ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก – ตอนที่ 143

ตอนที่ 143

ตอนที่ 143 เชื่อใจ??

หน่วยนักล่าแต่ละคนพากันบ่นพึมพํา บางคนก็หันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พวกเขาแต่คนมีใครบ้างที่ไม่รู้จักเวทมนต์คาถา อย่างน้อย  สาวน้อยจอมเวทย์  และ เซียนกระบี่พิชิตมาร ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเคยดูกัน….แม้จะไม่ได้ใช้จริง แต่พวกเขาก็รู้จัก มันก็ราวๆ กับมุสลิมที่ไม่กินหมู แต่เคยเห็นหมูนั่นแหละ

สมาชิกหลายคนพูดถึงเรื่องเวทมนต์และคาถา แน่นอนว่าถ้าบอกว่าภาษานั้นเป็น  คาถา  พวกเขาคงจะพอเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ท้ายที่สุดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็เคยมีบันทึกเกี่ยวกับเวทมนตร์วิเศษและตํานานเทพเจ้ามาก่อน

 กู้จวิน เธอหมายถึงว่าหินก้อนนั้นและอุโมงค์ทั้งหมดนี้มีชีวิตอยู่…งั้นเหรอ?  เสวี่ยป้าถามอีกครั้งเพื่อยืนยันและสรุปคําอธิบายของกู้จวินที่พูดมาทั้งหมด

จากข้อมูลที่กู้จวินพูดมายืดยาวราวรายงานสามหน้า… แต่โชคยังดีที่แต่ละข้อความนั้นล้วนมีประโยคเชื่อม และมีความหมายในตัวของตัวเอง ทําให้ผู้เป็นหัวหน้าอย่างเสวี่ยป้าสามารถจับได้ว่าเขากําลังพูดอะไรอยู่และนําทุกอย่างมาเชื่อมโยงกันจนกลายเป็นบทสรุปที่ชัดเจนเพียงไม่กี่บรรทัด…และเพื่อให้ลูกน้องทุกคนเข้าใจในสิ่งที่กู้จวินพูดเขาก็พูดสรุปออกมา

 ในทางหนึ่งก็นับว่าใช่  กู้จวินพยักหน้าตอบด้วยน้ําเสียงราบเรียบ จากนั้นก็อธิบายต่อ แต่มันอาจจะไม่ใช่พลังจากมนุษย์…เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งล้วนมีชีวิตและจิตวิญญาณ 

 งั้นเจ้าหนุ่มน้อย เธอเป็นคนใช้คาถาทําให้ลมหยุดเหรอ?  ลู่เสี่ยวหนิงยังคงไม่วางใจกู้จวิน…เธอจะวางใจ เขาได้ยังไงในเมื่อเธอเพิ่งเห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ไป

 เปล่าครับ! ผมไม่ได้บอกว่าผมใช้คาถาเลยสักคํานะ ผมแค่พูดคําสั่งว่า  หยุด  ก็แค่นั้นเอง  กู้จวินตอบอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้โกหกในจุดนี้…จากนั้นเขาก็ลองอธิบายต่อ

 ตอนนี้ผมคิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจเงื่อนไขของกลไกการสะกดคําบางอย่างบ้างแล้ว ผมคิดว่ากลไกทางภาษาเหล่านั้นจากสามารถสร้างเงื่อนไขบางอย่างออกมาควบคุมบางสิ่งได้ พวกเราต้องเข้าใจพลังของภาษา การรับรู้ ของภาษา รูปแบบของภาษาและชีวิตที่รวมเข้ากับพลังในรูปแบบคาถาแล้วเปล่งเสียงสะกดออกมาพูดง่ายๆ แม้จะเป็นเพียงแค่คําพูดสั้นๆ แต่มันก็สามารถส่งสัญญาณบางอย่างไปกระทบพลังแห่งชีวิตของสิ่งปริศนาด้วย เช่นกัน 

หน่วนนักล่าอสูรส่วนใหญ่สับสนกับคําพูดของกู้จวิน มันเหมือนพวกเขากําลังนั่งเรียนวิชาแคลคูลัสทั้งๆที่จริงๆแล้วพวกเขาอยู่แค่ชั้นอนุบาลที่เพิ่งเรียนนับเลขเสร็จ มันมึนงงและไม่เรื่องอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรด้วยเพราะเขาไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นเลยไม่มีอะไรจะถาม เอาจริงๆ ถ้าจะถามหัวข้อ…พวกเขาก็ไม่รู้ว่า ควรจะเขียนอะไรลงไปดีเลย

แต่อย่างที่เขาว่าไว้ว่าในห้องยังไงก็ต้องมีนักเรียนดีเด่นระดับหัวกะทิ…เช่น เสวี่ยป้า! เขาฟังกู้จวินเข้าใจได้ถึงแปดส่วน

 กู้จวิน…เธอหมายความว่าต้องมีสามเงื่อนไขในการใช้ใช่ไหม? หนึ่งบุคคลต้องสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ สอง…พวกเขาต้องสามารถสื่อสารกับวัตถุที่มีพลังเป็นสื่อกลางของคาถาได้ สาม…ต้องท่องคาถา จากนั้นมันจะสร้างการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณได้สําเร็จและจะกระตุ้นกลไกที่วางไว้ในตอนแรก 

 ใช่!  ดวงตาของกู้จวินเปล่งประกายด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เสวี่ยป้าคนนี้ไม่ได้จับสลากมาเป็นหัวหน้าอย่างแท้จริง เขามีฝีมือและทักษะการคิดที่ดีอยู่พอตัวเลย…แม้รูปร่างของเขาจะเหมือนไอ้นั่ง แต่เขาก็นับว่าฉลาดมากกว่าหน่วยนักล่าอสูรทั่วไปที่นั่งเอามือเขี่ยหินแถวนี้โดยสิ้นเชิง

เขาจัดเป็นนักวิชาการอย่างแท้จริง เขาสรุปความคิดที่สับสนในใจของกู้จวินได้อย่างรวบรัด นอกจากนี้ยังช่วยกู้จวินจัดเรียงความคิดของเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้อได้เปรียบในการรู้ลักษณะของเอกลักษณ์ภาษาต่างโลกคือ สามารถใช้พลังแห่งชีวิตของผู้อื่นเพื่อสร้างมนต์สะกดและคําสาปได้ นี่ไม่ใช่ลักษณะของภาษามนุษย์โลกอย่างแน่นอน นี่อาจเป็นวิธีที่อารยธรรมต่างโลกสามารถพัฒนาความรู้ทางการแพทย์ขั้นสูงได้แม้ว่าเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาจะล้าหลังมากก็ตาม

 แต่ทุกคน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทฤษฎีเบื้องหลังมันคืออะไร คลื่นสมอง? คลื่นเสียง? ต้นเหตุฉัน ไม่รู้หรอก ดังนั้นข้อนี้ฉันอธิบายไม่ได้  กู้จวินส่ายหัวระวิง ถึงเขารู้เขาก็ไม่บอกหรอก…นับแต่นี้เขาจะทําอะไรหรือบอกอะไรก็ต่อเมื่อถึงคราวอันตรายเท่านั้น เขาจะบอกคนพวกนี้ว่าเขานั้นสําคัญแค่ไหน ไม่ใช่คนที่นึกจะจ่อยิง ก็ยิงได้ตามใจ ถ้าปืนลั่นขึ้นมาพวกเขาแบกรับความเสียเปรียบนี้ไหวเหรอ

 ฉันแค่กระตุ้นกลไก ใครก็ตามที่เข้าใจภาษาต่างประเทศและมีจิตวิญญาณสูงก็สามารถทําได้เช่นเดียวกัน สําหรับวิธีการปรับแต่งภาษาในการสร้างหรือใช้การสะกดนั้น ฉันไม่เข้าใจเลย 

ลุงต้าน หลินม่อและคนอื่น ๆ ฟังคําอธิบายของกู้จวิน แม้ว่าพวกเขาจะพบกับเรื่องราวของพลังงานที่ผิดปกติมามากมายและประกอบกับคําอธิบายจากกู้จวิน แต่พวกเขาก็ยังพบว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่ความจริงก็คือพวกเขาได้เห็นคําอธิบายของกู้จวินสองครั้งแล้ว

ในขณะเดียวกันลู่เสี่ยวหนิงก็ยังคงคิด…และเธอก็เล็งปืนใส่กู้จวินไปด้วย!

 ฉันรู้ว่ามันทําใจเชื่อลําบากแต่ฉันกําลังพูดความจริง  คิ้วของกู้จวินพับเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ มีใครในโลกนี้บ้างที่ชอบให้คนอื่นชักปืนจ่อหัวตัวเอง โดยเฉพาะปืนจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า  พวกเดียวกัน  ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น 

พอได้ยินคําพูดนี้จากกู้จวินและได้เห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยจะชอบใจของเขา ในที่สุดเสวี่ยป้าที่เป็นหัวหน้าก็พยักหน้าและตัดสินใจทันที

 เสี่ยวหนิงวางปืนลงซะ ฉันเชื่อว่าอาจขึ้นเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาพูดความจริง! อย่างน้อยฉันก็มีสัญชาตญาณและลางสังหรณ์แบบนั้น เขาไม่ใช่คนไม่ดีอย่างที่เธอคิดหรอกเธอเองก็เชื่อในลางสังหรณ์ของฉันมาตลอดนี่ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เชื่อฉันสักหน! 

