บทที่ 839 การพูดคุยยามค่ำคืน
นักบวชเต๋าขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดส่ายหัวจนปัญญา
“ข้าไม่เคยได้ยินวิธีการเช่นว่านี้มาก่อน ข้าเกรงว่าคงเป็นปรมาจารย์เต๋าวางรากฐานไว้และไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็มองสวี่ชีอันแล้วพูดว่า
“แม้ข้าจะไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด แต่กระบวนการทั่วไปคือกำจัดร่างเก่าทิ้ง สำหรับเหนือมนุษย์ลัทธิเต๋าแล้ว แม้จะลงทุนลงแรงไม่จบไม่สิ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่อาจทานทน หากเจ้าเป็นจอมยุทธ์…”
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งคือผู้ผสาน แก่นแท้ ลมปราณและจิต สามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน แต่ไม่ใช่จะละร่างกายง่ายๆ ด้วยการโยนมันทิ้งไป
เช่นเดียวกับเว่ยเยวียน จิตเดิมของเขาอยู่ในระดับขั้นสอง แต่กายเนื้อของเขาเป็นคนธรรมดา ทำให้เว่ยเยวียนไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ของตัวเองได้
ทว่าลัทธิเต๋ากลับแตกต่างออกไป จิตเดิมหรือเทพเจ้าหยางยังคงอยู่ ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกับพลังต่อสู้
หลี่เมี่ยวเจินปลอบใจ
“อย่างน้อยนี่ก็เป็นวิธีที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ หากเจ้ามีโอกาส เจ้าก็ควรหาหนทางเพื่อให้ได้มา”
อาซูหลัวที่อยู่ข้างๆ เขาพูดอย่างใจเย็น
“สวี่หนิงเยี่ยนอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องพวกนี้ นอกจากนี้ เทพพ่อมดกับเทพกู่ก็กำลังจะหลุดพ้นจากผนึก ดังนั้นการจัดการพวกมันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
หากไม่สามารถจัดการมันได้ สวี่หนิงเยี่ยนก็ไม่ต้องไปนึกเรื่องมีอายุยืนยาว เพราะระดับสุดยอดย่อมไม่ยอมให้เขามีชีวิตอยู่
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“วันนี้ก็พอแค่นี้เถอะ หากเจ้ามีปัญหาอะไร โปรดจงส่งข้อความมา”
…
ยามค่ำคืน น่าหลันเทียนลู่ขึ้นเมฆมงคลเดินทางกลับไปยังเมืองจิ้งซาน ซึ่งเป็นแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด
เมืองอันงดงามแห่งนี้ สถานที่ที่ยอดฝีมือสำนักพ่อมดส่วนใหญ่หลั่งไหลมารวมกัน และหลับใหลอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์อันเงียบสงบ มีภูเขาจิ้งซานรกร้างเป็นฉากหลัง
น่าหลันเทียนลู่ลดเมฆลงต่ำแล้วลอยเข้าไปในตำหนักพ่อมด
เสาหินมีระดับโบราณกาลรองรับโดมสูงตระหง่าน แต่มิได้แบ่งซอยห้องโถงเป็นห้องหับเล็กย่อย ทั้งยังดูกว้างขวางเกินจริง
พรมสีแดงทั้งสองด้านมีเชิงเทียนเรียงรายเป็นแถวพร้อมเทียนสีแดงลุกติดไฟ
ปลายสุดห้องโถงมีพระแท่นสูงกว่าสิบเมตร มีเก้าอี้หินขนาดใหญ่วางอยู่บนนั้น ราวกับบัลลังก์ที่สร้างขึ้นสำหรับยักษ์โดยเฉพาะ
ข้างบัลลังก์มีพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ซ่าหลุนอากู่ยืนอุ้มลูกแกะไว้ในอ้อมแขนและสวมเสื้อคลุมอันเป็นสัญลักษณ์ของพ่อมด
“สงครามในดินแดนประจิมทิศเป็นเช่นไร?”
ซ่าหลุนอากู่มองลงไปยังเจ้าแห่งวัสสานที่เข้ามาในห้องโถง และเปล่งเสียงทุ้มลึกดังก้องห้องโถงเปิดโล่ง
น่าหลันเทียนลู่หยุดที่ฐานพระแท่น ส่ายหัวแล้วพูดว่า
“เสินซูฟื้นคืนสติ ฐานต้าฟ่งปลดแอกสำเร็จ ในหมู่ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งสองฝ่ายไม่มีผู้ใดบาดเจ็บล้มตาย…”
เขาบอกซ่าหลุนอากู่เรื่องการสู้รบอย่างละเอียด
“เทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ปรากฏตัวอีกครั้งในโลก ณ ที่ราบลุ่มภาคกลางและมีรากฐานจากทางชายแดนตอนใต้ หากสวี่ชีอันทำได้ทั้งเลื่อนอันดับสู่ตำแหน่งเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและรวบรวมพลังของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ที่ราบลุ่มภาคกลางก็อาจสามารถแข่งขันกับระดับสุดยอดได้จริงๆ”
ซ่าหลุนอากู่ถอนหายใจ
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้นน่ากลัวอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ซ่าหลุนอากู่เห็นคือพลังของสวี่ชีอัน หากไม่มีเขาเป็นผู้นำในเรื่องนี้และได้เสินซูช่วยเหลือ ผลลัพธ์ในวันนี้อาจแตกต่างออกไป
ไม่ทันรู้ตัวคนตัวเล็กผู้นี้ก็กลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว
เขาสร้างชื่อเสียงจากเล็กจ้อยจนถึงขั้นไร้ผู้ใดในโลกอาจหาญเปรียบเทียบได้ภายในเวลาเพียงสองปีครึ่ง
คลื่นลูกหลังช่างน่ากลัวจริงๆ
“บรรลุเทพยุทธ์ครึ่งก้าวง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ?” ทว่าน่าหลันเทียนลู่กลับมิได้กังวล
“ข้าเองก็ไม่ค่อยสบายใจ” ซ่าหลุนอากู่ส่ายหัวเล็กน้อย
“การที่ท่านโหราจารย์สนับสนุนสวี่ชีอัน ย่อมไม่ใช่แค่ช่วยให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแน่ ข้าไม่เชื่อว่าเขาไม่มีแผนสำรอง แต่ในอดีตมีเพียงเสินซูเท่านั้นที่เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว”
“ในระยะเวลาอันสั้น สวี่ชีอันต้องเข้าสู่ระดับนี้แน่”
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ไม่รู้ว่าการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวต้องทำเช่นไร แต่ด้วยความเคารพและความเข้าใจต่อท่านโหราจารย์ เขาเชื่อว่าท่านโหราจารย์ต้องมีหนทาง
น่าหลันเทียนลู่ถามว่า
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ รู้หรือไม่เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงแปลกไปเช่นนี้”
ซ่าหลุนอากู่พูดอย่างใจเย็น
“ก็เหมือนสัตว์ประหลาด ธรรมชาติแล้วย่อมไร้ซึ่งอารมณ์และปราศจากอารมณ์เยี่ยงสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป ในระบบหลักๆ ที่มีทั้งหมด นอกจากจอมยุทธ์แล้ว ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไรก็ยิ่งตัดอารมณ์ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่ไปแล้ว…”
เรื่องความไม่ปกติของพระพุทธเจ้าอธิบายได้ว่าเป็นการ ‘ทำผิดพลาด’ เท่านั้น
‘การตัดอารมณ์ออกไปถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่’…น่าหลันเทียนลู่เขียนข้อความนี้เงียบๆ แล้วถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับร่างธรรมของพระพุทธเจ้า?”
เขาหมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงได้แค่ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะเท่านั้น แต่ไม่สามารถแสดงร่างธรรมอื่นใดได้
ซ่าหลุนอากู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ข้าเดาว่าท่านโหราจารย์ใช้พลังของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อทำร้ายพระพุทธเจ้าในวันนั้น”
“กลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าได้หลุดพ้นจากผนึกของนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและนำหน้าเทพกู่กับเทพพ่อมดไปหนึ่งก้าว มีความเป็นไปได้มากที่พระองค์จะคว้าโอกาสนี้ผนวกที่ราบลุ่มภาคกลางเอาไว้”
จู่ๆ น่าหลันเทียนลู่ก็มีทีท่าเคร่งขรึม
…
เมืองหลวง หอเฮ่าชี่
“นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้น”
สวี่ชีอันกล่าวสุนทรพจน์ยาวๆ จบก็จิบชาหอม รู้สึกถึงกลิ่นหอมเข้มข้นกระจายไปทั่วต่อมรับรสของเขา
“ปรากฏว่าพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งลัทธิเต๋า” เว่ยเยวียนถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า
“พระองค์ส่งอรหันต์ตู้ฉิงมาฆ่าปิดปากศพโบราณ ต้องมีเหตุผลให้ต้องฆ่าปิดปากแน่”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและพูดว่า
“แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ถึงรั่วไหลไปก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับพระพุทธเจ้ามากนัก ข้าคิดไม่ออกเลยว่าทำไมต้องฆ่าปิดปากศพโบราณ เรื่องนี้เว่ยกงคิดอย่างไร?”
เว่ยเยวียนยิ้มแล้วพูดว่า
“เมื่อคิดไม่ออกก็เลิกคิดจะได้ไม่เดือดร้อน”
“เจ้าคิดว่านั่นไม่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธเจ้า ก็ย่อมเป็นความเข้าใจของตัวเจ้าเอง แต่สุดท้ายแล้ว เจ้ามิใช่พระพุทธเจ้าและไม่สามารถเป็นตัวแทนระดับสุดยอดคนอื่นๆ ได้ และบางทีพระพุทธเจ้าก็อาจไม่อยากให้ใครรู้”
สวี่ชีอันเลิกคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ข้าไม่อยากคิดเรื่องนี้อีกแล้ว ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการมากกว่า ตอนนี้เสินซูซ่อมแซมร่างกายเสร็จสิ้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหลับใหลอีกต่อไป และมีแนวโน้มว่าจะไปแก้แค้นยังที่ราบลุ่มภาคกลาง เว่ยกง เราต้องระมัดระวัง”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเขา
“เจ้าเพิ่งมาคิดถึงปัญหานี้ตอนนี้รึ?”
สวี่ชีอันตอบสนองผู้ยิ่งใหญ่ชุดเขียวด้วยสายตา “แล้วมีอะไร”
“อาซูหลัวพูดมานานแล้วว่ารูปสลักนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อถูกทำลายและพระพุทธเจ้าหลับใหลเป็นเวลาถึงห้าร้อยปีเพื่อปราบศีรษะเสินซู ในเมื่อเจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาศีรษะกลับมา สิ่งแรกที่เจ้าต้องเผชิญหลังจากทำสำเร็จคือการแก้แค้นของพระพุทธเจ้า”
“ข้าไม่ขอให้เจ้าเดินหนึ่งก้าวแล้วมองล่วงหน้าสิบก้าว แต่อย่างน้อยก็ขอให้เจ้ามองล่วงหน้าสองก้าว” ดูแล้วเว่ยเยวียนเหมือนคนเกลียดแร่เหล็กแต่รักเหล็กกล้า
สวี่ชีอันถอนหายใจ
“แน่นอนว่าข้าคิดเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ข้ายังไม่มีความคิดดีๆ อย่างแย่ที่สุด ข้าก็ร่วมมือกับเสินซูและยอดฝีมือเหนือมนุษย์คนอื่นๆ เพื่อต่อสู้กับพระพุทธเจ้าอีกครั้ง”
ความแข็งแกร่งของเสินซูเพิ่มมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากยอดฝีมือมากมาย เขาย่อมต่อสู้กับสำนักพุทธได้อย่างแน่นอน นี่คือมาตรการตอบโต้ของสวี่ชีอัน
“ไม่เลว!”
