คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 787 ข้าดูเจ้าแสดงละครอย่างเงียบๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 787 ข้าดูเจ้าแสดงละครอย่างเงียบๆ

……….

เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของเริ่นถิง บรรดาพระภิกษุต่างก็พากันโกรธเล็กน้อยแต่ไม่กล้าเอ่ย นี่มันเรื่องไร้สาระจริงๆ

อาจารย์จื้อเฉิงเอ่ยอามิตตาพุทธ ก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “โยมเริ่น วัดของข้าไม่มีพระพุทธรูปที่เจ้าเอ่ยถึงจริงๆ ต่อให้แจ้งทางการ อาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด อามิตตาพุทธ”

เริ่นถิงสีหน้ามืดครึ้ม กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ฉินหลิวซีก็ก้าวไปข้างหน้า เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ คุณชายใหญ่เริ่นก็ไม่ได้ต้องการทำให้วัดของท่านต้องลำบาก เป็นเพราะปวดใจที่ฮูหยินเริ่นอยู่ดีๆ ก็ต้องมากลายเป็นคนตายทั้งเป็น เพราะบูชาพระพุทธเจ้า จึงได้โมโห ท่านอาจารย์ก็เป็นคนในพระพุทธศาสนา มีความเมตตากรุณา คาดว่าคงไม่อยากเห็นคนดีกลายเป็นเช่นนี้หรอกกระมัง”

“อมิตาภพุทธ เป็นเช่นนั้น”

“ในความคิดของข้า ไม่ว่าฮูหยินเริ่นจะไปอัญเชิญพระพุทธรูปเล็กองค์นั้นมาจากที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามีคนใช้ศาสนาพุทธแอบทำเรื่องสกปรก ศาสนาพุทธซ่อนหนูชั่วร้ายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ คาดว่าท่านอาจารย์ก็รู้สึกละอายใจอย่างสุดซึ้งหรือไม่ เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก หากแพร่กระจายออกไป แล้วใครจะกล้าบูชาพระพุทธเจ้า บูชาไปบูชามา หากหมดตัวก็ไม่เป็นไร แต่การสูญเสียชีวิตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ สิ่งนี้เป็นผลเสียต่อศาสนาพุทธทั้งหมด หากวัดอื่นรู้ว่าวัดของท่านมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่แน่อาจจะมาหารือและตรวจสอบ! อย่างไรเสียนี่ถือเป็นความอัปยศของพุทธศาสนา” ฉินหลิวซีสีหน้าเป็นกังวล

อาจารย์จื้อเฉิงคิ้วกระตุก เขาฟังออกว่านางไม่เพียงแต่หลอกด่า ซ้ำยังยุยงให้พวกเขาทะเลาะกัน

“ข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์เป็นคนเที่ยงธรรมและมีความเห็นอกเห็นใจ ในใจก็ต้องการที่จะตามหาคนต่ำช้าที่กำลังทำสิ่งชั่วร้ายภายใต้ร่มธงของพุทธศาสนา” น้ำเสียงด่าของฉินหลิวซีเปลี่ยนไป “ก่อนอื่น ท่านอาจารย์สามารถแสดงความเมตตาโดยการช่วยอัญเชิญดวงวิญญาณของท่านแม่คุณชายใหญ่เริ่นได้หรือไม่”

อาจารย์จื้อเฉิง “…”

เจ้าเอ่ยไปหมดแล้ว ข้ายังจะเอ่ยอะไรได้อีก

หงหย่วนคิดมานานแล้วว่าคนคนนี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาชัดๆ น้ำเสียงไม่มีความอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เอ่ย “เป็นเจ้าเองที่บอกว่าดวงวิญญาณของฮูหยินเริ่นหายไป ในเมื่อเจ้ารู้จักวิชาของเสวียนเหมิน การอัญเชิญดวงวิญญาณก็คงเป็นเรื่องง่ายกระมัง”

ฉินหลิวซีแสดงสีหน้าเขินอายและลำบากใจ เอ่ยว่า “ท่านก็เห็นว่าข้าพึ่งจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปี จะมีตบะแค่ไหนกันเชียว ความจริงแล้วใช่ว่าข้าไม่เคยลอง แต่วิชายังไม่เก่งกาจ…”