 ตกลง  ลู่เสี่ยวหนิงตอบตกลงและลดปืนลงทันทีตามคําสั่งของหัวหน้า จากนั้นในระหว่างที่เอาปืนลงเธอก็แอบสังเกตท่าทางของกู้จวิน

ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความโล่งใจ ตามด้วยความเงียบสงบเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา

ปฏิกิริยาของเขาทําให้เธอหงุดหงิดอย่างที่สุด… การจับตามองของเธอไม่เกิดประโยชน์อะไร เด็กหนุ่มคนนี้ ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย เหมือนเขากําลังควบคุมพฤติกรรมของตัวเองอย่างแม่นยํา ไม่เปิดช่องว่างให้เธอสังเกตเลยแม้แต่นิด… และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ดีว่าเธอกําลังจับตามองเขาอยู่ นั่นทําให้ลู่เสี่ยวหนิงเริ่มโมโหและ หงุดหงิดอย่างไร้ที่ระบาย

แต่ก็…นั่นเป็นปฏิกิริยาปกติของเขาที่ตอบสนองหลังเหตุการณ์การถูกสงสัย ท่าทางของเขาแลดูเป็นปกติ… ไม่ได้เหมือนจัดฉากหรือเตรียมตัวมาก่อน แต่เธอเองก็ไม่รู้เพราะเธอเป็นนักแม่นปืน ไม่ใช่นักสังคมวิทยาหรือนักจิตวิทยาแต่เพียงอย่างใด เธอจึงทําได้แค่มองและมองและสังเกตต่อไปเรื่อยๆ

แต่ลึกๆแล้ว…เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะไปขอโทษเขา

 อันที่จริงฉันค่อนข้างชื่นชมเธอนะ…  ลู่เสี่ยวหนิงเดินเข้าไปใกล้ๆกู้จวินด้วยท่าทีที่ค่อนข้างสํานึกผิดและยื่นมือของเธอออกมา  การทําแบบนั้น มันเป็นเพียงขั้นตอนมาตรฐานของการสอบสวนเวลาเจอสิ่งผิดปกติ ถ้าเธอไม่พอใจฉันก็ขอโทษด้วย 

 ผมไม่ถือหรอก…คุณมันก็แค่ผู้หญิงไม่รู้เรื่องที่ชอบโวยวายไปเอง  ในสถานการณ์ที่ทุกคนอาวุธครบมือยกเว้นแต่กู้จวิน…จริงๆเขาก็มีอาวุธนั่นก็คือไรเฟิลอันหนึ่งที่ไม่เคยยิงมาก่อน…แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะยิงสู้นักแม่นปืนทั้งทีมได้ ดังนั้นแม้จะไม่พอใจแค่ไหนแต่เขาก็ทําได้แค่บ่นแบบเหน็บๆในขณะจับมือลู่เสี่ยวหนิงคล้ายจะยอมให้อภัย  ทําไมหัวหน้าถึงไม่ลงโทษคุณที่กล้าล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและชักปืนใส่ผมกันนะ? 

 อัยโยววว…  หัวหน้าหวังที่อุตส่าห์โล่งใจหลังงานเสร็จก็สะดุ้งทันที เขากลายเป็นจุดสนใจของทั้งทีมอีกครั้ง และจากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจัง

 อาจวิ้นเอ๊ย…เราทุกคนรู้ว่าเธอเคยเป็น [เด็กทดลอง] ที่ได้รับการปลูกฝังโดย บริษัทไล่เฉิงมาก่อน เธอยังจําเหตุกาณ์เลวร้ายที่เกิดกับฝ่ายปฏิบัติการก่อนหน้านี้ได้ไหม แล้วก็…อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ เสี่ยวหนิงจะทําแบบเดียวกันถ้าฉันมีปฏิกิริยาแบบที่เธอทํา 

โจวเฮ่อหนาน จางฮ่าวฮ่าว และคนอื่น ๆ พยักหน้าทันที พวกเขาทุกคนเข้าใจถึงความสําคัญของความสามัคคีอย่างมาก และความจริงก็คือพวกเขาไม่ได้มีความสงสัยต่อกู้จวินเท่าไหร่ตั้งแรกอยู่แล้ว พวกเขาแค่ต้องการเวลาในการประมวลผลทฤษฎีทั้งหมดที่กู้จวินพูดเกี่ยวกับคาถาและภาษาต่างประเทศก็เท่านั้น

 เอาล่ะ! โอเคๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว  ลุงต้านเดินเข้าไปเป็นผู้สร้างสันติทันที เขาพูดติดตลกกับกู้จวินที่กําลังทําสีหน้าไม่ค่อยชอบใจ

 ฉันแก่แล้วถึงจะมีอะไรไม่ดีแต่ฉันก็ดูคนเก่ง อาจวิ้นเอ๋ยอย่าโกรธเลย เธอต้องเข้าใจสิ่งนี้ เมื่อเธอคิดที่จะเล็งปืนไปที่คนอื่นแล้วก็เป็นเรื่องยุติธรรมที่เธอควรให้โอกาสคนอื่นหันปืนกลับมาที่เธอบ้าง 

ลุงต้านพูดด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างสุภาพ ทุกคนจึงเข้าใจว่าเขากําลังพูดอะไรอยู่ แต่สําเนียงที่เขาพูดออกมา รวมถึงความหมาย มันก็ทําให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

กู้จวินที่ว่านั้นเขาถือปืนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาแค่ตะโกนใส่อุโมงค์เองไม่ใช่เหรอ แม้แต่ตัวของกู้จวินเองก็อด หัวเราะเพื่อนๆ ตบมุกแป้กๆ ไม่ได้ ทําให้บรรยากาศเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้นเล็กน้อย… แต่อย่างไรก็ดีกู้จวินก็ สัมผัสได้ว่าลู่เสี่ยวหนิงจ้องมองเขาบ่อยขึ้น

 อาจขึ้น…เธอคิดว่าเธอสามารถกระตุ้นกลไกหินนั้นอีกครั้งเพื่อกู้คืนอุโมงค์ได้หรือไม่?  เสวี่ยป้าถามด้วยน้ําเสียงที่เคร่งเครียด… เพราะถ้าหากกู้คืนอุโมงค์ได้มันก็หมายความว่าพวกเขาไม่ต้องเข้าไปภายในอุโมงค์ที่อยู่ด้านในนี้อีก

พวกเขาสามารถไปหาอุโมงค์ทางเดิมและกลับไปยังที่เดิมได้อย่างปลอดภัย แบบนี้ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตกันอีก ใครจะรู้ล่ะว่าหลังอุโมงค์ที่น่าสงสัยนั้นจะมีสิ่งที่น่ากลัวกว่ารอคอยอยู่หรือไม่… ในฐานะหัวหน้าทีมเขาไม่อยากจะให้ลูกน้องทุกคนจะต้องเสี่ยงไปมากกว่านี้ การตัดแขนตัดขามันไม่ใช่เรื่องดีสําหรับทุกคน

แต่ความหวังของเขาก็ดับลงทันที!

 ฉันรู้สึกว่ากลไกนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว…ขอโทษด้วย! มันคงกู้คืนมาไม่ได้แล้ว  กู้จวินส่ายหัวปฏิเสธและอธิบายต่อ  ฉันเคยพยายามอีกรอบหนึ่งตอนก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ตอบสนองต่อฉันแต่อย่างใด..ฉันคิดว่ามันน่าจะใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว 

 

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

Status: Ongoing

เรื่องย่อ ครั้งหนึ่ง ถนนเส้นนี้เคยคึกคักครึกครื้น และเต็มไปผู้คนหัวเราะเสียงดัง ทว่าเวลาผันผ่าน..ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร บรรยากาศบนท้องถนนเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าขนลุก เสียงกระซิบที่แหบแห้งและบ้าคลั่งดังก้องอยู่เหนือท้องฟ้า มีปีศาจยักษ์ใหญ่จากโบราณอันน่ากลัวจนที่ไม่อาจอธิบายได้ แฝงตัวอยู่ในเงามืดของมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง ภัยพิบัติลึกลับได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเเละขยายตัวกระจายไปยังทั่วโลก การระบาดของโรคร้ายและความหายนะทำให้ฝูงคนทั่วโลกตื่นตระหนก ผู้คนหวาดกลัวเเละพากันอพยพหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น..มีเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาต้องการนั่นคือ ที่ซุกหัวที่อบอุ่นเเละปลอดภัยเพียงเท่านั้น หยาดฝนโลหิตไหลรินทั่วแผ่นดิน ในขณะที่มวลมหาสายฟ้าผ่าทั่วท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง เเสงสว่างของมันส่องให้เห็นฝูงกาที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน “ เราจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างผิดปกตินี้มีซี่โครงสิบสองคู่เหมือนมนุษย์ แต่ยังมี“ กระดูกขวาง” ที่มนุษย์ไม่มี…” ในโรงเรียนแพทย์ กู้จวินยังคงนำมีดผ่าตัดของเขา ผ่าลงที่ซากศพโดยแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทรวงอกที่ผิดปกติของซากศพ โดยรอบๆโต๊ะผ่าศพมีนักเรียนหลายคนมองดูอยู่ ช่วงเวลาที่เลวร้ายและการเเก่งเเย่งได้ใกล้เข้ามา! ความจริงและตรรกะที่พังทลายคำสั่งวิปริตเข้าสู่ความบ้าคลั่ง มนุษยชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังแห่งสติปัญญาและสติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท