บทที่ 567 ชื่อไพเราะ เพียงเพราะเป็นเจ้า
เดิมทีเขาสามารถจัดการคนโดนมนต์ดำสองคนนี้ได้ แต่มองดูพวกเขาสองคนแบบนี้ ความคิดจิตใจก็ยากจะสงบลงในพริบตา
“นี่? พวกท่านคิดจะมองดูเงียบๆเช่นนี้หรือ?”
แต่ว่าพูดจบเขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว
ดวงตาเย่แจ๋หยิ่งมองไม่เห็น คนที่บุกเข้ามาเมื่อครู่เขาก็ไม่รู้จัก พูดเช่นนี้ไม่ค่อยดีจริงๆ แต่คำพูดก็ได้ออกจากปากไปแล้ว สายน้ำไม่หวนคืนนี่!
แต่ว่า……
สองคนที่มองดูเขาเงียบๆยังคงไม่ขยับไม่สะทกสะท้าน
กลับเป็นหลานเยาเยาเงยหน้าเล็กน้อยและตะโกน : “อาส้ง!”
ถูก หลานเยาเยาเรียกก็คือส้งเย่นกุย
มองดูอยู่ข้างบนนานแล้ว คงจะต้องขยับเขยื้อนร่างกายแล้วสินะ!
เมื่อคำพูดนี้ออกไป เย่แจ๋หยิ่งกับโม่เหลียงเฉินรู้สึกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาล้วนไม่ได้สังเกตเห็น ในนี้นอกจากคนโดนมนต์ดำ ยังมีคนที่สี่คงอยู่ด้วย
สิ้นสุดคำพูด
เสียงหนึ่งที่ทนไม่ได้ก็แว่วมา :
“รู้แล้วขอรับ” ไม่ใช่คนโดนมนต์ดำแค่สองคนหรือ? ยังต้องการให้เขาลงมือเอง? เขาดูละครยังดูไม่พอเลยนะ!
แต่ทำอะไรไม่ได้เจ้านายเรียก เรื่องไร้สาระที่ใหญ่เท่าเมล็ดงาก็เป็นเรื่องสำคัญ
หางเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ส้งเย่นกุยก็ปรากฏตัวข้างกายโม่เหลียงเฉินแล้ว ทำให้โม่เหลียงเฉินตกใจถอยไปก้าวหนึ่ง
แต่ส้งเย่นกุยมือเดียวบีบคนโดนมนต์ดำผู้หนึ่งจากทางด้านหลัง เหมือนบีบมดสองตัวอย่างง่ายดายเช่นนั้น จากนั้นก็ถามอย่างเกียจคร้านว่า :
“ต้องการเป็น หรือว่าตาย?”
หลานเยาเยาตอบ : “ติดเชื้อถึงหัวใจแล้ว ไร้การรักษาด้วยยา”
คนโดนมนต์ดำชนิดนี้ไม่เหมือนกับคนโดนมนต์ดำที่ควบคุมโดยหนอนพิษกู่ ยาถอนพิษของพิษกู่จิ้น ไม่มีทางรักษาพวกเขาได้ หากว่าสติสัมปชัญญะยังอยู่ นั่นยังมีโอกาสรอดอยู่ แต่สถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ คนโดนมนต์ดำเหล่านี้สูญเสียสติสัมปชัญญะหมดแล้ว ไร้หนทางช่วยเหลือ
พูดจบ!
ก็เห็นส้งเย่นกุยขับเคลื่อนกำลังภายใน ทำลายหัวของคนโดนมนต์ดำโดยตรง
ภายใต้สายตาที่ตะลึงงันของโม่เหลียงเฉิน ส้งเย่นกุยเดินมาถึงด้านหน้าหลานเยาเยา หลังจากมองเย่แจ๋หยิ่งแวบหนึ่งแล้ว แอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แอบสะกิดแล้วเดินไปด้านข้าง ให้ร่างกายของหลานเยาเยาบังร่างกายของเย่แจ๋หยิ่งไว้
กระแอมเบาๆครั้งหนึ่ง แอบเตือนตัวเอง :
เขาคืออ๋องเย่เย่แจ๋หยิ่ง ไม่ใช่ฮ่องเต้รุ่นแรกเย่ซางหลิง เพียงแค่รัศมีคล้ายกันย่างแปลกประหลาดเท่านั้น อย่ากลัวอย่ากลัว
หลังจากเสริมความกล้าให้ตัวเองจึงได้กล่าว :
“ในนี้มีห้าคน โรงหมอมีหนึ่งคน คนของครอบครัวขุนนางล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เพียงแต่ที่มายังไม่กระจ่าง”
“ไม่เป็นไร ข้ามีเบาะแสแล้ว”
ส้งเย่นกุยพยักหน้า แอบส่งสายตาให้หลานเยาเยาหลายที
อย่าใจลอย คนก็เจอแล้ว ควรไปแล้วสินะ?
แต่หลานเยาเยากะพริบตาอย่างงงงัน เอาสายตาเคลื่อนที่โดยตรง ไม่มีความหมายจะจากไปโดนสิ้นเชิง ส้งเย่นกุยแทบจะกุมขมับอย่างจนปัญญาแล้ว
ได้ได้ได้!
เช่นนั้นเขาก็ช่วยคนช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระส่งถึงสุขาวดี เพื่อให้ใครบางคนได้พูดแสดงความทุกข์แห่งความคิดถึงสักหน่อย
“ยังมีอะไรให้ตรวจอีกขอรับ? ท่านไม่ได้ตอบรับพ่อบ้านเหมยของจวนอ๋องเย่แล้วหรือ จะรักษาอาการไข้ใจให้อ๋องเย่?
อ๋องเย่มีอำนาจมีอิทธิพล ตรวจเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่เรื่องขยับปลายนิ้วขอรับ”
“…….”
แย่แล้ว!
คิดไม่ถึงความสามารถในการเปิดปากพูดเรื่อยเปื่อย ส้งเย่นกุยก็ทำได้อย่างทันที
ต่อหน้าคนอื่น พูดเช่นนี้ดีจริงๆหรือ?
แต่ไม่รอหลานเยาเยาพูดจา ส้งเย่นกุยก็แสร้งพูดอย่างกล้าหาญอีก :
“แต่ว่า ข้าดูแล้วไม่มีทางขอรับ อ๋องเย่ตอนนี้ไม่ก้าวออกจากบ้าน เป็นคนที่อยู่แต่ในบ้านโดยแท้ ท่านเข้าห้องบรรทมของเขาไม่ถึงครึ่งก้าวก็จะโดนไล่ออกไป
นอกจาก ท่านจะเชิญพระคุณเจ้าหยวนซูมาด้วยกัน”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งไป
หลานเยาเยาเบิกตาโพลงอย่างไม่รู้ตัว
ส้งเย่นกุยเช่นนี้คือกำลังทำอะไร?
นางบอกตั้งนานแล้ว พระคุณเจ้าหยวนซูไม่กี่คำนี้ไม่สามารถเอ่ยถึงได้ เขากลับดี พูดออกมาหมด
เกือบจะสิ้นสุดเสียง ข้อมือของหลานเยาเยาก็โดนจับมือใหญ่ๆข้างหนึ่งที่เย็นเป็นน้ำแข็งจับไว้ ยังแฝงไปด้วยความสั่นเทา
“เจ้ารู้จักพระคุณเจ้าหยวนซู?” เสียงที่ทุ้มต่ำเต็มไปด้วยแรงดึงดูดดังขึ้น
ใจของหลานเยาเยาตะลึงเล็กน้อย
ทำได้เพียงแถข้างๆคูๆ หรี่ตาเหล่มองส้งเย่นกุย ในตาเต็มไปด้วยการข่มขู่ กล่าวอย่างหมดกำลังใจ : “รู้จัก รู้จักเป็นธรรมดา”
อยู่ไกลสุดขอบฟ้าอยู่ใกล้แค่ตรงหน้าเนี๊ย!
“เขาอยู่ที่ไหน?” มือของเย่แจ๋หยิ่งยิ่งกำยิ่งแน่นขึ้น
เกรงว่าส้งเย่นกุยจะพูดคำที่ละเอียดอ่อนออกมาอีก นางรีบตอบทันที : “ต่างประเทศ!”
อย่างไรเสียเพียงบอกว่าต่างประเทศ แม้ว่าเย่แจ๋หยิ่งจะอยากออกทะเลไปหา ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนสักหน่อย จึงสามารถออกทะเลได้
ใครจะรู้……
เวลานี้ ส้งเย่นกุยกลับโพล่งสองคำออกมา
“เมืองหลวง!”
“……” หลานเยาเยารู้สึกหมดอาลัยตายอยากในพริบตา จ้องมองส้งเย่นกุยจนตาจะถลนออกมาด้านนอกแล้ว “เจ้าพูดอีกคำ ข้าจะปิดเจ้าไว้แล้ว”
“ได้ได้ได้ ไม่พูดแล้วขอรับ” พูดถึงตรงนี้ ส้งเย่นกุยเดินอย่างเชื่องช้าเหนื่อยหน่ายสองสามก้าว ราวกับว่าอธิบายให้เย่แจ๋หยิ่งด้วยความหวังดีอีกครั้ง : “ข้าพูดไร้สาระไปเรื่องสองสามประโยค ข้ามีลางสังหรณ์ ข้ายังไม่ไปอีก ข้าจะถูกขังไว้ตลอดชีวิตแล้ว”
พูดจบ!
ส้งเย่นกุยไม่แม้แต่จะมองหลานเยาเยาสักแวบหนึ่ง ก็กระโดด เหาะขึ้นชั้นบน จากนั้นก็พลิกตัวจากไป คนก็ไปแล้ว เสียงยังจะดังมาทางอากาศ
“คุณชาย โรงหมอมอบให้ข้าเลยขอรับ ท่านก็ถูกขู่เข็ญอย่างสงบใจเถอะขอรับ!”
“……” ในใจของหลานเยาเยาตื่นเต้นเหมือนม้าหมื่นตัววิ่งผ่าน
ไอ้บ้านี่……
ไม่ตีสามวันก็เอาใหญ่แล้ว
ไม่ได้ แผนการทั้งหมดถูกส้งเย่นกุยทำยุ่งเหยิงแล้ว นางจำเป็นต้องออกไปก่อน ค่อยวางแผนใหม่อีกที ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าเย่แจ๋หยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ ใช้โอกาสที่เย่แจ๋หยิ่งไม่สนใจ นางดึงมือของตัวเองกลับ……
แต่มือกลับถูกมือใหญ่ที่เรียวยาวควบคุม ราวกับว่าคาดการณ์นานแล้วว่านางจะต้องผละออกเช่นนั้น กำนางไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถหลุดพ้นได้
เผชิญหน้ากับกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งบีบคั้นผู้คนของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยากระแอมเบาๆทีหนึ่ง : “ปล่อยมือ!”
“ได้ยินว่าเจ้าต้องการรักษาอาการไข้ใจให้ข้างั้นหรือ?” เย่แจ๋หยิ่ง‘จ้อง’ผู้ที่อยู่ด้านหน้าผ่านผ้าสีแดง
“ไม่ใช่ ข้ายังไม่……”
“ข้าอนุญาตแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ข้าข้าข้านั่น……”
ไม่ได้ให้นางพูดอย่างสมบูรณ์ หลานเยาเยาก็ถูกเขาผลัก ผลักไปข้างกายของโม่เหลียงเฉินแล้ว และด้วยความรวดเร็วของมือโม่เหลียงเฉินในคราวนี้ คว้าข้อมือนางได้ในทันที
“มีอะไรจะพูดกลับจวนอ๋องเย่ค่อยพูด” บนหน้าของโม่เหลียงเฉินแสดงให้เห็นถึงความปีติ
ในที่สุดก็มีข่าวคราวของพระคุณเจ้าหยวนซูแล้ว ถือว่าเป็นข่าวดี เขาจำเป็นต้องถามข้อมูลให้ดีๆ : “ไม่รู้ว่าคุณชายมีนามว่าอะไร? บ้านอาศัยอยู่ที่ไหน? แล้วรู้จักพระคุณเจ้าหยวนซูได้อย่างไรหรือ?”
มองดูใบหน้าที่ราบเรียบของโม่เหลียงเฉิน หลานเยาเยาถอนหายใจ กล่าวด้วยน้ำแรงไร้เรี่ยวแรง :
“เดินไปเดินไปก็รู้จักเข้าน่ะสิ!”
“อ๋อ~โชคดีจริงๆ เช่นนั้นท่านชื่ออะไรล่ะ?” โม่เหลียงเฉินไม่แยแสการเล่นลิ้นของนาง
“ทุกคนล้วนเรียกข้าคุณชายซ่างกวน”
“อ๋อ~ที่แท้ก็คือคุณชายซ่างกวนนี่เอง! ยินดีที่ได้รู้จักๆ เห็นท่านปากแดงฟันขาว หล่อเหลาสง่างาม คิดว่าต้องมีพื้นเพที่ดีที่สุด ไม่รู้ว่าบ้าน……”
โม่เหลียงเฉินยังไม่ทันพูดจบ หลานเยาเยาก็ชนเข้ากับกำแพงเนื้อ
ขณะที่นางเงยหน้า เย่แจ๋หยิ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันกลับมา โน้มตัวมาข้างหน้า ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ :
“ชื่อเต็ม!” ซ่างกวนสองคำนี้ เขาชั่งคุ้นเคยยิ่งนัก
“ซ่างกวนหนานซู่ ทำไมหรือ? ไม่เคยได้ยินชื่อที่น่าฟังขนาดนี้หรือ?”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป
เย่แจ๋หยิ่งชะงักงันในพริบตาอีกครั้ง ในสมองปรากฏคำพูดพวกนั้นทันที :
“นางคือทายาทของตระกูลซ่างกวน—ซ่างกวนหนานซู่ พรุ่งนี้ก็คือฮองเฮาของประเทศที่ดูแลควบคุมวังหลัง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มองทะลุเหตุการณ์ลอบสังหารฉากนี้”
“ไม่ได้ ซู่เอ๋อ เจ้าจำเป็นต้องกลับวังกับข้า อยากเป็นหมอเทวดา ข้าออกพระราชโองการฉบับหนึ่งก็ได้”
“ได้ยินว่าที่ไกลๆมีเจ้า เดินทางหลายพันลี้ ข้าโชยลมที่เจ้าเคยโชย ดูทิวทัศน์ที่เจ้าเคยดู แล้วพบกับเจ้าอีกที่นี่ นี่นับว่าชาตินี้มีวาสนาต่อกันหรือไม่?”
“ปากของเจ้าหวานมาก แฝงด้วยไฟฟ้า ชาๆ ในใจของข้าเต้นอย่างรวดเร็ว”
คำพูดเหล่านี้ยังวกวนอยู่ในสมองเรื่อยๆ ทันใดนั้นเย่แจ๋หยิ่งแย่งหลานเยาเยากลับมาจากมือของโม่เหลียงเฉิน จับมือของนางไว้เอง
คราวนี้ ลงมือไม่หนัก แต่ก็ไม่สามารถให้หลานเยาเยาหลุดพ้นได้
“ไพเราะจริงๆ!”
“ห๊ะ?” หลานเยาเยามุมปากกระตุกเล็กน้อย
จบคำพูด มุมปากของเย่แจ๋หยิ่งยกเป็นรอยยิ้มขึ้นเบาๆ บางจนแทบจะไม่มีทางสังเกตเห็นได้
จากนั้นก็พาหลานเยาเยาเหาะจากไป ทิ้งโม่เหลียงเฉินที่สีหน้างงงันไว้
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงไม่กล้าถามล่ะ?