บทที่372 สนใจได้แต่พวกเตี้ยน่าเกลียดอ้วน
ท่าที่สาม?!
ในสมองของหลานเยาเยา มีภาพประกอบท่าที่สามปรากฏขึ้นมาแทบจะทันที……
ตู้ม……
ทันใดนั้นหลานเยาเยาก็รู้สึกว่าเลือดลมพุ่งขึ้น เหมือนหัวจะระเบิดออกมา
ให้ตายเถอะ!
นางไม่ได้ว่างไม่มีอะไรทำจนไปหาหนังสือภาพลามกมาดูนะ!
ด้วยความสัตย์จริง นางดูถึงท่าที่เก้าสิบเก้าเอง แล้วก็ไม่ได้ดูอะไรมาก
พอถึงอาหารเย็นก็ทนความหิวไม่ไหว โยนหนังสือไปที่หัวเตียงแล้วไปกินข้าวเย็น
นางยังคิดอยู่เลยว่าคืนนี้จะดูท่าที่เหลือไว้ไม่กี่ท่าให้หมด!
คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เย่แจ๋หยิ่งจะมาเห็น……
นางจะบ้าแล้ว!
จากที่เย่แจ๋หยิ่งเตือน หลานเยาเยาก็ดีดตัวขึ้นมาราวกับสปริง พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแดงก่ำว่า:
“เย่แจ๋หยิ่ง เจ้าออกไป”
ในตอนนี้นางคิดแค่อยากจะหารูมุดเข้าไป มันช่างน่าอาย
“เยาเยา พวกเรามาลองกันไหม?”
เสียงของเย่แจ๋หยิ่งทุ้มต่ำ น่าดึงดูด มีเสน่ห์ที่สุด
สายตาของหลานเยาเยาถลนออกมาแล้วก็รีบมองไปทางอื่น ปิดหูตัวเองทันที ไม่อยากได้ยินเขาพูดอีก
“ไม่ลอง ข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้าอย่ามาพูดกับข้า”
“แต่ก็เห็นๆอยู่ว่าใบหน้าเจ้าเขียนว่าเต็ม……”
“ไม่มี ไม่มี ไม่ได้เขียนอะไรทั้งนั้น เย่แจ๋หยิ่งเจ้าอย่าเข้ามา ไม่……”
เมื่อเห็นว่าเย่แจ๋หยิ่งเดินเข้ามา ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกของหลานเยาเยาก็คือหนี
แต่จะเร็วกว่าเย่แจ๋หยิ่งได้ที่ไหน?
เมื่อถูกจับได้ ก็ถูกปิดปากไว้
หลังจากถูกเย่แจ๋หยิ่งปล่อย
นางก็ทำได้เพียงทุบอกเขาด้วยความโมโห ที่จริงมันเหมือนกับการจั๊กจี้
“ยังจะหนีอยู่อีกหรือไม่?”
เย่แจ๋หยิ่งผ่อนลมหายใจ ถามเสียงแหบ
“หนีอะไรกัน ที่นี่คือห้องบรรทมของข้า คนที่ต้องไปก็คือเจ้า”
หลานเยาเยาที่คิดว่าตนเองพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไปอยู่ที่หูเย่แจ๋หยิ่งจะกลายเป็นการออดอ้อน
เขาก็เกิดดีใจ ระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“อ้า ทำให้ข้าเหงานอนไม่หลับมาตั้งนาน คืนนี้ไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่”
พูดจบ!
เย่แจ๋หยิ่งก็โบกแขนยาวๆ ผ้าม่านบางเบาสีแดงก็ลงมารวมกันทันที……
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าก็ปรากฏฟ้าสีขาวรุ่งอรุณ
ผ้าม่านบางที่สั่นไหวมาทั้งคืน ในที่สุดก็หยุดลง
เย่แจ๋หยิ่งเอาหลานเยาเยาเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดเสียงเบาว่า:
“เยาเยา ของหมั้นข้าเก็บไว้สามโกดัง เจ้าหาฤกษ์ดีๆไปย้ายพวกมันเข้าตำหนักเทพธิดาเถอะ!”
ของหมั้นสามโกดัง?
