ตอนที่ 615 พี่นางฟ้าของซวนเหมียว
แปล Tarhai
วันต่อมา หิมะตกหนักขึ้นและปกคลุมไปทั่วพื้นดิน
หลิวหรูหยานลืมตาขึ้น เธอยังคงรู้สึกวิงเวียน
ทั้งเธอและทารกในครรภ์ต่างก็ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันก่อน ต้องขอบคุณฉิงเฟิงที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม พวกเธอจึงรอดพ้นอันตรายมาได้ด้วยการฝังเข็มประกอบกับการใช้แก่นแท้โลหิตของเขา
“มิสหลิว คุณตื่นแล้วหรือ” อลิซกระพริบตาที่สดใสของเธอด้วยความโล่งใจ เธอรู้ว่าบอสของเธอจะต้องรู้สึกตื่นเต้นยินดีแน่ เมื่อรู้ว่าเธอฟื้นแล้ว
หลิวหรูหยานพยักหน้าและถามว่า ” คุณคือใครคะ ?”
เธอรู้จักเพียงแค่ฉิงเฟิงกับลู่ซวนจี๋ แต่ไม่เคยพบกับสมาชิกคนอื่นๆในทีมเขี้ยวหมาป่า เธอจึงรู้สึกแปลกใจที่ตื่นมาและเห็นหญิงงามชาวต่างชาติที่มีตาสีฟ้าและผมบลอนด์
“มิสหลิว ฉันชื่ออลิซ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของวูฟคิง” อลิซแนะนําตัวเองด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นหลิวหรูหยานก็จําได้ว่าฉิงเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนที่เธอจะหมดสติไปแล้ว เธอลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความตื่นตระหนกและพยายามที่จะลงจากเตียง
“เดี๋ยวสิ คุณเพิ่งฟื้นจากอาการโคม่า คุณต้องพักผ่อนก่อน” อลิซพยายามจะห้ามเธอ
แต่หลินหรูหยานส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ได้ ฉันต้องเห็นหน้าฉิงเฟิงก่อน”
เธอยืนยันหนักแน่นจนอลิซยอมแพ้และพาเธอไปเยี่ยมฉิงเฟิงที่อีกห้องหนึ่ง
ฉิงเฟิงยังไม่ได้สติ แต่บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเริ่มสีสันและลมหายใจของเขาก็คงที่ เขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว
“คุณมาที่นี่ทําไมละพี่สะใภ้ ?” ลู่ซวนจี๋รู้สึกประหลาดใจ
“ซวนขี่ฉันมาดูอาการฉิงเฟิง”
” บาดแผลของเขาได้รับการรักษาจนหายแล้ว เขาคงจะฟื้นขึ้นในไม่ช้า คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมดูแลเขาเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไม่ ฉันอยากจะดูแลเขา” หลิวหรูหยานกล่าวยืนยัน
ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะยังคงซีดเซียวและรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนตัวเองและนําพบผ้าชุบน้ำอุ่นบิดให้หมาดและลูบไล้ไปทั่วหน้าผากของฉิงเฟิงอย่างอ่อนโอน
ในเวลาเดียวกัน, หลินเสวี่ยก็มาถึงภูเขาบู๊ตึ๊งพอดีหลังจากซ่อมรถเสร็จ แต่ด้วยถนนที่เต็มไปด้วยหิมะจึงทําให้พวกเธอต้องใช้เวลาเกือบตลอดทั้งคืนเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง
“ซิยี้ พวกเราต้องขึ้นเขา” โดยไม่กินข้าวหรือพักผ่อนแม้แต่น้อย หลินเสวี่ยและเหมียวซิยี้ก็เริ่มขึ้นเขา
