“ ของเรา…เหว…ตาย…กระดูก…ประสาท…ผลไม้…ตายไปด้วยกัน….”
ในขณะที่กู้จวินพึมพำคำพูดเหล่านี้กับตัวเอง ความรู้สึกเเปลกประหลาดที่เต็มไปด้วยความแหลมคมก็วิ่งไปตามกระดูกสันหลังของเขาจนทำให้เขาตัวสั่นไปทั่วร่างสารพางค์กาย ร่างกายทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์สะท้านไปด้วยความรู้สึกที่หาเเหล่งที่มาไม่ได้ ร่างกายทั้งหมดถึงกับชาเเละขยับไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
กู้จวินนั้นไม่รู้จริงๆว่าประโยคเหล่านี้เกิดขึ้นจากภาษาไหนหรือที่มาอื่นใด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง และความกลัวที่อยู่ภายในคำพูดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
ในฐานะนักศึกษาแพทย์ กู้จวินรู้ว่าความตายที่เขียนไว้ในบันทึกเเผ่นนี้เป็นการสูญเสียชีวิตหรือตายอย่างแท้จริง….ไม่ใช่คำอุปมาเปรียบเปรย นอกจากนี้เขายังเห็นสิ่งนี้เขียนไว้ในย่อหน้าสุดท้ายของบันทึกทั้งสามหน้า เป็นไปได้มากว่าการเขียนย่อหน้าสุดท้ายนั้นคือ คำว่า ‘ตายพร้อมกัน’ ซึ่ง…มันก็น่าจะหมายความตรงตัวนั่นคือ ตายไปด้วยกัน….
“ ตายด้วยกัน ตายไปด้วยกัน…” การพูดประโยคซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งในขณะที่กู้จวินเองก็หายใจเพื่อจะมีชีวิตต่อไปด้วย เขาพลันรู้สึกถึงความสยองขวัญที่อธิบายไม่ได้อย่างรวดเร็ว เเม้กระทั่งจิตใจที่เข้มเเข็งเเละเย็นชาของกู้จวินยังอดรู้สึกไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจเล็กน้อย
กู้จวินเข้าใจผิดไปเล็กน้อย…เเม้บันทึกการวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ที่ได้มา 3 เเผ่นนี้จะมีลายมือที่สวยงามเเละสะอาดตาไม่ต่างจากการพิมพ์ เเต่มันก็คือลายมือ เพียงเเต่ลายมือของคนเขียนนั้นทั้งนิ่งเเละมั่นคง
หากแต่ความเศร้าโศกและความสิ้นหวังภายในจิตใจ ที่ทำให้คำพูดทั้งหมดของเขานั้นหนักแน่น หนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่รางวัลเเรกอย่าง ‘การอ้างอิงทางกายวิภาค’ มีความบ้าคลั่งเเอบเเฝงอยู่และผู้เขียนจะต้องใช้ต่อสู้อย่างเจ็บปวดเพื่อหาโอกาสในการมีชีวิตรอด ลายมือของเขานั้นเต็มไปด้วยความรีบเเละร้อนรน ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากผู้เขียนเขียนจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
อย่างไรก็ตามในบันทึกการวินิจฉัย 3 เเผ่นนี้ ทั้งประโยคเเละการสื่อคำพูดผ่านตัวอักษรนั้นนิ่งเงียบและมีความสงบเเฝงอย่างน่ากลัว ราวกับว่าผู้เขียนยอมรับความตายอันโหดร้ายที่กำลังมาถึง เเม้จะมีโอกาสมีชีวิตรอด เเต่เขาก็ยังนิ่งเฉยเเละเลือกยอมรับความตายด้วยการยินยอมอย่างดุษฎี
“ ว่าเเต่ในบันทึกการวินิจฉัยนี้เขียนเกี่ยวกับโรคอะไรกันเเน่นะ?” หลังจากที่กู้จวินมองบันทึกที่เต็มไปด้วยภาษาต่างโลก เขาก็ถามตัวเองเเล้วยืนคิดเงียบๆ เพียงลำพัง
หรือว่าอักษรในบันทึกนั่นจะเกี่ยวข้องกับโรคมนุษย์ต้นไทร ไม่สิๆ หรือมันจะเกี่ยวข้องกับสัตว์สายพันธุ์ผิดปกติกันเเน่?
เเต่ในความคิดของกู้จวิน เขารู้สึกว่าบันทึกนั่นน่าจะเขียนเกี่ยวกับสัตว์สายพันธุ์ผิดปกติมากกว่า…เพียงเเต่เขายังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้!
กู้จวินวิเคราะห์สิ่งรอบตัวเพิ่มเติม จากนั้นเขาจ้องไปที่สมุดบันทึกอีกครั้งเพื่อหาเบาะแสอื่นๆ ที่พอจะหาได้ อนิจจา! ในบันทึกนั้นไม่มีอะไรให้เขาค้นหาจากมันอีกแล้ว เขาถอนหายใจและปิดบันทึกไปซะ จากนั้นเขาก็สั่งเปิดกระดานข้อความของระบบ
“ เอ๊ะ! เดี๋ยวสิ! เมื่อกี๊เหมือนมันขาดอะไรไปบางอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดที่สำคัญบางอย่างในภาพของห้องใต้ดินนั่น…อะไรกันนะ!?”
กู้จวินตบหัวตัวเองอย่างเเรง เเละพยายามบังคับให้ตัวเองนึกถึงภาพที่หายไปนั้น จนตอนนี้หัวของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
ความรู้สึกนี้ช่างคล้ายคลึงกับความเจ็บปวดก่อนที่เขาจะได้เห็นนิมิตไม่มีผิด…เเต่ว่านิมิตนั่นมาจากไหน เเล้วอะไรเป็นปัจจัยทำให้มันเกิดขึ้นกันเเน่
เกิดอะไรขึ้นกับภาพลวงตาเหล่านี้?
มันเป็นของจริงหรือ!?
เขาจะสามารถเพิ่มความถี่ของการเกิดขึ้นได้ไหม?
เเล้วทำไมมันถึงเกิดในเวลาเเบบเหมาะเจาะ!?
เเละนี่ก็เป็นอีกครั้งที่กู้จวินจมดิ่งลงไปในความคิดของตนเองด้วยคำถามมราน่าสับสนนี้
“ ประการแรกความฝันเกี่ยวกับหมู่บ้านกู่หรงอาจจะไม่เหมือนกับนิมิตภาพอื่น ๆ อืม! ฉันคิดว่าภาพแรกเกิดขึ้นที่ด้านล่างของทะเลสาบลองกานในตอนนั้น…..แต่ครั้งนั้นมันต่างออกไป ฉันจำภาพหรือเสียงที่เกิดขึ้นตอนนั้นไม่ได้เลยในภายหลัง สิ่งที่คล้ายกัน….ฉันจำได้อย่างชัดเจนว่าฉากนั้นเกิดขึ้นเพียงสามครั้งเท่านั้น”
ภาพนิมิตในห้องปฏิบัติการทดลองที่เหมือนสระว่ายน้ำ มีการเเขวนศพมากมายในน้ำมันกลิ่นเหม็นหืน และก็มีโต๊ะผ่าตัดชั้นใต้ดิน ภาพนิมิตทั้ง 3 ภาพนี้…มีความคล้ายคลึงกันไหมนะ?
“ ความเหมือน…ใกล้เคียง…..เชื่อมโยง” เมื่อกู้จวินเล็งประเด็นนี้เเล้ว เขาก็จัดการเรียบเรียงความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจเเละสมองของเขาเอง
สถานการณ์เเรก…นิมิตภาพปรากฎในห้องปฏิบัติการที่ทรุดโทรม เเละมีเลือดเขียนเป็นตัวอักษร ซึ่งตอนนั้นที่เกิดนิมิตเขาอยู่ที่ห้องปฏิบัติการทดลองเเละมีพวกเพื่อนๆอยู่ด้วย
สถานการณ์ที่สอง….เขาอยู่ในห้องปฏิบัติการวิจัยที่มีสระว่ายน้ำ เเละสระว่ายน้ำที่ว่านั้นเต็มไปด้วยน้ำมันดองศพ ซึ่งตอนนั้นที่เกิดนิมิตเขาอยู่ที่ห้องปฏิบัติการทดลอง…เเต่อยู่คนเดียว
สถานการณ์ที่สาม…เขาเห็นภาพภายในห้องเก็บศพ และโต๊ะผ่าศพภายในชั้นใต้ดิน เเละเขาก็เห็นคนยืนอยู่ข้างโต๊ะผ่าศพ เเละตอนนี้เขากำลังอยู่ในการเเข่งขัน
บางทีสถานที่ที่คล้ายกันอาจเป็นเกณฑ์กำหนด…แต่อาจจะมีอะไรมากกว่านั้นก็เป็นไปได้
ที่จริงตอนนั้นเขาเองก็ทำการผ่าตัดคนเดียวเหมือนกัน…เเต่ตอนนั้นก็ผ่าคนเดียวเเละไม่มีอะไรเกิดขึ้น….
ทันใดนั้นคำว่า ‘ยูเรก้า’ ก็พุ่งเข้ามาในสมอง เขาเข้าใจเเล้ว!! จะเป็นการผ่าตัดคนเดียวหรือทำเป็นหมู่คณะก็เถอะ ไม่มีอะไรสำคัญทั้งสิ้น! เเต่สิ่งที่ใกล้เคียงกับคำตอบมากที่สุดน่าจะเป็น ‘สื่อกลาง’
การเหมือนกับกระเเสไฟฟ้า…หากจะนำมาใช้ย่อมต้องมีสื่อกลาง เเละนิมิตก็ไม่ต่างกัน เเละนอกจากสื่อกลางเเล้ว กู้จวินคิดว่าบางทีมันอาจจะต้องมีการกระตุ้นด้วยถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเเจ้ง
สำหรับเหตุการณ์ในห้องปฏิบัติการทดลองสื่อกลางนั้นอาจเป็นประโยค“ ผลไม้แห่งความมืด” ก็ได้…เเละคำนี้ก็นำไปซึ่งการมองเห็นนิมิตที่น่ากลัว ห้องทดลองที่เต็มไปด้วยความเก่าเเก่เเละน่าขยะเเขยง เเล้วยังไม่รวมปรสิตมากมายที่ก่อตัวเป็นอักษรเลือดอีก
กู้จวินเริ่มนึกถึงคราเเรกที่เกิดนิมิต…นั่นอาจจะเพราะว่าเขาได้พบประโยคนั้นที่ด้านล่างของปล่องภูเขาไฟใต้ทะเลลองกานก็เป็นไปได้ เเละเหตุการณ์นั้นก็นำพาเขาสู่โลกใหม่ทั้งหมด!
ส่วนสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับห้องทดลองที่มีสระว่ายน้ำนั้น กู้จวินค่อนข้างเเน่ใจว่าอาจจะเป็นการมองเห็นศพของผู้ป่วยเเขนซ้ายผิดปกตินั่น หรือก็คือซากศพที่ทุกข์ทรมานจากโรคมนุษย์ต้นไทร
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าศพในสระว่ายน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำมันนั่นเป็นผู้ป่วยโรคมนุษย์ต้นไทร เเละศพทั้งหมดที่อยู่ในขั้นตอนการปลิดชีพ เเต่ละศพถูกโซ่ล่ามเพื่อแยกผู้ป่วยออกจากกัน ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้หลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหายนะที่ยิ่งกว่าเดิม เเละอาจจะเป็นไปได้มากว่าต้นไทรมนุษย์ที่หลอมรวมไปแล้วจะยังไม่ตาย…หรืออาจจะตายไปเเล้ว เเต่คาดว่าหากเขาเข้าไปใกล้มันอาจจะส่งเสียงร้องเพราะเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจากการขีดข่วนก็เป็นไปได้
ส่วนสื่อกลางในการเชื่อมโยงไปยังภาพลวงตาชั้นใต้ดินนั้น…เป็นการอ้างอิงทางกายวิภาคที่ไม่สมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้กู้จวินเเละเพื่อนๆกำลังชำแหละสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอยู่
คำพูด ศพ สถานที่และการอ้างอิงทางกายวิภาค สิ่งเหล่านี้เป็นผลผลิตจากในจิตใจของเขา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึกและความทรงจำของเขานั่นเอง พวกมันรวมกันจนเกิดเป็นนิมิต!
“น่าจะเป็นเเบบนั้นแหละ” ยิ่งกู้จวินไตร่ตรองเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เกณฑ์การมองเห็นนิมิตก็ยิ่งชัดเจน