บทที่ 887 คนคลั่งน้อง
……….
ซ่างกวานชิ่งสงบสติอารมณ์ที่ตื่นเต้นในใจเอาไว้ แล้วกลับมาเป็นตัวเองที่ไม่นับญาติกับผู้ใดอีกหน
ซ่างกวานชิ่งไม่ได้สนิทกับฉวี่หยางมากไปกว่าเซียวเหิงเท่าใดนัก แต่หลายวันมานี้เขาอยากอาหารน้อยลงเรื่อยๆ เพื่อให้เขากินอาหารได้มากขึ้นอีกนิด กู้เจียวจึงให้ที่ปรึกษาหูเสาะหาอาหารรสเลิศตามตรอกซอกซอยและถนนน้อยใหญ่
เขาพอจะจำได้สองสามร้านแล้ว
สารถีเป็นคนท้องที่ พอบอกชื่อร้านสารถีก็พาพวกเขาไปที่นั่นอย่างคล่องแคล่วชินทาง
นี่เป็นร้านบะหมี่ที่ชาวแคว้นจ้าวเป็นเจ้าของ แต่กลับขนานนามตัวเองว่ามีกลิ่นอายของทั้งหกแคว้น
ซ่างกวานชิ่งสั่งบะหมี่หยางชุนที่เป็นอาหารแนะนำประจำแคว้นเจา
เซียวเหิงมองแป้งในชาม คิดในใจว่า ไม่อาจเรียกได้ว่านี่เหมือนกับบะหมี่หยางชุนได้ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย
เซียวเหิงชิมรสชาติดู ธรรมดาทีเดียว
ซ่างกวานชิ่งกลับกินเสียเอร็ดอร่อย เขาถามเซียวเหิง “เป็นอย่างไร ทำอร่อยกว่าทางแคว้นเจาของพวกเจ้าหรือไม่”
เซียวเหิงมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “เจียวเจียวทำอร่อยกว่าร้านนี้”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างคาดไม่ถึง “เด็กนั่นทำอาหารเป็นด้วยรึ”
เซียวเหิงแววตามีประกายอบอุ่นวาบผ่าน “ฝีมือการทำอาหารของเจียวเจียวอร่อยมาก”
ซ่างกวานชิ่งเบ้ปาก
เฮอะ เขามากินบะหมี่นะ ไม่ได้มากินอาหารสุนัข
เมืองฉวี่หยางค่อยๆ ฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย แต่อย่างไรก็ได้รับผลกระทบจากเพลิงสงคราม ราคาข้าวของพุ่งสูงขึ้น ปกติบะหมี่ชุนหยางหกเตาปี้ ยามนี้ยี่สิบเตาปี้เข้าไปแล้ว
นี่นับว่าเพิ่มขึ้นน้อยนะ ราคาเนื้อยิ่งเกินไปมาก เนื้อลาชามเล็กๆ ขายตั้งสองตำลึง
ซ่างกวานชิ่งชำเลืองมองเซียวเหิงที่กินบะหมี่เงียบๆ ดวงตาเขากลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะสั่งเนื้อลาที่แพงที่สุดมาสองชาม แล้วสั่งสุราดีหมักสามสิบปีมาอีกไห
“ไม่ขอรับ” เซียวเหิงส่ายหน้า
ไม่ได้พกจริงๆ
ระหว่างทางมีขันทีหาเสื้อผ้าอาหารและที่พักให้ ตั๋วเงินอยู่ในสัมภาระในค่ายทหาร
ซ่างกวานชิ่งตบอกป้าบๆ พลางเอ่ย “ไม่เป็นไร! ข้าพกมา! ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ชายจะเลี้ยงข้าวเจ้าเอง ซ้ำยังให้เจ้าขอเงินด้วย ตรงนั้นมีร้านขนมโก๋ไม่เลว ข้าจะไปซื้อให้เจ้า!”
เซียวเหิงรีบเอ่ย “ข้าไปเอง”
ซ่างกวานชิ่งยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องๆ ข้าเป็นพี่ ข้าไปเอง!”