ต้องคุยโวขนาดนั้นเลยหรือ?
หลานเยาเยาใจเต้นแรง แต่พอคิดถึงเรื่องราวที่ยังจัดการไม่เสร็จอีกมากมาย นางก็ถอนหายใจเบาๆ
“ตอนนี้แบบนี้ก็ดีแล้ว”
“ถ้าเจ้ากังวลไม่ย้ายมาก็ไม่เป็นไร คืนนี้ก็กลับจวนกับข้า ไปเอาของหมั้นทั้งหมดเก็บไว้ใน……”
เย่แจ๋หยิ่งหยุดไปชั่วขณะ
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่หลานเยาเยาเอาไว้เก็บของมากมายนั้นเรียกว่าอะไร
“พื้นที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ!”
หลานเยาเยาก็คิดเช่นนั้น!
แต่พอคิดถึงความจุของพื้นที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บเหลือไม่มากแล้ว นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“พื้นที่จะไม่พอแล้ว ของหมั้นเอาไว้ที่เจ้าชั่วคราวก่อน”
“งั้นพวกเรากราบไหว้ฟ้าดินก่อนไหม?”
เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกว่า เวลานี้คือเวลาที่หลานเยาเยาพูดด้วยดีที่สุดก็ต้องรีบคว้าโอกาสไว้
“ไม่ใช่ว่ากราบไปแล้วหรอ?”
“เมื่อไหร่?” เย่แจ๋หยิ่งสงสัย
“สามปีก่อน” หลานเยาเยาพูดรวบกระชับ
“……”เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เยาเยา นั่นไม่เหมือนกัน”
“เหมือนๆกัน ทุกคนก็คิดว่าข้าตายไปแล้ว แต่ข้าไม่ได้ตาย ข้ายังเป็นพระชายาเย่ของเจ้าอยู่”
“สามีภรรยาแยกกันอยู่มีที่ไหนกัน?”
“เจ้าสามารถมาอยู่ที่นี่ทุกคืนได้นี่!”
พูดจบ
หลานเยาเยาถึงเริ่มรู้สึกว่าผิดปกติ
จากนั้นดวงตาที่ปิดอยู่ก็ค่อยๆเปิดออก
ให้ตาย!
โดนหลอกเข้าแล้ว
เย่แจ๋หยิ่งนี้นี่ เห็นๆอยู่ว่านางเหนื่อยจนไม่อยากขยับ แล้วก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เขากล้ามาหลอกนางได้ยังไง?
มีอย่างที่ไหนกัน
“เย่แจ๋หยิ่ง。”
“อื้ม ข้าน้อมรับคำสั่ง หลังจากนี้ทุกคืนจะมาอยู่กับเยาเยา” น้ำเสียงที่เขาพูดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลานเยาเยารีบหันตัวกลับมาอยากจะชี้แจงเหตุผลกับเขา ก็ต้องเห็นเย่แจ๋หยิ่งตั้งใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน จึงไปรบกวนเขา
ทั้งสองทะเลาะกันอยู่สักพัก
เย่แจ๋หยิ่งถึงยกเรื่องนึงขึ้นมาพูดกับนาง
“สองวันมานี้ มีคนหนึ่งชื่อว่ายู่หลิวซูอยากมาขอพึ่งพาข้า ในทุกๆด้านของเขาก็พอใช้ได้ เจ้าคิดว่าข้าควรให้เขามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญหรือไม่?”
“เจ้ากล้าใช้ก็ลองดู? เขาถูกลิขิตให้มาเป็นคนของข้า”
สำหรับสิ่งนี้!
หลานเยาเยามุ่งมั่นว่าจะต้องได้
แต่เย่แจ๋หยิ่งเดิมทีมีรอยยิ้มอยู่ จู่ๆก็ไม่สบอารมณ์
“ดูท่าข้าจะต้องจับตาดูเจ้าตลอดเวลา ไม่อย่างนั้น ถ้าไม่จับตาดูแว็บเดียว เจ้าก็ไปสนใจชายอื่นแล้ว”
“……”
เอ่อ……
หึงรุนแรงจริงๆ
ไม่ใช่ว่าใช้คำผิดนะ!
“ไม่สนใจ ไม่สนใจก็แค่สำนักหงอีขาดผู้ใช้แรงงาน จึงขอเขาไปเป็นแรงงาน”
แบบนี้ก็คงได้แล้วแหล่ะ!
“ครั้งหน้าก็สนใจคนที่อ้วนเตี้ย”
ถ้าหน้าตาดี เขาต้องระมัดระวังตลอดเวลา งั้นวันหลังถ้าสำนักหงอีของนางกระจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขาต้องเอากำลังทหารทั้งหมดไปจับตาดูการกระทำคำพูดของพวกเขาหมดเลยรึไง?
“……”
——
คุกสิงปู้
“เต้ง เต้ง เต้ง……”
“เอาอาหารขึ้นโต๊ะ เอาอาหารขึ้นโต๊ะ รีบลุกเร็ว”
เมื่อถึงเวลาเอาอาหารขึ้นโต๊ะ ผู้คุมไม่กี่คนก็เดินเข้ามา
ผู้คุมสองคนต่างถือแท่งเหล็กคนละอัน แยกกันเดินสองด้าน แล้วถือเอาแท่งเหล็กเคาะประตูเหล็กของห้องขังตลอดทาง
ผู้คุมสี่คนที่ตามอยู่ด้านหลัง ก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คุมสองคนแรกนัก แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายนึงเดินไปด้านนึง
ผู้คุมที่เดินนำหน้าถือถังไม้คอยตักข้าวให้แก่ทุกคนในห้องขัง ผู้คุมที่อยู่ด้านหลังก็ทำหน้าที่ตักกับข้าว
เพราะทุกวันทำงานเดิมซ้ำๆ และคนที่ควบคุมที่นี่แทบจะเป็นคนที่ดูชั่วร้ายทั้งนั้น ดังนั้นทัศนคติที่ผู้คุมมีต่อพวกเขานั้นนับว่าเลวร้าย
คนที่เอาถ้วยมารับข้าวรับกับข้าวไม่ทัน พวกเขาก็เอาอาหารเทไว้บนประตูเหล็ก
ดังนั้น!
ในสถานการณ์ปกติ
เมื่อถึงเวลากินข้าว เหล่านักโทษแย่งกันมาอยู่ตรงข้างประตูเหล็ก แล้วกลิ่นเหม็นก็ตลบอบอวลไปทั่วห้องขัง
เมื่อเหล่าผู้คุมเดินมาถึงห้องสุดท้าย ก็เห็นคนที่นอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนกองฟาง พวกเขาจึงยื่นคอยาวแนบกับประตูเหล็กเพื่อดู
ชุดนักโทษสะอาดสะอ้านไม่มีรอยเลือด แม้จะไม่พอดีตัว แต่ก็สามารถเห็นสัดส่วนรูปร่างอ่อนช้อย
แล้วยังมีใบหน้าสวยงามกลมขาวรูปไข่ นอกจากมีรอยเปื้อนเล็กๆน้อยๆ ก็ยังคงสดใสงดงามอยู่
“น่าเสียดายคนที่งดงามขนาดนี้ ถ้าได้สัมผัสเสียหน่อย……”
“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด! นางคือหลานจิ่นเอ๋อ ไม่ใช่นักโทษธรรมดา ไม่ว่าจะอยากได้ขนาดไหนนางก็ไม่ขยับ”
“ถ้าจะให้ข้าพูดนะ! ก็ใช้โอกาสตอนที่ใต้เท้าช่างชูจัดการเรื่องงานศพของลูกสาวเขาอยู่ไม่มีเวลามาควบคุม พวกเราเหล่าพี่ชายก็มามีความสุขกันสักสองสามคืนสิ? ยังไงนางก็เหมือนคนกำลังจะตาย”
พวกเขาไม่กี่คนคุกเข่าอยู่ตรงประตูเหล็ก พลางมองคนด้านในพร้อมกับพูดจาหยาบคายอย่างไม่เกรงกลัว
คาดไม่ถึงว่า……
ด้านหลังของพวกเขา มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ สิงปู้ช่างชูก็อยู่ในนั้น โดยมีหญิงสาวสวมชุดคลุมสีแดงเลือดเป็นผู้นำ