ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 459 ผู้บำเพ็ญหมวกฟางปรากฏตัว!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 459 ผู้บำเพ็ญหมวกฟางปรากฏตัว!

……….

เขตปกครองผนึกสมุทร มณฑลบังคับจำนน

ท้องฟ้าสีคราม แสงอาทิตย์เจิดจ้า พื้นดินที่ราบเหมือนประกอบจากจุดสีต่างๆ ขนาดเล็กๆ ใหญ่ๆ เข้าด้วยกัน ดูแล้วสีสันพร่างพราย เหมือนภาพวาดภาพหนึ่ง งดงามยิ่งนัก

และเมื่อมองให้ละเอียดก็จะเห็นจุดที่ปกคลุมบนที่ราบเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้ามากมาย ชุดหญิงชายเด็กคนแก่ รูปแบบต่างๆ มีครบถ้วน แล้วยังมีของอย่างหมวกหรือถุงมืออีกมากมายด้วย

ที่นี่เป็นดินแดนของเผ่าอาภรณ์

ประเดี๋ยวๆ ก็จะเห็นเสื้อเด็กมากมายลอยขึ้นจากพื้นสู่ท้องฟ้า ต่างโผทะยานเล่นสนุกกันเป็นกลุ่มในท้องฟ้า ลอยไปลอยมา สงบสุขทั่วทุกแห่งหน งดงามยิ่งนัก

แต่ไม่นานนัก ในฟ้าดินที่งดงามและสงบสุข ในความว่างเปล่าก็เกิดรอยแยกขึ้นทางหนึ่ง

จากนั้นก็มีเสียงโอดโอยดังมา เสี้ยวขณะต่อมาศีรษะหนึ่งก็กลิ้งมาจากในนั้น เสียงกระแทกบนพื้นเสียงดัง หลังจากกลิ้งกลุกๆ มาสองสามรอบ หน้าก็คว่ำลงพื้น

ทำให้เสื้อผ้ามากมายกระจายไปทั่วทั้งยังลอยขึ้นมา ศีรษะนั้นพยายามอย่างปรับทิศทาง แต่เหมือนว่าจะอ่อนแอเกินไป ทำไม่ได้

แต่ว่าเรื่องเล็กแค่นี้ไม่เป็นปัญหากับบิดาแห่งมรรคาสวรรค์อยู่แล้ว ศีรษะนี้แลบลิ้นออกมายันพื้นเอาไว้สุดแรง อาศัยแรงพลิกกลับมา เปลี่ยนมาตั้งตรง มองรอบๆ อย่างแปลกประหลาด

‘เผ่าอาภรณ์อย่างนั้นหรือ’

ศีรษะนี้ก็คือนายกองนั่นเอง

ในเสี้ยวขณะที่เห็นเผ่าอาภรณ์ที่อยู่รอบๆ นายกองในใจเกิดความตื่นเต้นยินดี เขารู้ว่าตัวเองกลับมายังเขตปกครองผนึกสมุทรสำเร็จแล้ว

“ที่เผ่าอาภรณ์ข้ายังมีสหายสนิทอีกคนด้วย”

นายกองพึมพำ ภายใต้การเหนี่ยวนำจากพลัง ที่ไกลๆ มีถุงมือผู้หญิงข้างหนึ่งบินมาอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆ เขา บินไม่หยุด ท่าทางเหมือนดีใจมาก

นายกองหัวเราะฮ่าๆ จำได้ว่าถุงมือนี้ก็คือสหายสนิทของตัวเอง กำลังจะพูดอะไร แต่เสี้ยวขณะต่อมาที่ไกลๆ ก็มีหมวกกลุ่มหนึ่งบินมาอย่างรวดเร็ว พวกมันทำท่าเหมือนแย่งกัน ทำให้นายกองหน้าเปลี่ยนสี

ดีที่สหายสนิทของเขารีบลอยไปทางหมวกกลุ่มนั้น ไม่รู้ว่าระหว่างเผ่าอาภรณ์พูดคุยกันอย่างไร หมวกกลุ่มนั้นหลังจากที่วนรอบนายกองอยู่สองสามรอบ ก็จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

มองหมวกจากไปไกล นายกองถอนหายใจโล่งอก จากนั้นภายใต้การช่วยเหลือจากถุงมือก็ลอยขึ้นฟ้า หลังจากทอดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าก็ฉายแววได้ใจ

“ครั้งนี้ราบรื่นดีเหลือเกิน ฮ่าๆ

“ไม่รู้ว่าอาชิงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา น่าจะไม่เป็นไร ข้างอกร่างให้เรียบร้อยที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”

นึกถึงตรงนี้ นายกองก็พยายามเงยหน้ามองไปยังถุงมือที่กำผมของตัวเอง เลียริมฝีปากเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“โย่วโย่วน้อย เผ่าอาภรณ์ของพวกเจ้ามีอะไรอร่อย พาข้าไปลองหน่อยสิ…นอกจากนี้มีที่ใดสนุกๆ ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

ถุงมือผู้หญิงได้ยิน นิ้วชี้ยกขึ้นงอหลายครั้ง คล้ายว่าพยักหน้า นายกองที่ดวงตาทั้งสองวาววับเต็มไปด้วยความหวัง เหาะเหินไกลออกไปเรื่อยๆ

หลายวันหลังจากนั้น ห่างจากที่นี่ไปหลายมณฑล บนทะเลทรายผืนนั้นที่เรือเหาะสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่เคยเหินผ่าน ที่นี่แสงอาทิตย์ที่นี่ประดุจเปลวเพลิง พื้นดินไม่มีพืชพรรณใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคลื่นความร้อนเข้มข้นประดุจทะเลเพลิงบิดม้วนฟ้าดิน ตลบอวลไปทั่วทุกสารทิศ

ทอดสายตามองไป ทั่วทั้งทะเลทรายไม่เห็นเงาเผ่ามนุษย์แม้แต่ร่างเดียว มีเพียงปีศาจแสงที่กะพริบแสงท่ามกลางแสงอาทิตย์และเมืองหมอกของเผ่าควันขจรที่บางครั้งปรากฏขึ้นวับแวม

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บนท้องฟ้ามีเรือศึกเวทร้อยจั้งลำหนึ่งเหินพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เรือศึกเหาะนี้มีรูปร่างเป็นวงรี ลักษณะแปลกประหลาดอัศจรรย์นัก มีใบเรือกึ่งโปร่งแสงสิบกว่าคู่ คล้ายดาบยาว แล้วก็ดูเหมือนปีก ในขณะเดียวกันก็แผ่ประกายเย็นเยือกออกมา เรือทั้งลำเป็นสีม่วงดำ

ส่วนหัวเรือมีภาพสัญลักษณ์ผีร้าย นั่นเป็นกายวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการที่เพลิงพิฆาตสะกดวิญญาณไว้ในช่องเวท ผสานไปในเรือศึกเวท

ทุกอย่างนี้ทำให้เรือเวทลำนี้แผ่กลิ่นอายแก่นลมปราณวังสวรรค์ออกมา

ตอนนี้ ในห้องโดยสารเรือศึกเวท สวี่ชิงที่เปลี่ยนกลับมาเป็นหน้าตาอย่างเผ่ามนุษย์ กำลังนั่งขัดสมาธิ

เขาถูกส่งข้ามกลับมาเป็นวันที่สามแล้ว ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็เป็นเหนือทะเลทรายแห่งนี้

แม้ที่นี่อากาศจะเลวร้าย อุณหภูมิที่สูงสุดขีดนั่น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญก็ไม่อยากจะทนอยู่ให้นานเกินไป แต่ก็นับว่าไม่ได้ไปตกอยู่ในดินแดนที่โหดร้ายสุดกู่ นี่ทำให้สวี่ชิงแอบโล่งใจ

เขาจึงเอาเรือศึกเวทของตัวเองออกมา นั่งขัดสมาธิในนั้น ขณะเดียวกับที่หลบหลีกอุณหภูมิสูง ในสามวันนี้ก็จัดระเบียบผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้ด้วย

“พลังบำเพ็ญของข้าจากห้าวังสวรรค์ทะลวงถึงแปดวังสวรรค์ วังสวรรค์วังที่เก้าก็ก่อตัวขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว!”

“ตอนพี่ข่งกำลังรบเก้าวังสวรรค์ก็สังหารผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นได้ เรื่องนี้ตอนนี้ข้าก็น่าจะทำได้เช่นกัน หากลงมืออย่างสุดกำลัง…” ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววับ

“ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดทั่วไป ต่อให้เป็นผู้ที่พลังบำเพ็ญลึกล้ำกว่าอีกเล็กน้อย ก็ใช่ว่าข้าจะฆ่าไม่ได้!

“ต่อจากนี้ก็เหลือวังสวรรค์วังที่เก้า สิบ สิบเอ็ด สามวังนี้เท่านั้น ทันทีที่เป็นวัตถุจริงทั้งหมด ข้าก็สามารถลองทะลวงขั้น ก้าวสู่ระดับปราณก่อกำเนิด!”

สวี่ชิงพึมพำ นึกถึงผลเก็บเกี่ยวอื่นๆ ในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย

“ผลมรรคาสี่พันหนึ่งร้อยสี่สิบสองลูก!

“ตะเกียงแห่งชีวิตหนึ่งดวง!

“วัตถุดิบหลอมอาวุธ หลอมลูกกลอนที่แฝงด้วยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ!

“ร่วมหุ้นมรรคาสวรรค์!”

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากจัดระเบียบผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด ก็พึงพอใจกับการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างมาก

“ไม่รู้ว่าชิงชิวเป็นอย่างไรบ้าง”

สวี่ชิงนึกย้อนถึงการส่งข้ามก่อนหน้านี้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ค่อนข้างเป็นกังวล แต่ว่าสวี่ชิงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ คนที่สามารถรอดมาจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาได้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ดังนั้นคิดๆ แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องกังวล

ส่วนทางหนิงเหยียนทางนั้นเขาไม่เคยขบคิดมาก่อน ส่วนนายกอง…

สวี่ชิงรู้สึกว่าบางทีตัวเองตายไปแล้ว นายกองก็น่าจะไม่ตาย ต่อให้เหลือเพียงแค่ศีรษะแต่ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ก็น่าจะกระโดดโลดเต้นได้

“ช่างศิษย์พี่ทางนั้นแล้ว เขามีวิธีกลับเขตปกครองเอง สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้คือรีบกลับไป”

สวี่ชิงก้มหน้า มองยันต์ซ่อนอำพรางที่จื่อเสวียนวาดไว้บนร่าง

ยันต์เหล่านี้เปลี่ยนไปมาก จากสีแดงชาดในแรกเริ่มตอนนี้สีหมองหม่นลงไปมาก กระทั่งว่าหากไม่ไปมองให้ละเอียด ก็มองไม่ออกเลย

“เวลาสามเดือนยังไม่ถึง…” สวี่ชิงถอนหายใจ แต่เขาก็เข้าใจได้ อย่างไรเสียการปรากฏขึ้นของมรรคาสวรรค์ การปรากฏขึ้นของบุญกุศลและการผสานจากพลังฟ้าดินล้วนสามารถชำระล้างยันต์ซ่อนอำพรางแผ่นนี้อย่างไร้รูปร่างได้ทั้งสิ้น

ตอนนี้ยังเหลือได้เล็กน้อยเช่นนี้ก็ไม่ง่ายมากๆ แล้ว

“ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด!” สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังฟ้าดินนอกเรือศึกเวท เขารู้ดีว่าเรื่องที่ทำที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าดิน

และจะต้องทำให้เกิดการสืบค้นเป็นชุดตามมาแน่นอน

ตอนนี้แม้เขาจะอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่ยันต์ซ่อนอำพรางบนร่างใกล้จะหายไป นี่ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดความรู้สึกไม่สงบสุขขึ้นในใจ ในวังสวรรค์วังที่หกสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้เขาเช่นกัน

ความรู้สึกไม่สงบสุขแบบนี้ทำให้สวี่ชิงขมวดคิ้ว และเนื่องจากระยะห่างที่นี่และสภาพแวดล้อมยากจะใช้กระบี่สื่อเสียง ดังนั้นมือทั้งสองของเขาถึงประสานปางมือกดไปที่เรือศึกเวท ทำให้ความเร็วเรือศึกเวทเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยิ่งเปลี่ยนมาโปร่งแสง ซ่อนไปในท้องฟ้า

ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงในใจก็สงบเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองหลับลง ปรับสมดุลลมหายใจ

เวลาผ่านไปอีกสามวันเช่นนี้เอง

ยันต์ซ่อนอำพรางเส้นสุดท้ายบนร่างสวี่ชิงหายไปแล้ว

เสี้ยวขณะที่สลายไป ข้างนอกเป็นราตรีมืด แม้แสงอาทิตย์จะลาลับ แต่อุณหภูมิยังคงสูงเช่นเดิม คลื่นความร้อนตลบอวลอยู่นอกเรือศึกเวท

สวี่ชิงลืมตาขึ้นช้าๆ หลังจากก้มหน้าตรวจสอบร่างของตัวเอง สีหน้าก็ฉายแววสงสัย ครุ่นคิดพลางเดินออกไปนอกเรือ

เพิ่งเดินออกมา ไอร้อนก็ปะทะหน้า เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากทันที ทั่วทั้งร่างชุ่มโชกด้วยเหงื่อ แต่สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขายืนอยู่บนหัวเรือ ทอดสายตามองรอบๆ สีหน้าค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น

‘ดูไม่ชอบมาพากล

‘ความรู้สึกไม่สงบในจิตใจข้า หลายวันนี้ไม่เพียงแต่ไม่หายไป กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเสี้ยวพริบตาที่ยันต์ซ่อนอำพรางไร้ผล ก็แทบจะอกสั่นขวัญหาย’

สวี่ชิงสัมผัสวังสวรรค์วังที่หกในร่าง สังเกตได้ว่าอสูรสมุทรบรรพกาลมรรคาสวรรค์ในนั้นกำลังว่ายอย่างเร็วรี่ ฉายความร้อนรน สีหน้าจึงย่ำแย่ขึ้นมา

ลางสังหรณ์ของอสูรสมุทรบรรพกาลมรรคาสวรรค์ไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก สวี่ชิงจำได้ว่าก่อนที่ตนกับนายกองจะออกเดินทางทำการใหญ่ ก็เกิดสังหรณ์ขึ้นในเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว

จากนั้นก็มีความรู้สึกนี้อยู่ตลอด แต่กลับไม่รุนแรงเท่าใดนัก แค่รางๆ เท่านั้น

แต่เสี้ยวพริบตาเมื่อครู่ ความรู้สึกไม่สงบก็พุ่งเพิ่มขึ้นทันที

สวี่ชิงเงยหน้าทอดสายตามองไปทางเมืองหลวงเขตปกครอง จากที่นี่ไปถึงเขตปกครองผนึกสมุทรไม่ไกลแล้ว ความเร็วของเขาในตอนนี้ประมาณหนึ่งเดือน เมื่อถึงเขตปกครองผนึกสมุทรก็จะสามารถใช้ค่ายกลส่งข้ามของเมืองได้

หากไม่ใช่เรือศึกเวท อาศัยความเร็วของตัวเองก็จะย่นระยะเวลาได้อีกเล็กน้อย

“สิบวัน!” สวี่ชิงพึมพำ แล้วมองไปทางอื่น

พื้นที่ของทะเลทรายผืนนี้กว้างใหญ่มาก ในสมองสวี่ชิงมีข้อมูลที่ได้รู้ในตอนฝึกฝนลับของผู้ครองกระบี่ปรากฏขึ้น มณฑลบังคับจำนนล้วนเป็นทะเลทราย อุณหภูมิสูงไม่เหมาะกับเผ่ามนุษย์ ดังนั้นขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์จึงน้อยมาก แม้จะมีโถงครองกระบี่ แต่ก็อยู่พื้นที่ชุ่มชื้นกลางทะเลทรายที่ชายขอบไกลโพ้น

หากเดินทางไปจะใช้เวลามากกว่าเดินทางไปเมืองหลวงเขตปกครอง

สวี่ชิงหรี่ตา หลังจากขบคิดก็ก้าวไปข้างหน้า มือขวายกขึ้นสะบัดเก็บเรือศึกเวทลงไป ไม่ได้เหาะเหินไปยังขอบฟ้าแต่พุ่งตรงไปที่พื้นดิน

ในเมื่อค่ายกลส่งข้ามอยู่ห่างไกล อีกทั้งความรู้สึกไม่สงบ อกสั่นขวัญแขวนยังรุนแรงขนาดนี้ ชิงจึงไม่คิดไปอย่างโง่ๆ ต่อ หรือว่าเปลี่ยนเส้นทาง

อย่างแรกเป็นการกระทำอันตราย อย่างหลังไม่มีความหมายเท่าไร

เขาเตรียมใช้วิธีใหม่ ลองไปค่ายกลส่งข้ามของต่างเผ่า

ที่นี่จะอย่างไรก็เป็นเขตปกครองผนึกสมุทร เป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นเผ่าควันขจรที่อาศัยอยู่ที่นี่ ตามหลักแล้วคงไม่กลั่นแกล้งจนเกินสมควร

ด้วยความคิดเช่นนี้ ความเร็วสวี่ชิงปะทุมุ่งหน้าไปยังพื้นทะเลทราย

จากการหา ในยามที่อีกไม่นานฟ้าจะสว่าง ในที่สุดเขาก็หาเมืองของเผ่าควันขจรแห่งหนึ่งเจอ ในเสี้ยวพริบตาที่เข้าใกล้ หมอกในเผ่าควันขจนพวยพุ่ง จิตเทพไม่เป็นมิตรแต่ละทางๆจับเป้าหมายเขาเอาไว้ทันที

สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น รีบเอากระบี่อาญาสิทธิ์ผู้ครองกระบี่ออกมา ประสานมือเอ่ยอย่างมีมารยาท

“ข้าน้อยผู้ครองกระบี่กรมราชทัณฑ์เผ่ามนุษย์ มีภารกิจสำคัญ ภารกิจกองทัพเร่งด่วนไม่อาจเสียเวลา จึงขอยืมค่ายกลส่งข้ามเผ่าควันขจร ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจ่ายให้ตามจำนวน บุญคุณนี้ข้าน้อยจะขอจำเอาไว้ และรายงานวังครองกระบี่ให้บันทึกเอาไว้ ขอเผ่าควันขจรได้โปรดอนุเคราะห์!”

จิตเทพที่แผ่ออกมาจากเมืองเผ่าควันขจรเหล่านั้นกวาดไปบนกระบี่อาญาสิทธิ์ในมือสวี่ชิง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ตอบกลับมา

“รอก่อน!”

สวี่ชิงก้มศีรษะอย่างนอบน้อม รอเงียบๆ

รอครั้งนี้รอทีเป็นชั่วยามกว่าๆ สวี่ชิงมองท้องฟ้าที่สว่างแล้ว ถามอย่างนอบน้อมอีกครั้ง

“รอต่อไป!” เสียงของเผ่าควันขจรเย็นชา

“ไม่ทราบว่าต้องรอนานเท่าไร เวลาเร่งรีบนัก ข้าน้อยไม่กล้าเสียเวลา” สวี่ชิงเอ่ยอย่างมีมารยาทอีกครั้ง

“ไม่รู้”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็หันหลังกลับไม่รออีกต่อไป เคลื่อนไปข้างหน้าทะยานไปยังที่ไกล ในใจเกิดความเย็นชา อีกฝ่ายจะปฏิเสธเขาก็ได้ นี่เป็นเรื่องปกติ หากปฏิเสธมาตรงๆ เขาก็สามารถเข้าใจได้

แต่ให้ตนรอแบบนี้ จะมากน้อยล้วนมีจิตคิดร้ายนิดๆ แล้ว

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก พลังบำเพ็ญปะทุขึ้นทุกด้าน โดยเฉพาะตะเกียงชีวิตปีกโลหิตกะพริบแสงสีแดงในร่าง ภายใต้การเพิ่มพลัง ความเร็วของเขาก็ปะทุทันที แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งยาวทางหนึ่ง เพียงพริบตาก็หายไปจากขอบฟ้า

เวลาหมุนผ่าน หกวันผ่านไป

สวี่ชิงสำแดงตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ ไม่เสียดายที่จะใช้พลังมหาศาล ในที่สุดเขาก็ย่นระยะเวลาได้สี่วัน ตอนนี้มาถึงยังพื้นที่ที่ใกล้กับเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว

ความล้ำลึกของรากฐานก็เผยออกมาให้เห็นในหกวันนี้ สภาวะของเขาตอนนี้อยู่ในระดับสูงสุด มีเพียงสภาพจิตใจที่อยู่ในการระแวดระวังขั้นสูงเกิดความเหนื่อยล้าเล็กน้อยเท่านั้น

ระหว่างนี้ สวี่ชิงก็ขบคิดเหมือนกันว่าจะหาที่ซ่อนก่อนดีหรือไม่ ดูว่าความไม่สงบมาจากที่ใด แต่ในตอนที่เกิดความคิดนี้ ลางสังหรณ์วิถีสวรรค์ไม่ใช่แค่ไม่ลดลง ความร้อนรนที่ส่งมาจากอสูรสมุทรบรรพกาลยิ่งหนักหน่วงขึ้น

ตอนนี้ ห่างจากชายแดนข้างหน้าเหลือเพียงอีกแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น จิตใจของสวี่ชิงไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ความเร็วปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่ในตอนนี้เอง ที่สุดปลายสายตาของเขา เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

ขวางเอาไว้อยู่ข้างหน้า!

สวมชุดฟางทั้งร่าง ใส่หมวกฟาง กลิ่นอายเย็นเยียบ

“อีกแค่นิดเดียว เกือบจะปล่อยให้เจ้าหนีรอดไปได้แล้ว”

เสียงต่ำทุ้มแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเข้มข้นดังก้องไปทั่วทุกทิศ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท