คำสาปของวิญญาณชั่วร้าย เมื่อฮวาเซียนจือเห็นสภาพร่างกายของหลิวหรูหยาน รูปลักษณ์บนใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เธอโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจและตกใจ
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนักบุญที่ทรงพลังที่สุดในตำหนักร้อยบุปผาเธอค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้ฝึกตนทั้งแบบดั้งเดิมและนอกรีต เธอรู้เกี่ยวกับคำสาปพวกนี้อย่างชัดเจน
คำสาปของวิญญาณชั่วร้ายเพียงแค่ได้ยินชื่อก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันต้องเป็นคำสาปที่ร้ายกาจโดยการนำวิญญาณชั่วเข้าไปสิงในร่างกายมนุษย์และจะทำให้เสียชีวิตภายในหนึ่งชั่วโมง การตายด้วยวิธีนี้ทุกข์ทรมานมากเพราะมันจะทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดมีเลือดออก
ฮวาเซียนจือคุณรู้จักคำสาปนี้ด้วยหรือ คุณสามารถล้างมันได้ไหม ใบหน้าของฉิงเฟิงเปลี่ยนไปและกล่าวถามด้วยความร้อนใจ
ฉิงเฟิงรู้ว่าฮวาเซียนจือมีมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเพราะเธอเป็นคนของตำหนักร้อยบุปผาที่ลึกลับเธอรู้เรื่องราวมากมายหลายอย่าง
หลังจากได้ยินคำถามของฉิงเฟิงฮวาเซียนจือก็เงียบไป ใบหน้าของเธอดูมืดมนและมีความลังเล
ในเวลานี้ชาวเฟิ่งอู่ที่อยู่ข้างๆก็พูดออกมาว่า หลี่ฉิงเฟิง หลิวหรูหยานถูกคำสาปวิญญาณชั่วร้าย เธอจำเป็นต้องใช้แก่นแท้โลหิตของนักบุญหญิงครึ่งหนึ่งในการล้างคำสาป
อะไรนะ
แก่นแท้โลหิตของนักบุญถึงครึ่งหนึ่ง
หลังจากได้ยินประโยคนี้สีหน้าของฉิงเฟิงก็เปลี่ยนไปแก่นโลหิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์และยังเป็นต้นกำเนิดของพลังแท้ การสูญเสียแก่นโลหิตไปครึ่งหนึ่งก็หมายถึงสูญเสียระดับการบ่มเพาะไปครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ฮวาเซียนจือมีพลังในระดับครึ่งก้าวจิตวิญญาณแท้จริงถ้าหากเธอสูญเสียแก่นโลหิตไปครึ่งหนึ่งพลังของเธอก็จะตกลงไปอยู่ที่ระดับใต้สวรรค์ขั้นสูงสุด
สำหรับผู้ที่เป็นนักบุญการสูญเสียพลังก็หมายถึงการสูญเสียตำแหน่ง มันเป็นการเสียสละครั้งใหญ่
ลั่วหนี่ชิงเดินเข้ามาจากด้านหลังและกล่าวว่า หลี่ฉิงเฟิง ชั้นช่วยคุณเอง ชั้นมีพลังในระดับแกรนด์มาสเตอร์ การที่จะถูกลดระดับพลังลงไปครึ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่
สำหรับฉิงเฟิงลั่วหนี่ชิงทั้งชื่นชอบและรู้สึกซาบซึ้งมาก ชายคนนี้ได้ฆ่าอาวุโสหนึ่งผู้ทรยศและช่วยเหลือตระกูลลั่วไว้ นี่เป็นสาเหตุที่เธอต้องการช่วยเหลือฉิงเฟิงในทุกทางที่ทำได้
อย่างไรก็ตามชาวเฟิงอู่ส่ายหัวและพูดว่า มิสลั่ว คำสาปแห่งวิญญาณชั่วร้ายสามารถลบล้างได้ด้วยโลหิตของนักบุญหญิงเท่านั้น โลหิตของผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นจะไม่มีผล ต่อให้เป็นโลหิตของชั้นก็ตาม
ในขณะนั้นเองทุกคนก็เริ่มหันไปมองฮวาเซียนจือซึ่งทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากช่วยหลิวหรูหยานแต่ถ้าเธอช่วย พลังและฐานะในฐานะนักบุญของเธอจะสูญเสียไป นอกจากนี้เธอก็เสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากศัตรู มันคือความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต
ฉิงเฟิงรับรู้เช่นเดียวกับทุกคนว่าการจะช่วยหลิวหรูหยานฮวาเซียนจือต้องเสียสละมากเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกเพราะมีเพียงฮวาเซียนจือเท่านั้นในตอนนี้ที่สามารถช่วยหลิวหรูหยานได้
ฮวาเซียนจือผมขอร้องละ ได้โปรดช่วยหลิวหรูหยานด้วย ถ้าหากคุณมีข้อเรียกร้องใดๆในภายภาคหน้า ผมจะทำตามที่คุณขอทุกอย่าง แม้จะเป็นชีวิตของผมก็ตาม
ฉิงเฟิงโค้งคำนับให้ฮวาเซียนจือและกล่าวขอร้องอย่างหนักแน่น
ฮวาเซียนจืออึ้งและเงียบไปเธอถอนหายใจและกล่าวว่า
หลี่ฉิงเฟิงเพื่อช่วยชีวิตหลิวหรูหยาน ท่านยอมสละชีวิตจริงๆหรือ
ถูกต้องถ้าคุณยอมช่วยเธอ ชีวิตของผมก็จะเป็นของคุณ
ในฐานะผู้หญิงตอนนี้ข้ารู้สึกอิจฉาหลิวหรูหยานมาก ก็ได้ ข้าจะยอมสละแก่นโลหิตครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเธอ แต่นับจากวันนี้ไปท่านต้องทำตามคำขอของข้าสามสิ่งและห้ามปฏิเสธด้วย ตกลงไหม ฮวาเซียนจือลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตอบตกลงช่วยเหลือฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงรู้สึกดีใจและกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า ฮวาเซียนจือ คุณวางใจได้เลย ตราบเท่าที่คุณช่วยหรูหยานได้ ไม่ต้องพูดถึงสามสิ่งต่อให้สามสิบสิ่งผมก็จะทำให้
ในขณะนี้หัวใจของฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อฮวาเซียนจือเพราะเมื่อเธอยอมช่วยหรูหยานก็เท่ากับว่าเธอตัดสินใจละทิ้งฐานะและพลังฝีมือ
ฮวาเซียนจือพยักหน้าและเดินมาข้างๆหลิวหรูหยานเธอเธอกัดฟันและตัดสินใจ
ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ขอให้เธอช่วยเธอย่อมปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะเธอต้องสูญเสียพลังและโลหิตถึงครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับฉิงเฟิง ฮวาเซียนจือเกิดความรู้สึกไว้วางใจและสบายใจในการเสียสละเพื่อเขา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
นอกจากนี้ฉิงเฟิงก็มีความรู้สึกผูกพันธ์อย่างลึกซึ้งต่อหลิวหรูหยานและยินดีที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฮวาเซียนจือตัดสินใจที่จะช่วยพวกเขา
ข้าในฐานะนักบุญกำลังจะใช้แก่นโลหิตเพื่อทำลายคำสาปของวิญญาณชั่วร้าย
ฮวาเซียนจือท่องบทสวดบางอย่างและกรีดนิ้วของเธอให้เลือดไหลเข้าไปในร่างกายของหลิวหรูหยาน แก่นโลหิตของนักบุญนั้นสว่างสดใสและเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่เมื่อโลหิตไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิวหรูหยาน มันก็เริ่มชะล้างวิญญาณชั่วร้าย
วิญญาณชั่วร้ายในร่างกายของหลิวหรูหยานพยายามจะหลบหนีแต่แก่นโลหิตของนักบุญก็ไล่ติดตามและกลืนกินพวกมันทั้งหมด
พลังที่มีอยู่ในแก่นโลหิตเป็นศัตรูตามธรรมชาติของวิญญาณชั่วร้ายหลังจากเวลาผ่านไปสิบนาที แก่นโลหิตทั้งหมดก็ถูกเผาผลาญและในเวลาเดียวกันก็สามารถขจัดวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดได้
ร่างกายที่มืดมนของหลิวหรูหยานเริ่มหายไปและใบหน้าของเธอก็เริ่มกลับมามีสีแดงเลือด
ตุบ!
ใบหน้าของฮวาเซียนจือซีดเซียวและฟุบลงกับพื้นเสื้อผ้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ระดับพลังของเธอลดลงจากครึ่งก้าวจิตวิญญาณมาสู่เหนือสวรรค์ขั้นสูงสุด
ฉิงเฟิงรีบพยุงฮวาเซียนจือให้ลุกขึ้นและถามว่า คุณโอเคไหม
หึข้าดูสบายดีหรือไง ข้าเพิ่งเสียโลหิตและพลังไปถึงครึ่งหนึ่ง ฮวาเซียนจือฝืนยิ้มและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น
ขอบคุณมากนะ… ฉิงเฟิงแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อความช่วยเหลือของฮวาเซียนจือ
หลี่ฉิงเฟิง! หลิวหรูหยานกำลังมีเลือดออก ลั่วหนี่ชิงมีสายตาที่ดี เธอเห็นว่าใต้ท้องของหลิวหรูหยานเริ่มมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปและร้องทักฉิงเฟิงในทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลั่วหนี่ชิงกล่าวฉิงเฟิงก็สะดุ้งตกใจและรีบไปข้างๆหลิวหรูหยานทันที เขาเห็นว่าดวงตาของหรูหยานยังคงปิดอยู่แต่ใต้ท้องเริ่มมีเลือดไหลออกมา
ถึงแม้ว่าฮวาเซียนจื่อจะล้างคำสาปของวิญญาณชั่วร้ายในร่างหลิวหรูหยานจนหมดแล้วแต่เธอก็ยังไม่ฟื้นอีกทั้งยังมีเลือดออกอีกด้วย
หลี่ฉิงเฟิงชั้นคิดว่าเธอกำลังจะคลอดนะ ชาวเฟิ่งอู่เคยเห็นผู้หญิงคลอดลูกมาก่อน ดังนั้นเธอจึงสันนิษฐานว่าหลิวหรูหยานกำลังจะคลอด
หา
กำลังจะคลอด
ฉิงเฟิงดูดีใจแต่เขาก็เริ่มกังวลทันทีที่นี่คือตำหนักกลางของตำหนักโกสคิงที่อยู่ลึกลงมาใต้ดินร่วมร้อยเมตร มันไม่เพียงแค่เย็นและอับชื้นเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่ที่ปลอดเชื้อ นอกจากนี้ยังไม่มีแพทย์หรือพยาบาลที่นี่ มันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะในการให้กำเนิดทารกแม้แต่น้อย
ผู้อำนวยการชาวผมควรทำอย่างไรดี ! ฉิงเฟิงหน้าซีดและกล่าวด้วยความวิตกกังวล
ชาวเฟิ่งอู่จ้องไปที่ฉิงเฟิงและกล่าวว่า เจ้าทึ่ม ! ในเมื่อที่นี่ไม่เหมาะแล้วทำไมไม่รีบพาผู้หญิงของนายออกไปโรงพยาบาลเล่า !
โอ้ใช่ ใช่ ใช่ ! ผมเข้าใจแล้ว ฉิงเฟิงพยักหน้าและเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ว่าชาวเฟิ่งอู่พูดถูก เขากังวลจนลืมไปเสียสนิท
ฟุ่บ!
ฉิงเฟิงอุ้มหลิวหรูหยานขึ้นจากบนเตียงเลือดของเธอเปื้อนเขาไปทั้งตัวแต่ฉิงเฟิงก็ไม่สนใจ เขารีบอุ้มเธอออกไปจากที่นี่ทันที
��