เว่ยเยวียนเอ่ยชมอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดว่า
“ข้าให้สัญญากับอรหันต์ตู้เอ้อร์ในนามของเจ้าว่า ในอนาคตต้าฟ่งจะนำศาสนาพุทธนิกายมหายานมาเป็นศาสนาประจำชาติ และอนุญาตให้ผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานจากดินแดนประจิมทิศอพยพไปยังที่ราบลุ่มภาคกลางได้ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้โชคชะตาของพระพุทธเจ้าอ่อนแอลงเท่านั้น แต่ยังเสริมรากฐานให้ต้าฟ่งอีกด้วย”
“เนื่องจากเรากำลังจะเป็นศัตรูกับระดับสุดยอด จึงควรเตรียมแผนการคร่าวๆ ไว้ล่วงหน้า”
ให้ตายเถอะ เจ้าผู้เฒ่าชั่วร้าย เจ้าสมคบคิดกับตู้เอ้อร์เพื่อก่อกบฏจริงๆ รึ?! สวี่ชีอันสะดุ้ง
ตามที่อาซูหลัวพูดไว้ ตู้เอ้อร์เป็นอรหันต์สำนักพุทธผู้ศรัทธา ซึ่งให้ความสำคัญกับสำนักพุทธเป็นอันดับแรก นั่นหมายความว่าการยุยงสามารถกระตุ้นให้เกิดการกบฏได้มิใช่หรือ?
เว่ยเยวียนพูดอย่างใจเย็น
“คนเราย่อมมีความปรารถนา ชอบแสวงหาและมากความคิด เมื่อพวกเขาคว้าสิ่งที่ต้องการได้ พวกเขาย่อมไม่กลัวว่าจะไม่มีโอกาส และตราบใดที่ยังมีโอกาส พวกเขาย่อมเอาชนะได้”
“นอกจากนี้ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เรายังต้องพยายามสร้างพันธมิตรกับสำนักพ่อมดด้วย”
สวี่ชีอันตอบรับว่า “อืม”
“แม้สำนักพ่อมดจะเกลียดต้าฟ่ง แต่ในตอนนี้มีเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวซ่าหลุนอากู่แล้ว”
เว่ยเยวียนพูดถูก หากพระพุทธเจ้าบ่อนเซาะที่ราบลุ่มภาคกลาง สำนักพ่อมดจะไม่มีวันเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ด้วยการนั่งอยู่เฉยๆ แน่
“ใช่แล้ว สำนักพ่อมดพยายามอย่างยิ่งที่จะเลื่อนเวลาออกไปจนกว่าเทพพ่อมดจะกลับมายังโลก เราก็จะเลื่อนเวลาออกไปจนกว่าเจ้าจะได้เลื่อนอันดับเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว อย่างน้อยก็ไปให้ถึงระดับกลางของขั้นแรกก่อน” เว่ยเยวียนแนะ
“เจ้าจะเลื่อนอันดับเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้อย่างไร เจ้ามีความคิดอะไรบ้างหรือไม่?”
สวี่ชีอันส่ายหัว
ความรีบเร่งที่หายไปนานผุดขึ้นมาในใจเขาอีกครั้ง นับตั้งแต่เขาได้เลื่อนอันดับเป็นเหนือมนุษย์แล้ว เขาก็ถูกผลักดันด้วย ‘ความรู้สึกรีบเร่ง’ ตลอด
ไม่กล้าที่จะผ่อนคลายแม้ชั่วครู่ยาม
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังตามหลังอยู่มาก
หลังจากไปถึงระดับขั้นหนึ่งแล้ว การพยายามเลื่อนอันดับไปสู่ขั้นต่อไปนั้นยากพอๆ กับการขึ้นสู่ท้องฟ้า
และเวลาที่เหลืออยู่สำหรับเขานั้นยังสั้นกว่าเวลาที่นักฟุตบอลทีมชาติมีเหลือด้วยซ้ำ
หากเขาต้องการที่จะยืนหยัดมั่นคงในเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ในอนาคตและปกป้องที่ราบลุ่มภาคกลางไว้ เขาจะต้องเลื่อนอันดับไปสู่ระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวให้ได้
เทพยุทธ์ครึ่งก้าว ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา มีเพียงเสินซูเท่านั้นที่มาถึงระดับนี้ได้
ความยากลำบากย่อมสามารถจินตนาการได้
เว่ยเยวียนพึมพำ
“ข้าจะแสดงวิธีออกทะเลให้ชัดเจน!”