นางเอ่ยถึงตรงนี้ แล้วหัวเราะเจื่อนๆ

เริ่นถิงและคนอื่นๆ ‘หากไม่ใช่เพราะเคยเห็นความสามารถของนางกับตา พวกเขาก็คงเชื่อคำโกหกนี้ไปแล้ว’

หงหย่วนได้ฟังดังนั้น สายตาก็มีร่องรอยของการเย้ยหยันผ่านเข้ามา

จื้อเฉิงกลับมองสำรวจฉินหลิวซีโดยไม่ทิ้งร่องรอย คนผู้นั้นทำนายไว้ว่าวัดหนาหมัวจะต้องประสบกับหายนะ หมายถึงเรื่องนี้ หรือว่าคนผู้นี้

“อาจารย์ ท่านว่า?” ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “ฮูหยินเริ่นก็เป็นคนใจบุญสุนทาน มีส่วนร่วมในการบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงไม่น้อย ท่านอาจารย์คงไม่มองดูนางเฝ้ารอความตายอยู่เฉยๆ หรอกกระมัง”

“อมิตาภพุทธ” อาจารย์จื้อเฉิงพนมมือพลางเอ่ย “อาตมาก็ไม่รู้เรื่องราวภายใน อาจจะไม่สามารถอัญเชิญมาได้ แต่ว่าจะลองดูสักครั้ง หากไม่เป็นดั่งหวังก็ขอให้โยมอภัยให้ด้วย”

“ท่านอาจารย์มีเมตตาแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเยินยออีกครั้ง

เนื่องจากต้องใช้แท่นพิธีเพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณ ย่อมต้องจัดเตรียมสักหน่อย ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ถอยออกไปรออยู่ด้านนอกวิหารหลัก

จื้อเฉิงเอาชาดแดงมาวาดยันต์ หงหย่วนขมวดคิ้วพลางก้าวไปข้างหน้า เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาส เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังทำตัวไร้เหตุผล เหตุใดท่านจึงได้รับปาก ศิษย์ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้ามาวุ่นวายในวัดจริงๆ ก็แค่รองนายอำเภอเริ่นเท่านั้น”

จื้อเฉิงเหลือบมองเขาพลางเอ่ย “อย่าโกรธ อย่าใจร้อน จะแสดงก็ต้องแสดงให้สมจริง เข้าใจหรือไม่”

หงหย่วนอ้าปาก มองไปยังฉินหลิวซีที่อยู่ข้างนอกซึ่งดูเหมือนว่าพร้อมที่จะสร้างปัญหาตลอดเวลา เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเริ่น เด็กที่ไม่รู้ที่มาผู้นั้นทำให้ศิษย์รู้สึกเกรงกลัวมากกว่า ท่านอย่าเห็นแก่ที่นางเอ่ยเรื่องไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่นางจุดธูปบูชา กระถางธูปจึงได้ระเบิด แต่ศิษย์กลับดูไม่ออกว่านางทำอะไรกับกระถางธูปนั้น ศิษย์รู้สึกว่านางมุ่งเป้ามาที่วัด ซ้ำยังมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้น…”

จื้อเฉิงหรี่ตาลง “เจ้าพูดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?”

สายตาของเขาเฉียบคมเป็นอย่างมาก ทำเอาหงหย่วนรู้สึกเย็นสันหลังเล็กน้อย เอ่ยพึมพำ “ก็ไม่ใช่ศิษย์เป็นคนเอ่ย นางเป็นคนพูดเช่นนั้นเอง…”

เดี๋ยวก่อน ฉินหลิวซีเอ่ยคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่

ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนว่านางจะบอกว่าฮูหยินเริ่นผู้นั้นอัญเชิญพระพุทธรูปสององค์จากวัดนี้กลับไป แต่ไม่ได้เอ่ยถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีเหงื่อบางๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของหงหย่วน

มีร่องรอยของความโกรธผ่านเข้ามาในดวงตาของจื้อเฉิง

ไร้ประโยชน์จริงๆ!