หิมะปกคลุมตลอดเส้นทางของภูเขาที่คดเคี้ยว มีทั้งโขดหินและต้นไม้ตามแนวเขา ก้อนหิมะแข็งบางก้อนก็ตกใส่พวกเธออยู่หลายครั้ง แต่เหมียวซิยี้ก็คอยดูแลปกป้องหลินเสวี่ยไปตลอดทาง
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง วิหารใหญ่โตก็ตั้งตระหง่านอยู่ในสายตาของพวกเธอ มันสร้างขึ้นจากอิฐสีเทาและปูกระเบื้องสีเขียว วัดนี้ดูโบราณและยิ่งใหญ่ ที่ลานกว้างด้านหน้าวัดเป็นเตาหอมขนาดใหญ่ เนื่องจากวันนี้มีหิมะตกจึงไม่มีผู้เข้าชม ทุกอย่างดูเงียบสงบและว่างเปล่า
หลินเสวี่ยและเหมียวซิยี้กําลังเตรียมที่จะเข้าไปในวัด แต่ก็ถูกนักพรตตัวน้อยยืนขวางทางไว้ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอายุประมาณ 15-16 ปี เขาคือซวนเหมียวนั่นเอง
“วันนี้มีหิมะตก วัดปิดแล้วและไม่รับผู้เข้าชมครับ” นักพรตน้อยบอกพวกเธอ
(มันจําหน้าเหมียวซิยี้ไม่ได้รึไงวะ ถึงไม่ให้เข้า หรือคนแต่งลืม – -)
แน่นอนว่านี่เป็นข้ออ้างเท่านั้น เหตุผลที่แท้จริงคือพวกเขาต้องการให้ฉิงเฟิงได้พักผ่อนอย่างเงียบสงบ ซวนเหมียวจึงไม่ต้องการให้คนภายนอกมาวุ่นวาย
“หนุ่มน้อย พวกเราต้องการเข้าไปพบใครบางคน โปรดให้พวกเราเข้าไปเถอะ”
เหมียวซิยี้กล่าวด้วยความขบขันหลังจากเห็นท่าทางน่ารักของนักพรตน้อย
” ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ! ไม่ใช่หนุ่มน้อย”
“โอ้ เป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอมีชื่อไหม ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผมชื่อซวนเหมียว”
“เอาละ ซวนเหมียว เธอให้เราเข้าไปได้มั้ย ?” เหมียวซิยี้ถามอีกครั้ง ท่าทางของเธอดูสูงส่งและบริสุทธิ์
ซวนเหมียวส่ายหัวและกล่าวว่า ”บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ซี่ ! วันนี้วัดปิด ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
เหมียวซิยี้เริ่มหงุดหงิดกับความดื้อรั้นของซวนเหมียว และเตรียมพร้อมที่จะลงมือสั่งสอนเล็กน้อย แต่หลินเสวี่ยก็แตะหลังเธอและส่ายหัว มันไม่เหมาะสมที่จะลงไม้ลงมือกับนักพรต
” ซวนเหมียว ฉันมาหาคนที่ชื่อหลี่ฉิงเฟิง ลู่ซวนจี๋เป็นพี่น้องกับเขา ฉันเพิ่งโทรคุยกับเขา เขาบอกว่าฉิงเฟิงอยู่ที่นี่ “
ง่ะ ! พี่สาวใหญ่คนนี้โคตรสวยเลย !
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าและดวงตาที่งดงามของหลินเสวี่ยซึ่งๆหน้า ซวนเหมียวก็หน้าแดง
มีผู้คนนับไม่ถ้วนมาที่นี่เพื่อเผาเครื่องหอมและสวดมนต์ภาวนาเพื่อความสุข ซวนเหมียวเคยเห็นสาวงามมามกมาย แต่ก็ไม่เคยมีใครเทียบกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาได้แม้แต่น้อย เธอดูราวกับเทพธิดาในสายตาของเขา
เมื่อหลินเสวี่ยเห็นใบหน้าที่แดงก่ำและการพยายามหลบสายตาของซวนเหมียว หลินเสวี่ยก็รู้สึกขบขัน เธอกล่าวย้ำอีกครั้งว่า “ซวนเหมียว ให้ชั้นเข้าไปได้ไหมเอ่ย ?”
บ้าจริง ! น่าขายหน้านัก ทําไมฉันถึงพูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าเทพธิดา?
ซวนเหมียวบ่นตัวเองเงียบๆในใจ
“พี่นางฟ้า คุณรู้จักศิษย์พี่ซวนจี๋ด้วยเหรอ ?” ซวนเหมียวถามด้วยความประหลาดใจ
หลินเสวี่ยพยักหน้า เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย มันเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเธอว่า “นางฟ้า”
“ความจริงคือศิษย์พี่สั่งไว้ไม่ให้ใครเข้ามา แต่ในเมื่อคุณบอกว่ารู้จักเขางั้นก็โปรดรอสักครู่นะ ผมจะไปแจ้งเขาก่อน ” ซวนเหมียววิ่งปราดไปด้านหลังทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“ฮิๆ พี่สาวเสวี่ย คุณหว่านเสน่ห์ใส่นักพรตน้อยจนสติหลุดลอยไปหมดแล้ว”
เหมียวซิยี้หัวเราะ
หลินเสวี่ยก็รู้สึกขันเช่นกัน ซวนเหมียวเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นและมันก็เป็นธรรมดาสําหรับเขาที่จะต้องทิ้งกับความงามของเธอ
หลังจากนั้นไม่นานซวนเหมียวก็เดินมาพร้อมกับลู่ซวนจี๋
” พี่สะใภ้ คุณมาที่นี่ทําไมครับ ?” ลู่ซวนจี๋รีบวิ่งไปตรงหน้าหลินเสวี่ยและถามด้วยความเคารพ
เขาเพิ่งจะบอกหลินเสวี่ยทางโทรศัพท์ว่าไม่ต้องมา เดี๋ยวฉิงเฟิงจะกลับไปเองในอีกสองสามวัน แต่ถ้าเธอมาเองและเห็นสภาพฉิงเฟิง เธอจะรู้ว่าลู่ซวนจี๋โกหก
ชั้นรู้สึกไม่สบายใจ จึงอยากมาดูสามีด้วยตัวเอง” หลินเสวี่ยอธิบาย
” ง่ะ ! พี่นางฟ้า คุณแต่งงานแล้วเหรอ !?” ซวนเหมียวย่นจมูกที่น่ารักของเขาด้วยความตกใจกับเรื่องนี้
เพี้ยะ !
ลู่ซวนจีตบกบาลซวนเหมียวด้วยฝ่ามือขวาของเขาและกล่าวว่า “ไอ้บ้า ! พี่สะใภ้หลินเสวี่ยเป็นภรรยาของบอส แกไปเรียกเขาว่าพี่นางฟ้าได้ไง ต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้สิ”
ซวนเหมียวลูบหัวตัวเองและกล่าวอย่างขมขึ้นว่า ” พี่สะใภ้”
หลินเสวี่ยพยักหน้าตอบรับ
พี่ใหญ่หลี่นี่ช่างเป็นชายที่โชคดีนัก ! เขาถึงกับได้สาวงามราวกับนางฟ้ามาเป็นภรรยา
ซวนเหมียวคิดในใจด้วยความชื่นชม
“ซวนจี๋ พาชั้นไปพบฉิงเฟิงหน่อยเถอะ” หลินเสวี่ยร้องขอ ในน้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ด้วยความล่าช้าที่จากหิมะตกและอุบัติเหตุ หลินเสวี่ยยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ เธอไม่สามารถอดทนรอได้อีกแล้ว
“ได้ๆครับพี่สะใภ้ เชิญทาง………..นี้”
!!!!
เฮ้ย !!
ทันทีที่ลู่ซวนจี๋พยักหน้าและเตรียมจะพาเธอไปที่ห้องของฉิงเฟิง ใบหน้าของเขาก็เหวอในทันที
“ฉิบหายแล้ว! พี่สะใภ้หรูหยานก็อยู่ในห้องของบอส !”