่ยเหรินถึงก็ยังไม่กล้าประมาทด้วยเฉินซีเป็นผู้ถือครองกระบี่เต๋าวิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถต่อกรกับนิกายอำนาจเทวะได้ ในขณะที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากนั้นมีพลังซ่อนตัวจากอานุภาพของสวรรค์

ดังนั้นแม้ว่าเฉินซีจะดูอ่อนแอ แต่เรื่องนี้ก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนถ้าหากไม่มีเขา!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท