ตอนที่ 145 ลองเปิด
สมาชิกหน่วยจู่โจมทั้งหกคนเคลื่อนที่ขึ้นไปรอบล้อมทั้งสองด้านของประตูสีแดงด้วยความเร็วสูงและเงียบสงัดอย่างน่ากลัว พวกเขาเฝ้าด้านข้างของประตูสีแดงและพร้อมที่จะบุกเข้าไปทุกเมื่อ
ในขณะที่หลายคนกําลังเฝ้าประตู รองหัวหน้าอย่างลู่เสี่ยวหนิงก็เดินไปที่ข้างประตูทางด้านซ้าย เธอเงยหน้าขึ้นและตรวจดูตะเกียงน้ํามันทั้งสองอัน ในขณะที่ดูเธอก็ลอบสังเกตอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่าในตะเกียงหรือข้างตะเกียงนั้นจะมีกับดักออกมาได้
หลังจากระแวดระวังและตรวจสอบจนเหงื่อขันอยู่นานในที่สุดผลลัพธ์ก็ออกมาในที่สุด
ไม่พบอักขระแปลกปลอมใด ๆ พวกมันเป็นเพียงตะเกียงน้ํามันธรรมดาๆ เชื้อเพลิงของตะเกียงทั้งสองอันนี้เต็มประมาณสองในสาม ไส้เทียนยังยาวอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีการเติมเงินน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ลู่เสี่ยวหนิงอธิบายทุกอย่างออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในขณะที่พูดเธอก็มองตะเกียงน้ํามันที่ส่องแสงสว่างออกมาด้วยแววตาไร้อารมณ์…
นั่นทําให้สมาชิกที่เหลือคนอื่น ๆ ที่รออยู่บนบันไดหินรู้สึกหวาดหวั่นทันที…จะไม่ให้หวาดหวั่นได้ยังไง??? ที่นี่คืออุโมงค์ที่มีทางเข้าทางเดียวนะ และมีเส้นทางบันไดหินให้เดินทางอยู่ทางเดียวเท่านั้นด้วย
ที่สําคัญ…ในขณะที่พวกเขาเดินมาในอุโมงค์เฮงซวยแห่งนี้นอกจากหนอนยักษ์พวกเขาก็ไม่เห็นอะไรเลย อีกทั้งในขณะที่พวกเขาเดินลงบันได พวกเขาไม่พบสิ่งอื่นใดนอกจากลมพายุที่รุนแรง ถ้ามีบางสิ่งหรือใครบางคนเปลี่ยนไส้ตะเกียงหรือเติมน้ํามันมันจะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ด้านหลังประตูสีแดงก็ได้…ไม่ก็คนที่อยู่ด้านหลังประตูสีแดง
ไม่มีการค้นพบภาษาต่างโลกบนประตูสีแดง และไม่มีช่องว่างใด ๆ ที่ใต้ประตู และดูเหมือนว่าส่วนของประตูอาจจะถูกฝังอยู่ในพื้นหิน
ลู่เสี่ยวหนิงคนเดิมยังคงรายงานรายละเอียดต่างๆ ของการสํารวจไม่หยุด เธอสวมถุงมือทั้งสองมือเพื่อตรวจค้น และในปัจจุบันเธอถือปืนไว้ในมือขวาและมือซ้ายของเธอก็สํารวจไปเรื่อยๆ จากนั้นเธอก็เลือนมือไปจับที่ประตูเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มนับถอยหลังช้า
สาม….
สอง….
หนึ่ง…..
เมื่อนับเสร็จ..มือซ้ายของเธอก็ดันเข้ากับขอบประตูสีแดงอย่างแรง ในขณะนั้นเองสมาชิกในทีมจู่โจมทั้งสองฝั่งของประตูกลั้นหายใจและตั้งสมาธิทันที เมื่อประตูสีแดงเปิดเมื่อไหร…พวกเขาก็จะรีบเข้าไปในห้องและควบคุมสถานการณ์ในประตูนั้น พวกเขาเตรียมใจกันอย่างดี…
แต่ท้ายที่สุดประตูสีแดงบานนี้ก็ไม่แม้แต่จะขยับเขยื่อน
แค่ผลักคงจะไม่ได้ผล ประตูไม่ขยับด้วยซ้ํา! ลู่เสี่ยวหนิงถอนหายใจและถอนหลังออกมากล่าวด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอผลักประตูจนสุดแรงด้วยซ้ํา! ผลักจนแขนของเธอแทบแตกเป็นผุยผง แต่เธอก็รู้สึกตนเองกําลังผลักกําแพงอยู่…แต่เมื่อนึกถึงกําแพงลู่เสี่ยวหนิงก็อธิบายต่อแบบคาดเดา อาจจะเป็นเพราะประตูบานนี้หนาเกินไปหรือไม่ก็ประตูบานนี้จริงๆ แล้วเป็นของปลอมที่แปะเอาไว้ติดกับผนัง…
พอได้ยินคําพูดเชิงเดาสุ่มของลู่เสี่ยวหนิง เสวี่ยป้าพิจารณาเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสั่งทีมจู่โจมที่เหลือ
เปลี่ยนวิธี! การใช้คนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ….พวกนายออกมาสามคนซะ ช่วยกันผลักประตูเดี๋ยวนี้! เสวี่ยป้าสั่งด้วยน้ําเสียงเด็ดขาด ภารกิจนี้คือของจริงไม่ใช่ของเล่น ไม่มีเวลาหยอกล้อกันอีกต่อไป
โจวยี่และเกาหมิงเผิงพยักหน้ายอมรับคําสั่งและเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยลู่เสี่ยวหนิงผลักประตูสีแดงบานนั้นทันที ทั้งสามคนออกแรงทั้งหมดพร้อมกัน…แต่ถึงกระนั้นความพยายามมันช่างไร้ผล ประตูสีแดงก็ยังไม่ขยับแม้แต่นิด
ในเวลาเดียวกันที่คนทั้งสามกําลังผลักประตู กู้จวินที่อยู่วงนอกก็ว่าง…ดังนั้นเขาก็เลยตัดสินใจที่จะลองที่จะใช้ความสามารถของตนเองในการหยั่งรู้ถึงประตูสีแดงนี้ดู
……. กู้จวินพยายามอย่างยาวนานแต่ความยากของมันก็ทําให้เขาต้องขมวดคิ้ว
แม้จะพยายามจนเหงื่อหยดแต่เขาก็สามารถรับรู้ได้เพียงความเจ็บปวดและการบิดเบือนเท่านั้น ราวกับเขาถูกกันเอาไว้นอกวงเวียนแห่งความโกลาหลที่น่ากลัว
ลองส่องดูรูกุญแจ เสวี่ยป้าแนะนําสมาชิกทุกคน แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดอะไรได้และเปลี่ยนแปลงคําสั่ง เดี๋ยว! ช่างมันก่อน ระวัง! นั่นอาจเป็นกับดัก! ลมสีดําน่าจะออกมาจากรู้นี้ก็ได้…อย่าเพิ่งทําอะไรมัน
นั่นเป็นข้อสรุปเชิงตรรกะที่พอจะตรงตัวกับเหตุผลของคนผ่านโลกมามากที่สุด…เอาจริงๆ ในขณะที่พูดเขาเองก็ไม่เชื่อบทสรุปนี้ แต่มันก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าแถวนี้ไม่มีอะไร…แล้วถ้าหากไม่มีพายุสีดํามันจะโผล่มาจากไหน คงไม่ใช่ว่าพายุปรากฎขึ้นจากอากาศบาง ๆ หรอกนะ นั่นทําให้เขาเชื่อว่าพายุอาจจะออกมาจากรูกุญแจก็ได้
แต่เมื่อมองๆ ดูดีๆ มันก็ยังค่อนข้างยากที่จะเชื่อว่าลมแรงเช่นนี้จะออกมาจากรูเล็ก ๆ แบบนี้ได้
นั่นคือประตูนรกแห่งคําสาปบานที่หนึ่ง… ลุงต้านเห็นประตูสีแดง เขาหัวเราะแล้วพูดแบบติดตลก แต่ช่างโชคร้าย…ตอนนี้บรรยากาศมันช่างน่ากลัวและหดหู ไม่มีใครหัวเราะเพราะเรื่องตลกของเขาเลย…เอาจริงๆ คําพูดของลุงต้านเมื่อครู่อาจจะเข้าใกล้ความจริงมากก็ได้
ประตูนรกแห่งคําสาปบานที่หนึ่ง…..
ลู่เสี่ยวหนิงใช้กระบอกปืนของเธอจิ้มที่รูก่อนที่จะใช้ไฟฉายส่องไปที่มัน จากนั้นเธอก็ใช้เครื่องมืออื่น ๆ เพื่อจิ้มที่มันต่ออีกเรื่อยๆ ราวกับเธอเป็นเจ้าของห้องที่ลืมกุญแจไว้ในห้อง ดังนั้นต้องใช้เครื่องมือสารพัดในการเปิดมัน…เธอพยายามอยู่กับมันค่อนข้างนาน แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ
อีกทั้งการสํารวจครั้งนี้ทีมสํารวจของพวกเขาก็ไม่ได้พกเครื่องมือใด ๆ เช่นกล่องเอนโดสโคปติดตัวไปด้วย….แต่ถึงแม้จะพกมันมาพวกเขาก็ไม่กล้าใช้มันอยู่ดี เพราะผลที่ตามมาพวกเขาไม่อาจจะคาดเดาได้
ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่พึ่งเครื่องมือพื้นฐานไปพลางๆ ก่อนเพื่อเปิดออก
ลู่เสี่ยวหนิงกลายร่างเป็นนักประดิษย์ขึ้นมาทันตาเห็น เธอตัดสายไฟฟ้าออกจากอุปกรณ์ของตนเองและเอามันจิ้มผ่านรูของประตูทันที จากนั้นเธอดันลวดที่ยาวประมาณหนึ่งเมตรผ่านเข้ารูไปอย่างช้าๆ
มันมีพื้นที่ว่างเปล่าหลังประตู พื้นที่นั้นก็น่าจะกว้างอย่างน้อยหนึ่งเมตร เธอดึงลวดกลับออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็ศึกษามันโดยไว
สายไฟไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย มันไม่มีแม้แต่ฝุ่นละออง เธอเอาแต่ศึกษาผ่านสายไฟ
จนถึงตอนนี้ลู่เสี่ยวหนิงก็ไม่ได้มองผ่านรูกุญแจด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ําและการกระทํานี้ทําให้เธอถูกบรรดาสมาชิกคนอื่นๆ มองด้วยความชื่นชมว่าเป็นผู้ที่เก่งกาจต่างจากพวกเขาลับลิบ
แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจว่าสิ่งนั้นอาจเป็นอันตรายเพียงใด ท้ายที่สุดไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าภัยคุกคามชนิดใดที่ซ่อนอยู่หลังประตู
อาจวิ้น…เธอยังไม่ได้อะไรอีกเหรอ?? เสวี่ยป้าหันกลับไปถามกู้จวินที่กําลังยืนก้มหน้าหลับตาอยู่นาน แต่เมื่อเห็นเหงื่อที่ไหลลงมาบนใบหน้าของกู้จวิน เสวี่ยป้าก็รู้คําตอบแล้ว
เขาไม่ได้เบาะแสอะไรแน่นอน….
ผมคิดว่า…ประตูนี้จะเปิดได้ด้วยมนต์สะกดเท่านั้นครับ วิธีเปิดแบบพื้นฐานไม่น่าจะได้ผล กู้จวินพูดเสียงแหบแห้ง…เสียงของเขาฟังก็รู้แล้วว่าเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจแค่ไหน พอเริ่มจะหายเหนื่อยเขาก็กล่าวต่อ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือมนต์สะกดแบบไหน
ทีมจู่โจม…ฉันต้องการให้พวกเธอถอยออกไปในตอนนี้ เร็วเข้า!! เสวี่ยป้าโบกมือแล้วบอกคู่จวินอีกรอบ เพราะเขาเองก็คิดไอเดียได้เช่นกัน ทําไมเธอไม่ลองใช้คําพูดของชายอาหรับบ้าดูล่ะ
งั้นเหรอครับ! ได้ นั่นคือสิ่งที่กู้จวินคิดเช่นกัน หลังจากทีมของลู่เสี่ยวหนิงกลับมาแล้วเขาก็หันไปมองที่ประตู จากนั้นเขาก็ท่องเป็นภาษาต่างโลกด้วยเสียงอันดัง
ตาย…คือไม่ตาย สัจธรรมลวงโลกที่อยู่ไปชั่วนิรันดร์..หากตายไม่ใช่ตาย มันก็อาจจะตายได้!