“เจ้ายังเอ่ยอะไรอีก”

หงหย่วนส่ายหน้า เสียงเบาลงกว่าเดิม “ก็ไม่มีอะไร ข้าเห็นว่านางไม่ทันได้สังเกต แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คงจะไม่รู้เรื่องอะไร”

ในใจจื้อเฉิงโมโหยิ่งกว่าเดิม เอ่ยว่า “แต่นางกลับบอกได้ว่าฮูหยินเริ่นผู้นั้นสละตนรับใช้พระพุทธเจ้า ใช้ดวงวิญญาณเป็นเครื่องบวงสรวง สิ่งที่สูญเสียไปยังเป็นเพียงสองจิตหกวิญญาณเท่านั้น”

เขาเหลือบมองฉินหลิวซีที่ยืนอยู่ข้างนอก เห็นว่านางมองเข้ามาพอดี จึงได้แสร้งทำเป็นยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในใจกลับมีความกังวล

หากเป็นการใช้ดวงวิญญาณเป็นเครื่องบวงสรวงอย่างที่นางเอ่ยมาจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องถวายแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เหตุใดจึงยังเหลือหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ

คนอื่นๆ ล้วนเซ่นไหว้ดวงวิญญาณทั้งหมดของตัวเอง แต่เมื่อเป็นฮูหยินเริ่น เหตุใดจึงได้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้

หงหย่วนเอ่ยว่า “เช่นนั้นให้ศิษย์ไปตามอู่เซิง[1]มาไล่พวกเขาไปหรือไม่”

“เช่นนั้นจะไม่เป็นการเอาจุดอ่อนไปไว้ในมือของเขาหรือ” จื้อเฉิงมองเขาราวกับเป็นคนปัญญาอ่อน โง่เขลาสิ้นดี

หงหย่วนน้อยใจเล็กน้อย เขาก็คิดเพื่อวัดหนาหมัวไม่ใช่หรือ

จื้อเฉิงก็นึกรำคาญขึ้นมาเช่นกัน ดึงดูดคนเหล่านี้มา ล้วนเป็นเพราะหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของฮูหยินเริ่นยังอยู่ในร่าง หากตายไปเลย ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลงเล็กน้อย ช่างเถิด ตราบใดที่สถานที่นั้นไม่ถูกเปิดเผยก็ไม่เป็นไรแล้ว สำหรับการตั้งแท่นพิธี เดิมทีก็เป็นเพียงการแสดง

ในขณะที่จื้อเฉิงและคนอื่นๆ กำลังเตรียมแท่นพิธี ฉินหลิวซีก็กำลังมองไปรอบๆ ผ่านตุ๊กตากระดาษที่ตัวเองทิ้งไว้ที่วิหารรอง การที่ให้จื้อเฉิงอัญเชิญดวงวิญญาณก็เพียงแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น และอยากเห็นว่าจื้อเฉิงจะมาไม้ไหน หากสามารถตามหาดวงวิญญาณของฮูหยินเริ่นกลับมาได้ เช่นนั้นก็นับว่าได้กำไรจริงๆ

สำหรับสิ่งที่นางเอ่ยมาทั้งหมด สิ่งที่ไม่ให้ความเคารพต่อพระพุทธเจ้า นางก็แอบเอ่ยในใจว่า ข้าแต่พระพุทธเจ้า ข้ากำลังทำสิ่งที่ผิดให้กลับมาถูกต้อง ก้าวข้ามขอบเขตเพื่อทำความสะอาดพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้า ‘เจ้ากำลังแก้ตัว!’

ฉินหลิวซีทำสองอย่างพร้อมกัน ตรวจสอบความผิดปกติผ่านตุ๊กตากระดาษตัวน้อย พลางมองไปยังจื้อเฉิงและคนอื่นๆ สายตาลุ่มลึก

บนตัวพระภิกษุเหล่านี้กลับไม่มีบาปอะไรติดตัวเลย สะอาดสะอ้าน ไม่เคยทำร้ายใครจริงๆ หรือว่ามีฝีมือไม่ธรรมดา ทำอะไรไม่ทิ้งร่องรอย?

แม้ว่าจะไม่มีบาป แต่ฉินหลิวซีกลับสามารถมองเห็นความโลภด้านทรัพย์สินเงินทองผ่านทางโหงวเฮ้งของหงหย่วน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความอ่อนโยนของเขา

แท่นพิธีจัดเตรียมเหมาะสมแล้ว อาจารย์จื้อเฉิงล้างมือจุดธูป จากนั้นก็ใส่แปดอักษรเวลาตกฟากและข้าวของส่วนตัวของฮูหยินเริ่นที่ได้รับมาจากเริ่นถิงลงในอ่างทองแดง แล้วไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะหน้าแท่นพิธี เริ่มสวดมนต์

หลานซิ่งเดินมาอยู่ข้างกายฉินหลิวซี ถามเสียงเบาว่า “พระภิกษุก็สามารถอัญเชิญวิญญาณได้ด้วยหรือ”

“หากเป็นพระภิกษุที่มีตบะสูงย่อมทำได้ ซ้ำยังสามารถไล่วิญญาณร้ายปราบมารได้ด้วย” ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา “มีพระพุทธเจ้าบางองค์เก่งกาจเป็นอย่างมาก”

อย่างเช่นสิ่งที่เรียกว่ามารเอ้อฝูซื่อหลัวผู้นั้น

หลานซิ่งไม่ได้เอ่ยอะไรอีก มองดูอาจารย์จื้อเฉิงถือลูกประคำด้วยมือทั้งสองข้างพลางท่องภาษาสันสกฤตที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนจะถอยกลับไปอยู่ข้างกายฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีอยากรู้เป็นอย่างมากว่าจื้อเฉิงผู้นี้จะอัญเชิญดวงวิญญาณอย่างไร เห็นว่าเขาสวดไปเรื่อยๆ หลังจากรับยันต์ที่หงหย่วนยื่นมา จุดไฟแล้ววางไว้ในอ่างทองแดง มีลมกระโชกแรงพัดมา

จื้อเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไป ใบหน้าอวบอ้วนดูเหมือนจะปรากฏร่องรอยของความดีใจ รับกระดาษสีเหลืองและสีขาวจากหงหย่วนมาจุด ท่องภาษาสันสกฤตเร็วกว่าเดิม แต่สีหน้าของเขากลับซีดขาวเล็กน้อย ราวกับไม่มีเรี่ยวแรง

ฉินหลิวซี “!”

ถึงจะทำสิ่งใดจนภายนอกเปลี่ยนไป แต่ภายในยังคงเหมือนเดิม นี่ไม่ต่างจากวิชาอัญเชิญวิญญาณของลัทธิเต๋ามากนัก ล้วนใช้ยันต์ ซ้ำยังเป็นสีเหลืองและสีขาว

หางตาของฉินหลิวซีเหลือบมองไปในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ แต่เห็นว่าหลังจากที่มีลมกระโชกแรง ระลอกน้ำก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังมา

อัญเชิญมาแล้วจริงๆ หรือ

ทันใดนั้นเมื่อสิ่งนั้นโผล่ศีรษะออกมา เหลือบมองไปยังฉินหลิวซีก่อนแล้วกะพริบตา จากนั้นก็ดึงศีรษะกลับไป แล้ววิ่งหนีไป

ให้ตายเถอะ เหตุใดจอมมารน้อยที่มีไฟนรกจึงได้มาอยู่ที่นี่

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว ไปอัญเชิญยมทูตมาหรือ

จื้อเฉิงร้อนใจจนกระอักเลือดออกมา “?”

เขายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเลย ยมทูตตนนั้นเหตุใดจึงได้หนีไปแล้ว อย่างน้อยก็ควรแสดงละครกับเขาสักหน่อย!

“ท่านเจ้าอาวาส” หงหย่วนตกใจ

จื้อเฉิงลืมตาทั้งสองข้าง โบกมือแล้วเช็ดมุมปาก ยืนขึ้นด้วยสีหน้าซีดเซียว มองเริ่นถิงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเวทนา ถอนหายใจพลางเอ่ย “อาตมาได้ถามกับท่านเทพและพุทธเจ้าแต่ละองค์แล้ว ดวงวิญญาณของสีกาเริ่นได้เข้าพึ่งพระพุทธเจ้าของข้า ไปรับใช้พระพุทธเจ้าที่โลกแห่งความสุขแล้ว!”

ฉินหลิวซีมองเขาพลางยิ้มใบหน้านิ่ง

นักบวชไม่เอ่ยคำโกหก?

ข้าแค่อยากดูเจ้าแสดงละครอย่างเงียบๆ ดูว่าเจ้าจะเอ่ยไร้สาระอะไร!

เริ่นถิงหน้าเขียว “เจ้าตาเฒ่าหัวโล้น กำลังหลอกข้าอยู่ใช่หรือไม่ แค่เจ้าท่องบทสวดอะไรก็ได้สองสามประโยค แล้วมาบอกว่าท่านแม่ของข้าไปรับใช้พระพุทธเจ้าแล้ว กะจะหลอกข้าเหมือนเด็กสามขวบหรือ!”

หงหย่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “โยม เจ้าไม่เห็นว่าท่านเจ้าอาวาสกระอักเลือดหรือ นั่นเป็นผลสะท้อนกลับของอาการบาดเจ็บภายในที่เกิดขึ้นหลังจากทำพิธีถามเทพเจ้า”

จื้อเฉิงยกมือขึ้น “อมิตาภพุทธ อาตมาเป็นนักบวช ไม่พูดโกหก พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”

ขณะที่เขาเอ่ยร่างกายกลับโซเซ สีหน้าพลันซีดกว่าเดิม

“ช่างเถิด ท่านอาจารย์พยายามเต็มที่แล้ว” ฉินหลิวซีถอนหายใจ มองไปยังเริ่นถิง “บางทีนี่อาจเป็นเคราะห์กรรมของฮูหยินเริ่น”

เริ่นถิงสีหน้าซีด

ฉินหลิวซีเอ่ยกับจื้อเฉิงอีกว่า “ท่านอาจารย์ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว พวกเราสามารถพักค้างคืนที่เรือนรับแขกได้หรือไม่”

หงหย่วนคิดในใจ ยังจะพักค้างคืนอีก คราวนี้ไม่เป็นกังวลที่ฮูหยินเริ่นดวงวิญญาณสูญหายแล้วหรือ

จื้อเฉิงยกริมฝีปาก “หากเป็นวันปกติ แน่นอนว่าย่อมได้ แต่น่าเสียดายที่ใกล้จะถึงวันประสูติของพระพุทธเจ้า เรือนรับแขกเต็มหมดแล้ว หากพวกท่านไม่รังเกียจ แม้ว่าห้องพักของพระภิกษุจะซอมซ่อ แต่ก็พักได้”

“ไม่ต้องหรอก” เริ่นถิงไม่เต็มใจ

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราก็รีบกลับเมืองกันเถิด”

จื้อเฉิงประนมมือพลางโค้งเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเดินออกไปข้างนอกได้สองสามก้าว เอ่ยขึ้นมาว่า “จริงสิ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จื้อเฉิงเคยได้ยินชื่อวังหลิงซวีหรือไม่”

จื้อเฉิงที่กำลังประนมมืออยู่นิ้วก้อยสั่นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น สีหน้ากลับว่างเปล่า “วังหลิงซวี? ไม่เคยได้ยินมาก่อน โยมคิดว่าพระพุทธรูปกับวังหลิงซวีที่โยมเอ่ยถึงนั้นเกี่ยวข้องกันหรือ”

ฉินหลิวซีมองนิ้วก้อยของเขา เอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “หากเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นเรื่องก็ง่ายแล้ว”

พระพุทธรูปมารมาจากเจ้า หากเกี่ยวข้องกัน เช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าสมรู้รวมคิด เจ้าอย่ามาแก้ตัว ข้าได้พบความลับของวัดหนาหมัวแล้ว

[1] อู่เซิง พระภิกษุที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท