บทที่ 506 การพูดคุยอย่างเที่ยงตรงยุติธรรม
ในการหารือมีเสียงของการทะเลาะวิวาทเพิ่มเข้ามาดังขึ้นมาไม่หยุด เนื้อหาที่พูดคุยกันก็ไม่พ้นเรื่องของส้งเย่นกุย แต่คนที่พวกเขาพูดถึงอยู่นั้น ก็ตามหลังพวกเขาอยู่
สีหน้าของส้งเย่นกุย ไม่ได้ใช้คำว่าเก้ๆกังๆมาบรรยายแล้ว……
พวกเขาเป็นแบบนี้ มันดีจริงๆใช่ไหม?
เขาอยากจะพูดแทรกขึ้นมาก็แทรกไม่ได้ จึงทำได้เพียงกระแอมเบาๆสองสามที เพื่อบอกว่าตนเองอยู่ข้างหลังพวกเขา ให้พวกเขาระวังคำพูดหน่อย
แต่สองคนที่อยู่ตรงหน้าก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไรสักนิด ยังคงพูดถึงเขาต่อไป
หลังจากที่กระแอมเบาๆไปสองสามทีแล้วไร้ประโยชน์ เขาจึงทำได้เพียงยักไหล่อย่างจนปัญญา
ไม่เคยรู้เลยว่าเทพธิดายังมีท่าทางแบบนี้อีก
จู่ๆคนที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดพูดคุย และก็หยุดฝีเท้าลงยืนเงียบๆ เงียบจนผิดปกติ เหมือนกับกำลังฟังอะไร
หลานเยาเยาหันไปมองอีกด้านนึงเล็กน้อย
มีเสียง……
เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลเข้ามาใกล้ และใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยังมองไม่ชัดเจน เห็นแต่เพียงมีคนอยู่กลางหมอกทรายหนา มุ่งมาอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มที่มุมปากของหลานเยาเยายกขึ้น
ร่างนี้นางคุ้นเคยมาก คือตาเฒ่าเย่นไม่ผิดแน่!
แต่คนยังไม่ทันมาถึง คำพูดก็มาก่อนแล้ว:
“นังหนู ข้ายังไม่ตาย! เจ้าจะตะโกนยังไงก็ไม่ควรแล้วใช่ไหมล่ะ?
ข้าได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเจ้าตั้งแต่ไกลๆแล้ว ตะโกนหาพวกเจ้าตั้งหลายครั้งจนเสียงแหบแห้ง แต่ก็ไม่สนใจสักนิด ซ้ำยังยิ่งพูดก็ยิ่งสนุก”
ตาเฒ่าเย่นที่เหน็ดเหนื่อย น้ำเสียงก็กระหืดกระหอบ ตอนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลานเยาเยา เขาก็นิ่งสักพัก และเริ่มพูดไปด่าไป
“นังหนู คิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ดีที่ป้ายหลุมศพบนทะเลทรายต่างบันทึกไว้หมด”
พอได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของหลานเยาเยาก็เคร่งขรึม ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วและคว้าหูของตาเฒ่าเย่นเอาไว้แน่น จากนั้นก็แกล้งทำเป็นตีเขาสองสามที แล้วก็รวดมองสำรวจร่างกายของเขา ดูว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือไม่
“เฮอะ! ตาเฒ่าเย่น ปากหมาพ่นคำพูดออกมาดีไม่ได้ ข้าเป็นหลานท่านนะ ไม่หวังให้ข้ามีชีวิตอยู่ แต่ยังรอเงินที่เหลือจากป้ายหลุมศพอีก?”
หลานเยาเยานั้นไม่ได้ลงมือทำร้าย แต่คนแก่บางคนก็ชอบเล่นละคร ทำท่าทางแสร้งอย่างกับหูถูกกัดขาด
“โอ๊ย เจ็บๆๆๆ หลานที่แสนดี หลานที่แสนดี เจ้าปล่อยมือออกก่อน ปู่ก็แค่ล้อเจ้าเล่น นี่ไม่ใช่รู้ว่าเจ้ามีชีวิตอย่างมีความสุขนี่! ยังไงเจ้าก็ไม่เข้าใจความหวังดีของข้า ซ้ำยังวางแผนลอบฆ่าข้าอีกหรือ?”