เซียวเหิงครุ่นคิด “เช่นนั้นก็ได้”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยเตือน “จริงสิ เจ้าจำไว้ว่าอย่าได้เปิดเผยตัวตนพระนัดดาเด็ดขาดนะ ในเมืองมีมือสังหารของแคว้นจิ้นอยู่ เจ้าจะเป็นอันตราย!”
เซียวเหิงพยักหน้าแต่โดยดี “อ้อ ทราบแล้ว”
ซ่างกวานชิ่งยิ้มตาหยีเดินไปแล้ว
เมื่อออกมาจากร้าน เขาก็ดึงตัวพนักงานร้านตรงหน้าร้านมาก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “คนที่มาด้วยกันกับข้าเมื่อครู่น่ะ คิดเงินที่เขานะ!”
พวกเขารูปงาม ทั้งเสื้อผ้าและกิริยาท่าทางก็ไม่ธรรมดา แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลใหญ่
พนักงานร้านยิ้มเอ่ยอย่างสุภาพสุดจะเปรียบ “ขอรับ ลูกค้า!”
ซ่างกวานชิ่งเดินไปฝั่งตรงข้าม หันกลับมายิ้มเย็นมองเซียวเหิงที่กินบะหมี่อย่างเนิบช้าภายในร้านแวบหนึ่ง
เจ้าน้องโง่
รอโดนคนต่อยเสียเถิด!
แต่ซ่างกวานชิ่งไปที่ร้านขายขนมโก๋จริงๆ จุดประสงค์ใช่อื่นใด จากมุมนี้สามารถเห็นร้านบะหมี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้
เขาอยากเห็นยุคมืดของน้องชายจอหงวนกับตาตัวเอง!
เขาขึ้นมาชั้นสองขอห้องส่วนตัวชั้นเยี่ยมห้องหนึ่ง แล้วสั่งชาที่แพงที่สุดมาหนึ่งกา ยกขาไขว่ห้าง เอ้อระเหยเตรียมดูละครสนุก
น่าจะใกล้โดนไล่ตีออกมาแล้วกระมัง
ตนได้ลงมือเองเสียที่ไหนกันล่ะ
หากรอให้เขาโดนอัดจนร้องไห้หาพ่อหาแม่ มันดูจะโหดร้ายเกินไปหรือไม่นะ
ซ่างกวานชิ่งรออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวตรงหน้าร้านบะหมี่เสียที
“เกิดอะไรขึ้น คงไม่ได้โดนตีตายอยู่ข้างในนั่นหรอกกระมัง”
“ไอ้หยา ลืมไปเลยว่าร้านนั้นมีเรือนท้าย!”
“เกิดพวกเขากระทืบเจ้าเด็กนั่นที่เรือนท้าย เช่นนั้นได้แย่แน่!”
ซ่างกวานชิ่งเพียงแค่อยากจัดการเซียวเหิง ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเซียวเหิง เขารีบลงมาชั้นล่าง กำลังจะตรงไปโยนถุงเงินให้ผู้ดูแล ไม่ต้องหาแล้ว
แต่มือเขากลับคลำหาอะไรไม่เจอเลย
เขาชะงักงัน ก้มหน้าลงรื้อซ้ายหาขวา
“เอ๋ ถุงเงินข้าเล่า”
เมื่อผู้ดูแลเห็นท่าทางนี้เข้า หน้าตาก็ถมึงทึงทันที “ลูกค้า ถุงเงินของท่านหายใช่หรือไม่ ตอนออกจากบ้านยังอยู่ติดตัว ไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไรใช่หรือไม่”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างฉงน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ผู้ดูแลถลกแขนเสื้อขึ้น “หึๆ ! ข้ออ้างพรรค์นี้ข้าฟังมานักต่อนักแล้ว! ตัวเป็นคนแต่นิสัยเยี่ยงสุนัข! แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนักต้มตุ๋น! เจ้าก็ไม่ดูเสียบ้างว่าร้านข้าใครเป็นเจ้าของ! กล้ามาต้มตุ๋นที่ร้านข้า! กินดีหมีมาละสิเจ้า! ใครก็ได้! จับตัวเขาเอาไว้! ลากไปเรือนท้าย! ไม่จ่ายเงินก็ตัดขาเขาข้างหนึ่ง!”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าก็ช่างใจดำอำมหิตเกินไปแล้วกระมัง! ของแค่นั้น ต้องใช้ขาข้างหนึ่งมาชดใช้เลยหรือ! เจ้ามันไม่เห็นขื่อเห็นแปรอยู่ในสายตา!”