“เป็นไปไม่ได้ที่ฮวงจะสังหารลูกหลานเทพมารทั้งหมด มันน่าจะโจมตีเฉพาะลูกหลานที่มีอำนาจของเทพมารเท่านั้น สามารถดู ‘ไหมอเวจี’ เป็นตัวอย่าง จิ้งจอกเก้าหางไม่ได้ไปด้วยหรือ ให้ไปขอแผนที่และข้อมูลโดยละเอียดจากนาง”
สวี่ชีอัน พยักหน้า
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
หลังจากการตามล่าเจียหลัวซู่ล้มเหลว ทางออกเดียวของเขาคือไปทะเลและล่าลูกหลานเทพมารแทน
“อย่างไรก็ตาม เว่ยกง มีบางอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน” สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ
“เทพกู่บอกข้าว่า ท่านน่าจะเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ในที่ราบลุ่มภาคกลาง คนที่ท่านโหราจารย์เลือกแต่แรกคือท่าน”
เขาบอกเว่ยเยวียนถึงอนาคตที่เทพกู่คาดการณ์ไว้
เว่ยเยวียนนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน พยักหน้าช้าๆ และมองลึกไปที่สวี่ชีอัน
“ท่านโหราจารย์เลือกข้า เขาอาจไม่ถูกต้อง แต่ทั้งท่านโหราจารย์ทั้งข้าเลือกเจ้า ดังนั้นเรื่องนี้ถูกต้องแน่”
เขายิ้มทันที
“ข้าพอใจมากกับชีวิตตอนนี้ของข้า หนิงเยี่ยน เจ้าทนทุกข์เพื่อข้าแท้ๆ”
สวี่ชีอันยิ้มขมขื่น “บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา”
…
ดินแดนประจิมทิศ
อรหันต์ตู้เอ้อร์หวนกลับมายังอรัญตา ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์ สิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตาคือซากปรักหักพัง หินที่ถล่มลงมาและกองดินพูนสูงเป็นภูเขา
ดูเหมือนว่าพื้นดินจะถูกขูดออกหลายชั้นและมีแต่รอยแตกแยก มีร่องรอยผลพวงจากสงครามในรัศมีหลายสิบลี้
บนที่ราบเบื้องหน้าซากปรักหักพัง มีภิกษุกว่าสามพันรูปนั่งขัดสมาธิ สวดมนต์อยู่ในความมืดเพื่อช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณผู้ตาย
ระเบิดเป็นเสียงภาษาสันสกฤตในคราเดียว
อรหันต์ตู้เอ้อร์เตรียมใจไว้แล้ว แต่หลังจากได้เห็นโศกนาฏกรรมของอรัญตาด้วยตาตัวเอง เขาก็จมอยู่ในความโศกเศร้าและผิดหวังอย่างยิ่ง
อรัญตา ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนประจิมทิศ ถูกทำลายลงแล้ว!
สำหรับภิกษุผู้มีศรัทธาก็เท่ากับทำลายศรัทธาของตน
ตู้เอ้อร์ยังเป็นศิษย์สำนักพุทธผู้เปี่ยมศรัทธา อารมณ์ของเขาจึงยากบรรยาย
“อมิตตาพุทธ!”
อรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือ มีแต่ความโศกเศร้าเต็มใบหน้า
“พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือใคร?”
ในเวลานี้ มีเสียงที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นบุรุษ สตรี เด็กหรือผู้ใหญ่ดังขึ้นข้างหลังพวกเขา