เมื่อคนในกลุ่มได้ยินภาษาลึกลับและน่ากลัวนี้อีกครั้ง พวกเขาก็หนาวไปถึงกระดูกสันหลัง แต่ช่างโชคร้ายที่ประตูบานนั้นก็คงยังไม่ขยับ
โอ้ ประโยคนี้ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ?? กู้จวินหายใจเข้าลึก ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสําเร็จในการเปิดแต่เขาก็รู้อย่างหนึ่งว่าทันที่ที่ใช้ภาษานี้อย่างจริงจังมันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าผลข้างเคียง
และผลข้างเคียงนี้ก็น่ากลัวมาก… ดวงตาของเขารู้สึกปวดและร้อนรุ่มคล้ายกับกําลังจะระเบิด แม้กระทั่งหัวสมองเขาก็รู้สึกว่ามันกําลังโป่งพองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแทบจะรู้สึกได้เลยว่าสมองที่อยู่ในหัวกะโหลกนั้นกําลังเต้นไปมาด้วยความบิดเบี้ยว
และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้ากําลังย่างก้าวเข้ามาครอบงําจิตใจของเขา หากเขาใช้ภาษามนุษย์ธรรมดาเช่น ภาษาจีน อาการแย่ๆ แบบนั้นคงจะไม่เกิดขึ้น ในวินาทีนี้เขาได้รับรู้ถึงความต่างระหว่างภาษาทั่วไปแบบธรรมดาที่ใช้ในโลกนี้กับภาษาต่างโลกที่มาจากต่างอารยธรรม… ต่อไปหากเขาจะใช้ภาษาต่างโลกแบบนี้อีก คงจะต้องระมัดระวังตัวให้มากยิ่งขึ้นและไม่ใช้บ่อยเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นพระเจ้าคงยากที่จะช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แม้กระทั่งระบบอาจจะเอาภาษาต่างโลกนี้ไม่อยู่
แต่วินาทีนี้เขาไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะว่าเขาจําเป็นจะต้องใช้ภาษาต่างโลกในการเปิดประตูแต่ไม่เปิดก็ไม่ได้ เพราะมีพรรคพวกจับจ้องมาจากด้านหลังเต็มไปหมด…
แต่ประการสําคัญก็คือเขาอยากจะลองใช้มนต์สะกดหรือคาถาของต่างโลกดูสักครั้ง บางทีที่เปิดไม่ได้อาจจะเพราะเขาท่องคําผิดอาจจะเป็นคําอื่น กู้จวินลองคิดอีกครั้งหนึ่งจากนั้นก็เริ่มใช้ภาษาต่างโลกในการพูดคําอื่นๆที่เขาเคยได้รับรู้และร่ําเรียนมาตั้งแต่เด็กเริ่มจากคําง่ายๆ
เปิด! บางทีการเปิดอาจจะไม่ซับซ้อนและไม่จําเป็นต้องใช้วลีที่แตกต่างกันมาก… ภายใต้ความคิดที่ตรงไปตรงมาเขาลองพูดเปิดเล่นๆดูสักครั้ง… แต่ดูเหมือนคําว่าเปิดก็คงยังไม่ใช่
บุตรแห่งเหล็ก , เฟรด แลนดอน!
คํานี้ก็ยังไม่ใช่อีก…และตอนนี้เขาเริ่มจะปวดหัวมากกว่าเดิมแล้ว…ดูเหมือนการใช้ภาษาต่างโลกติดต่อกันอย่างยาวนานและต่อเนื่องจะเกิดผลเสียอย่างมากจริงๆ หัวของเขาเริ่มรองรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ในขณะเดียวกันความหวังที่มาจากด้านหลังของบรรดาพรรคพวกชั่วคราวของเขาทั้งหลายก็ต่างจับจ้องด้วยความหวาดกลัว…
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกครั้งที่เขาพูดภาษาต่างโลก คนพวกนี้จะคิดกับเขาแบบไหน แต่ถึงแบบนั้นเขาเองก็อยากจะรู้ให้ได้ว่าประตูนี้มันคืออะไร และอะไรที่อยู่ในประตู สิ่งที่เขารอและตามหาจะอยู่ในนั้นหรือไม่
ภายใต้ข้อจํากัดทั้งหลายและการบีบบังคับอย่างไรที่สิ้นสุดจากทางด้านหลังกู้จวินก็ตัดสินใจพูดคําที่เขาหวาดกลัวที่สุดในชีวิตนี้ออกมา….