ผู้ดูแลแค่นเสียงเย็นเอ่ย “ขื่อแปรรึ นี่คือขื่อแปรของเมืองฉวี่หยางของพวกเรา!”
เอ่อ…ชายแดนมีสงครามโกลาหลมากมาย เหมือนว่าจะมีการปรับแก้กฎหมายท้องถิ่นอยู่จริงๆ
ผู้ดูแล “จับเขาไว้!”
“ช้าก่อน!” ซ่างกวานชิ่งยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง ทำท่าหยุด “ข้าคือพระนัดดา!”
ผู้ดูแลล้วงเอาภาพเหมือนออกมาจากโต๊ะคิดเงิน กางออกดังพรึ่บ “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยเจอพระนัดดาหรือไร เจ้าหนู! นี่ต่างหากคือพระนัดดา!”
ซ่างกวานชิ่งเห็นบุรุษที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ในภาพเหมือน ราวกับผีโครงกระดูก ก็ตัวสั่นสะท้าน!
บัดซบ!
รูปลักษณ์ของพระนัดดาองค์โตพังทลายถึงเพียงนี้เลยรึ
หรือว่าสมัยนี้ แค่แต้มไฝก็กลายเป็นพระนัดดาได้แล้ว
ซ่างกวานชิ่งชี้ข้อบกพร่อง “นี่ไม่ใช่พระนัดดา!”
ผู้ดูแลเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช่”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยอย่างมีเหตุผลถูกต้องและวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม “เพราะข้าคือตัวจริงอย่างไรเล่า!”
นายน้อยอย่างข้า เป็นพระนัดดาแห่งต้าเยี่ยนมายี่สิบปีแล้ว! พระนัดดาหน้าตาลักษณะอย่างไรข้ารู้ดีกว่าเจ้า!
ผู้ดูแล “บนหน้าเจ้าไม่มีไฝ เจ้าไม่ใช่!”
คนที่มีไฝก็ใช่ว่าจะใช่เสมอไป แต่คนที่ไม่มีไฝอย่างไรก็ไม่ใช่เด็ดขาด!
นี่มันบัณฑิตเจอทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้[1]โดยแท้
ซ่างกวานชิ่งโมโหจนเพลิงโทสะพุ่งสูงสามจั้ง
ทว่าก็ไม่อาจชักปืนมาเป่าคนจริงๆ ได้ อย่างไรเสียคนเขาก็เปิดร้านทำมาค้าขาย ไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้า
ในขณะที่ซ่างกวานชิ่งกำลังโดนคนกดไว้อย่างอนาถนั้น เซียวเหิงก็เดินมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขามองซ่างกวานชิ่งในร้าน สีหน้ามีความปรีดาระคนตกใจวาบผ่าน “พี่ชาย ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ หรือนี่”
ซ่างกวานชิ่งหันกลับมามอง “จะจะจะเจ้าไฉนจึงออกมาแล้ว…เล่า”
เดิมคิดจะเอ่ยว่าเจ้าออกมาได้อย่างไร
ครุ่นคิดดูแล้ว ประโยคนี้เดี๋ยวเผยพิรุธ จึงรีบเปลี่ยนสองคำสุดท้าย
เขานี่ฉลาดจริงๆ
เซียวเหิงเอ่ย “อ้อ ข้ากินบะหมี่เสร็จแล้ว จึงมาหาท่าน”
ซ่างกวานชิ่งอ้าปากค้าง “ละ…แล้วเจ้าคิดเงินค่าอาหารแล้วหรือ”
“คิดแล้ว ทั้งหมดห้าสิบสามตำลึง พี่ชาย สุราแพงนัก” เซียวเหิงขมวดคิ้ว
ซ่างกวานชิ่งถามอย่างสงสย “เจ้าไม่ได้พกเงินมามิใช่หรือ”
เซียวเหิงเบิกตาโตเอ่ย “พี่ชายลืมไปแล้วหรือ ท่านทิ้งกระเป๋าเงินไว้ให้ข้านะ”
ซ่างกวานชิ่ง “หืม”
เซียวเหิง “ก็บนม้านั่งของท่านอย่างไรเล่า”
บัดซบ!
เมื่อครู่นี้ข้าทำกระเป๋าเงินร่วงไว้บนม้านั่ง!
ดังนั้นห้าสิบสามตำลึงนั่น เป็นเงินเขาใช่หรือไม่
ซ่างกวานชิ่งสูดหายใจลึก
ไม่โกรธ ไม่โกรธ แค่ห้าสิบสามตำลึงเอง
“พี่ชาย เอาไปสิ” เซียวเหิงคืนกระเป๋าเงินให้ซ่างกวานชิ่ง
ซ่างกวานชิ่งพลันสงสัยขึ้นมาว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจงใจ แต่เห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ดุจกวางน้อยของเซียวเหิง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป
เขาหยิบตั๋วเงินออกมาจ่าย
ผู้ดูแลยิ้มแย้มน้อมส่งทั้งสองจากไป
ซ่างกวานชิ่งอัดอั้นอยู่ในใจ ระหว่างทางกลับยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
เขาหมายจะได้เห็นเจ้าเด็กนี่อับอาย เหตุไฉนกลับกลายเป็นโดนอีกฝ่ายมาเห็นเขาขายหน้าแทนเล่า
เขาโตมายี่สิบปีแล้ว ไม่เคยพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อนเลย!
ต้องทวงศักดิ์ศรีคืนมาให้ได้!
“จอดรถ” เขาสั่ง
สารถีหยุดรถ
ซ่างกวานชิ่งพาเซียวเหิงลงจากรถม้า
เซียวเหิงมีแต่ความสงสัยเต็มแววตาถาม “พี่ชาย พวกเรากำลังจะไปไหนหรือ”
คำว่าพี่ชายนี้ช่างน่าฟังนัก
ซ่างกวานชิ่งเกือบจะใจอ่อนแล้ว ยังดีที่เขามันหัวใจแข็งแกร่งดุจโลหะ ยั้งใจไว้ทัน!
เขาเอ่ย “พวกเราพบหน้ากันครั้งแรก ข้าเป็นพี่ชาย ควรจะเตรียมของขวัญแรกพบให้เจ้า ข้าไม่ได้เตรียมมาก่อนล่วงหน้า ยามนี้จะซื้อให้เจ้าก็แล้วกัน!”
เซียวเหิงส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ต้องหรอกขอรับพี่ชาย ข้าก็ไม่ได้เตรียมให้ท่านเหมือนกัน”
ซ่างกวานชิ่งโบกมืออย่างไม่แยแสพลางเอ่ย “นั่นมันไม่เหมือนกัน! ข้าเป็นพี่ชาย ข้าต้องให้ของขวัญแรกพบกับเจ้า! หากเจ้ายังเกรงอกเกรงใจข้าอีกข้าจะโกรธแล้วนะ!”
เซียวเหิงลังเลครู่หนึ่ง ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อพี่ชายเอ่ยเช่นนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นอาเหิงก็เชื่อฟังดีกว่า”
ซ่างกวานชิ่งโอบไหล่เขา ตบปุๆ พลางยิ้มเอ่ย “นี่ต่างหากค่อยฟังได้หน่อย!”
ซ่างกวานชิ่งพาเซียวเหิงไปร้านโบราณวัตถุร้านหนึ่ง ปีนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายนัก ร้านโบราณวัตถุแถวๆ นี้ปิดร้านติดๆ กันหมด นี่เป็นเพียงร้านเดียวที่ยังเปิดอยู่
เซียวเหิงกระตุกแขนเสื้อเขาไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “พี่ชาย ของที่นี่แพงเกินไปแล้ว พวกเราเปลี่ยนที่กันดีกว่า”
ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา มารดาเป็นองค์หญิง บิดาคือท่านโหว นึกไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าพวกโบราณวัตถุนี่แพง
อ๊ะ จริงสิ น้องชายคนนี้เคยพลัดหลงไปอยู่ในชนบทหลายปี เจอชีวิตที่ยากลำบากมา
ซ่างกวานชิ่งเกือบจะใจอ่อน แต่ก็โชคดีอีกที่ตนเส้นลึก เขายิ้มเอ่ย “เจ้าวางใจได้! หลายปีมานี้ข้าเก็บเงินส่วนตัวไว้ไม่น้อย! ถูกใจอะไรก็เลือกเลย! ไม่ต้องเกรงใจพี่ชาย!”
ครานี้ซ่างกวานชิ่งได้บทเรียนแล้ว ตรวจสอบถุงเงินอีกคราว่าทำร่วงหรือไม่
อันที่จริงต่อให้ร่วงอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร ตั๋วเงินในถุงเงินไม่เพียงพอจะซื้อวัตถุโบราณอยู่แล้ว!
“เจ้าดูไปก่อนนะ ข้าจะไปสุขาสักเดี๋ยว!”
“ขอรับ”
เซียวเหิงดูวัตถุโบราณอยู่บนชั้นสอง ซ่างกวานชิ่งลงมาชั้นล่าง เลือกวัตถุโบราณในห้องโถงมาสองสามชิ้น “ชั้นบนน่ะ น้องชายข้าเอง เขาจะจ่าย”
หากเป็นคนอื่นใช้ไม้นี้อาจจะไม่ได้ผล แต่พวกเขาสองคนแค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ไม่มีผู้ใดสงสัยซ่างกวานชิ่งว่าเป็นนักต้มตุ๋น
ซ่างกวานชิ่งเอาวัตถุโบราณหนีไปแล้ว!
เจ้าเด็กหน้าเหม็น ข้าจะดูซิว่าครานี้เจ้าจะรอดอย่างไร!
ซ่างกวานชิ่งแหงนหน้าหัวเราะยกใหญ่ ฮ่าๆๆ !
เขาหิ้วถุงวัตถุโบราณกลับมาขึ้นรถม้า เพิ่งจะเลิกม่านขึ้น ก็ตกใจจนเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า!
“จะ…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เซียวเหิงยิ้มจางๆ “ข้าซื้อเสร็จแล้ว จึงขึ้นมานั่งรอพี่ชายบนรถ”
ซ่างกวานชิ่งตกใจหนักกว่าเดิม “เจ้าซื้อ…เสร็จแล้วรึ”
เขาปากอ้าตาค้างหันไปมองวัตถุโบราณหีบใหญ่หลายใบบนรถ “จะ…เจ้าเป็นคนซื้อหมดเลยรึ”
เซียวเหิงเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ “พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พี่ชายเลือกให้ข้า ให้ข้ารับไว้”
ขะ…ข้าพูดเช่นนั้นจริง แต่เจ้าเอาอะไรจ่ายเงินเล่า
ซ่างกวานชิ่งคลำหาถุงเงิน ถุงเงินยังอยู่
เซียวเหิงรอยยิ้มเต็มหน้าเอ่ย “ข้าบอกว่าพี่ชายเป็นพระนัดดาองค์โต ผู้ดูแลบอกว่าเช่นนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาจะไปคิดเงินกับพี่ชายที่จวนเจ้าเมืองเอง”
เหตุใดข้าบอกว่าข้าเป็นพระนัดดา ไม่มีผู้ใดเชื่อ เจ้าบอกว่าข้าเป็นพระนัดดา เขาก็เชื่อเลยเล่า
วัตถุโบราณมากมายเพียงนี้…
เงินเท่าใดกันนี่
พี่ชายเจ้าเก็บเงินส่วนตัวมาสิบกว่าปีเชียวนะ…
ซ่างกวานชิ่งน้อยในใจ เขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้แงๆ ออกมา…
[1] บัณฑิตเจอทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ บัณฑิตใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ทหารใช้กำลังในการแก้ปัญหา ว่ากันด้วยกำลังบัณฑิตย่อมสู้ทหารไม่ได้ อธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟังและไม่ได้ผล