เมื่อเห็นเขาขอความเมตตา หลานเยาเยาจึงปล่อยเขา
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเขาไม่เป็นอะไร ก็รีบหยิบกาน้ำตรงเอวขึ้นมา นี่คือขวดที่หยิบมาเผื่อเอาไว้ ในตอนที่ส้งเย่นกุยมาหาคน
ในที่สุด ตอนนี้ก็ได้ใช้แล้ว
เมื่อเห็นน้ำ นัยน์ตาของตาเฒ่าเย่นก็เป็นประกาย ตื่นเต้นขึ้นมา ดูเหมือนกับดีใจมากกว่าเจอหลานเยาเยาที่เป็นหลานเสียอีก
“โอ้โห ฮ่าๆๆๆ ข้าไอแทบตายแล้ว”
พูดไป เขาก็ดื่มน้ำอึกอึกสองสามอึก จากนั้นก็พอ และปิดฝากา มองหลานเยาเยาอย่างปลื้มใจ
ส่วนใบหน้าของหลานเยาเยาก็เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาข้างกายเบาๆ น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหูนาง:
“เจ้าสำนัก ท่านลืมไปหรือเปล่า ว่ายังมีข้าอีกคนอยู่?กระหม่อมกระหายจนเห็นแต่ดาวสีทองเต็มไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นท่านส่งน้ำมาให้ข้าดื่ม”
ยู่หลิวซูรู้สึกเสียใจ
เมื่อครู่เขาไม่ได้สังเกตว่าที่เอวของหลานเยาเยามีน้ำแขวนอยู่ พอดีใจก็พูดกับนางไม่หยุด
จนลืมพูดว่าอยากดื่มน้ำ
คิดไม่ถึงว่า พอเจอตาเฒ่าเย่น หลานเยาเยาจะดีใจ รีบหยิบเอาน้ำให้เขากิน จึงรู้สึกว่าตนเองนั้นถูกทอดทิ้ง และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
อารมณ์เขาจึงไม่ดีมากๆ
เอ่อ……
ก่อนหน้านี้เห็นยู่หลิวซูกระปรี้กระเปร่า พูดคุยกับนางท่าทางไม่เหมือนหิวน้ำ นางเองก็ลืมไป
“แค่กๆ!” นางพูดออกมา
มีความอายอยู่ในนั้นเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ยังมองเขาด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ข้าก็เห็นว่าสีหน้าของเจ้ายังมีเลือดฝาดมันวาว แข็งแรงมีชีวิตชีวาราวกับวัว ไม่ได้มีท่าทางเหมือนกับกระหายน้ำเลย
เจ้าดูตาเฒ่าเย่นอีกที หลังก็ค่อม สกปรกไปทั้งตัว ท่าทางเหมือนจะตาย ดูน่าเวทนามาก ข้าจึงให้เขาดื่มน้ำเพื่อต่อชีวิต”
นี่คือคำพูดปลอบ?
ทำไมพอพูดออกมา ก็ล่วงเกินไปถึงสองคนเลยหล่ะ?
ความโกรธของตาเฒ่าเย่นนั้น เพิ่งดื่มน้ำไปสองอึก กาน้ำที่ถืออยู่นั้น เหมือนจะอยากปาไปที่พื้น แต่ก็ทำไม่ลง ก็ต้องแอบอดทนเอาไว้
สีหน้าของยู่หลิวซูก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น
สิ่งที่เจ้าสำนักพูดเขาไม่อยากฟังนัก สรุปแล้วนี่มันเป็นการชมเขา หรือลดค่าของเขากันแน่?
แต่ประเด็นหลักมันคืออันนี้หรือ?
ทันใดนั้น!
มีกาน้ำปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา คือส้งเย่นกุยที่ยืนอยู่ข้างเขาส่งมาให้
“ดื่มสิ!”
รับกาน้ำมา ยู่หลิวซูก็เบ้ปาก มองหลานเยาเยาทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา เงยหน้าขึ้นและพูดว่า:
“ดูสิ ก็เป็นพี่เย่นกุย ที่สงสารข้า”
“เอาๆๆ เขาสงสารเจ้าที่สุดแล้ว เจ้าก็รีบดื่มน้ำชดเชยเข้าไปละกัน จะได้ไม่ต้องพูดว่าข้านั้นไม่สงสารเจ้า
ดื่มเสร็จพวกเราก็รีบไป ดูว่าจะหาคนอื่นๆเจออีกหรือไม่”
หลังจากนั้น พวกเขาก็เดินไปด้วยกัน เป็นเวลานานมากแล้ว และเดินวนไปรอบใหญ่ๆก็เจอห้าคน ทีละคนๆ แต่มีสี่คน ที่ตายนานแล้ว ส่วนคนที่รอดหนึ่งคนนั้น ก็แทบจะตายอยู่แล้ว
เพียงแต่ยังมีลมหายใจ เพราะถูกกระแทก ช่องอกจึงอัดเลือดขึ้นมา จำเป็นต้องทำการผ่าตัด ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้
หลานเยาเยาจึงตัดสินใจใช้ของที่มีอยู่ลองทำการผ่าตัด แต่เพื่อไม่ให้เป็นภาระพวกเขา ระหว่างที่กลับ คนคนนั้นจึงแอบกัดลิ้นฆ่าตัวตาย
ในการค้นหาครั้งต่อมา พวกเขาได้พบกับฝูงงูทองทะเลทรายสองสามครั้ง ดีที่ว่าบนตัวของนางและส้งเย่นกุยมียาผงอยู่ จึงทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัว แต่ไม่มีอันตรายใดๆอยู่หลายครั้ง
สุดท้าย เมื่อไม่พบใครจริงๆ พวกเขาจึงกลับไปยังเนินทรายที่โรยยาผงไว้
ทรายสีเหลืองเต็มท้องฟ้า ก็ค่อยๆกระจายจางไปตามกาลเวลา หลานเยาเยาตัดสินใจว่าจะไปหาเย่หลีเฉินให้มารวมกลุ่มกันที่นี่
ในไม่ช้าก็มาถึงสถานที่ ที่พวกเขาทำเครื่องหมายเอาไว้ ที่นั่นว่างเปล่าไม่มีคน แต่กลับมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง บนม้าก็ยังแบกของเอาไว้จำนวนหนึ่ง
พอมองเข้าไปใกล้ ก็เป็นห่อของที่ใส่อาหาร และมีกาน้ำ
“ใครอยู่ตรงนั้น?” จู่ๆก็มีคนโพล่งออกมา
นั่นคือเย่หลีเฉิน น้ำเสียงของเขาดูรีบร้อน ในความรีบร้อนนั้น ก็ยังมีความประหม่าอยู่อย่างชัดเจน
“ข้าเอง”
“หลานเยาเยา?! เบาหน่อย รอบๆมีบางอย่างผิดปกติ คาดว่าจะพบกับงูสีทองนั่นอีกแล้ว”
ดูท่า อยู่ที่นี่เย่หลีเฉินจะได้รับการจู่โจมจากงูทองทะเลทราย จึงอดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ
พวกมันมีอยู่ทุกที่จริงๆ ทะเลทรายแห่งนี้ มีไว้เพื่อเลี้ยงงูทองทะเลทรายโดยเฉพาะงั้นหรือ?
ทำไมหลังจากที่มีมรสุมทะเลทราย จึงมีอยู่ทั่วทุกที่!
งูก็แบ่งเขตพื้นที่นะ!
คงไม่ใช่ว่าถูกมรสุมทะเลทรายพัดมาไกลใช่ไหม?
พอคิดถึงตรงนี้ หลานเยาเยาก็รีบมองทรายเหลืองที่อยู่เต็มท้องฟ้า จึงรีบบอกให้เย่หลีเฉินเข้ามาใกล้ม้า
“เจ้ารีบมานี่ บนตัวข้ามียาผงอยู่ สามารถกันงูทองทะเลทรายให้พวกมันไม่เข้าใกล้”
ในไม่ช้าเย่หลีเฉินก็เดินออกมาจากหมอกทรายบางๆ มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลานเยาเยา แต่เขาไม่ได้ตัวคนเดียว ด้านหลังยังแบกคนที่น่าจะสลบไปเอาไว้
พอเห็นใบหน้าของคนนั้น หลานเยาเยาก็หรี่ตารีบรุดมาข้างหน้า นางคือเย็นหงที่แต่งตัวเป็นชาย ใบหน้าฟกช้ำ มุมปากก็มีรอยเลือด ทั้งตัวเต็มไปด้วยทรายสกปรก ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากที่ทั้งสองรวมตัวกัน ก็รีบมัดเย็นหงไว้บนม้า ให้ม้าแบกนางออกไปจากสถานที่ที่เป็นปัญหานี้อย่างรวดเร็ว