ตอนที่ 988 ตำหนักร้อยบุปผา
ในฐานะแนวเทือกเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดกวางโจว,เบลมอนต์ทั้งสูงชันและงดงามด้วยหินหลากหลายชนิด, ต้นไม้โบราณ, พืชและเถาวัลย์นาๆชนิดและยังมีแม้แต่สัตว์ป่าและสัตว์ประหลาดมากมาย
เมื่อเดินผ่านยอดเขาและหุบเขาฉิงเฟิงก็สังเกตเห็นดวงตาสีเขียวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ด้วยแสงสีแดงกระหายเลือดเปล่งประกายออกมาจากดวงตาเหล่านั้น เขาอนุมานได้ว่ามันคือดวงตาของพวกสัตว์ร้าย
ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีทั้งเสือเกล็ดเพลิง,เสือดาวเขียวและหมาป่ามีดวายุ สัตว์ยักษ์เหล่านี้มีความยาวอย่างน้อยสี่ถึงห้าเมตร บางตัวถึงกับยาวกว่าสิบเมตรด้วยซ้ำ
เสือโคร่งตัวหนึ่งที่เห็นฉิงเฟิงกำลังเดินมามันกระโจนเข้าหาเขาพร้อมกับอ้าปากกว้างมันพยายามจะกัดคอของเขาด้วยเขี้ยวสีขาวที่แหลมคม ฉิงเฟิงชักกระบี่เพลิงคะนองออกมาและใช้มันเพื่อปลดปล่อยพลังงานกระบี่อันเข้มข้นเขาพลิกข้อมือสะบัดกระบี่ออกไปตัดหัวของเสือตัวนั้นทันที
ฉัวะ!
หัวเสือหล่นลงจากคอตามมาด้วยเลือดที่ฉีดพุ่งไปทั่วทุกหนแห่งฉิงเฟิงเอียงตัวหลบร่างไร้หัวของมันอย่างง่ายดาย
เพียงหนึ่งกระบี่ฉิงเฟิงก็ฆ่าเสือเกล็ดเพลิงได้
หลังจากที่สัตว์ตัวอื่นๆได้เห็นว่ามนุษย์ผู้นี้ทรงพลังเพียงพวกมันก็หวาดผวาและหนีไป
ฉิงเฟิงไม่สนใจร่างไร้หัวของเสือเขามุ่งหน้าต่อเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
ตำหนักร้อยบุปผาตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของเขาลูกที่เก้าแต่ตอนนี้ฉิงเฟิงเพิ่งจะอยู่ที่เขาลูกแรก ระยะทางยังคงอีกยาวไกล
ฉิงเฟิงก้าวขึ้นไปบนอากาศและเคลื่อนไหวไปข้างหน้าดั่งสายฟ้าฟาดสัตว์ทุกตัวที่เขาพบระหว่างทางนั้นถูกตัดเป็นสองส่วนด้วยกระบี่ของเขา เมื่อเขามาถึงจุดที่สูงที่สุดของขุนเขาลูกที่แปด เขาก็ได้พบสัตว์อสูรที่ดุร้าย
มันเป็นงูเหลือมยักษ์ที่ทอดตัวยาวกว่าสิบเมตรและเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำที่แหลมคมขนาดเท่าชามข้าวครอบคลุมทั่วทั้งร่างของมัน อีกทั้งยังเปล่งประกายมืดมิดออกมา
งูเหลือมยักษ์ตัวนี้เป็นสัตว์อสูรในระดับจิตวิญญาณแท้จริงซึ่งสามารถพูดภาษามนุษย์ได้มันกล่าวกับฉิงเฟิงว่า ที่นี่คือดินแดนของตำหนักร้อยบุปผา คนนอกห้ามเข้า
ฉิงเฟิงแย้มยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า ฉันมาขอพบฮวาเซียนจื่อ โปรดให้ฉันได้ผ่านไปด้วยเถอะ
เมื่อได้ยินชื่อฮวาเซียนจื่องูเหลือมยักษ์สีดำก็ดูประหลาดใจ ไม่ได้คาดคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะรู้จักชื่อนี้
ฮวาเซียนจื่อเป็นนักบุญแห่งตำหนักร้อยบุปผาเธอเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่นมากนักในยุทธภพเพราะเธอไม่ค่อยออกไปข้างนอก ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้จักชื่อนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเพราะงูเหลือมยักษ์ก็ไม่เคยเห็นหน้าเขา
ฉิงเฟิงไม่ได้สนใจงูเหลือมและเดินต่อไปในทางกลับกัน, การที่ฉิงเฟิงไม่แยแสทำให้มันเริ่มโกรธ
ชู่ว
งูเหลือมเหวี่ยงหางยาวของมันฉีกผ่านอากาศด้วยเสียงที่แหลมคมและทุบเข้าที่หัวของฉิงเฟิง
การโจมตีครั้งนี้ทรงพลังมากมันมีพลังนับหมื่นกิโลกรัม แน่นอนว่ามันสามารถกระแทกชายคนทั่วไปจนแหลกเหลวเป็นก้อนโคลนได้
แต่ฉิงเฟิงไม่ใช่คนธรรมดาเขาเป็นผู้ฝึกตนแล้ว เขาตอบโต้ด้วยการเหวี่ยงหมัดขวาออกไปข้างหน้าจนกลายเป็นเงาขุนเขาของวิชาหมัดทลายนรกานต์ มันปะทะเข้ากับหางที่งูเหลือมยักษ์เหวี่ยงเข้ามา ตูม!
ด้วยเสียงที่ดังสนั่นร่างกายของงูเหลือมก็ระเบิดเป็นชิ้นๆภายใต้การโจมตีของฉิงเฟิงโดยตรง เศษเลือดเนื้อลอยกระจัดกระจายไปทั่วจนครอบคลุมพื้นที่กว้างเหมือนทุ่งเหมือนเม็ดฝน
ลูกบอลสีดำลูกหนึ่งตกลงมาจากด้านบนฉิงเฟิงคว้าจับมันไว้ด้วยมือขวา มันเป็นลูกบอลทรงกลมสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าไข่เล็กน้อยด้วยพลังแท้จำนวนมากที่อัดแน่นอยู่ภายใน นี่คือแกนอสูรของงูเหลือมยักษ์นั่นเอง
แกนอสูรเป็นส่วนสำคัญที่สุดของสัตว์อสูรเพราะบรรจุไว้ด้วยพลังแท้ของสัตว์เหล่านี้
ฉิงเฟิงดูซับพลังแท้จากแกนอสูรและเปลี่ยนเป็นพลังงานของเขาเองมันส่งผลให้ระดับพลังของเขาพัฒนาขึ้นอีกเล็กน้อย
หลังจากดูดซับพลังเสร็จเขาก็ไม่โอ้เอ้และรีบเหินร่างขึ้นไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาอย่างรวดเร็วเพราะฮวาเซียนจื่อยังคงรอเขาอยู่
ฉิงเฟิงเดินทางจากสะดวกรวดเร็วเพราะไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนกล้ามาโจมตีเขาอีกต่อไปหลังจากที่พวกมันเห็นการตายของงูเหลือมยักษ์
หลังจากนั้นไม่นานฉิงเฟิงก็มาถึงจุดสูงสุดของขุนเขาลูกที่เก้าซึ่งเป็นฐานใหญ่ของตำหนักร้อยบุปผา
ฉิงเฟิงมองไปรอบๆและพบว่าตำหนักร้อยบุปผานั้นตั้งอยู่แนวภูเขามันเป็นอาคารขนาดมหึมาที่ทำจากแผ่นหินอ่อนสีขาว ก้อนอิฐปูพื้นสีเขียว กระเบื้องสีฟ้า ชายคาทำจากแก้วและมีประตูสีแดงสด โดยรวมแล้วมันดูเปล่งประกายงดงามราวกับพระราชวังในสมัยโบราณ
มีสตรีสองคนเฝ้าประตูอยู่ฉิงเฟิงสังเกตเห็นว่าพวกเธอทั้งคู่ต่างก็มีใบหน้าที่ละเอียดอ่อน ผิวขาวนวลและผมสีดำที่สยายยาวเหยียดลงมาถึงเอว
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะดูสวยแต่กลับมีสีหน้าที่แสดงออกถึงความเย็นชาเฉยเมยและยากที่จะเข้าถึง
เมื่อเห็นฉิงเฟิงเดินเข้ามาสาวงามตัวสูงที่อยู่ทางซ้ายก็ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชาว่า หยุดอยู่ตรงนั้น ! ที่นี่เขตหวงห้าม มิให้บุคลภายนอกเข้ามา
ผมมาหาฮวาเซียนจื่อ ฉิงเฟิงตอบอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาอธิบายเจตนาในการมาเยือนครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา
ภายในตำหนักเรามีเพียงอิตสตรีบุคลภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา … โดยเฉพาะผู้ชาย ขอท่านโปรดกลับไปเสียเถอะ สาวงามที่อยู่ทางซ้ายกล่าวขึ้น ดวงตาของเธอดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง
เมื่อสังเกตเห็นถึงความเย่อหยิ่งของเธอฉิงเฟิงก็ไม่เปลืองวาจาอีก เขาก้าวเข้าไปทางประตูแทน
เมื่อพวกเธอเห็นชายหนุ่มคนนี้ไม่สนใจคำเตือนพวกเธอก็ชักกระบี่สีขาวออกมาและฟันใส่ฉิงเฟิงทันที แกร่ก!
ฉิงเฟิงรับกระบี่ด้วยสองนิ้วของเขาด้วยการออกแรงบิดเบาๆกระบี่ของเธอก็หักเป็นสองส่วน
ปึก!
ฉิงเฟิงเอื้อมมือซ้ายออกมาอย่างรวดเร็วแล้วกระแทกหลังคอของพวกเธอจนสลบไป
ท้ายที่สุดพวกเธอก็เป็นคนของตำหนักร้อยบุปผาและฉิงเฟิงก็ติดหนี้บุญคุณฮวาเซียนจื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถฆ่าพวกเธอได้
ฉิงเฟิงหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาชุ่ยน้อยเขาบอกเธอว่าเขาอยู่หน้าตำหนักแล้วในตอนนี้
ชุ่ยน้อยรับสายอย่างรวดเร็วและรู้สึกประหลาดใจผสมกับความตกใจหลังจากที่รู้ว่าฉิงเฟิงอยู่หน้าตำหนักแล้วเขาเดินทางมาถึงไวกว่าที่เธอคิดมากนัก
เธอรู้ว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนจึงรีบไปที่ประตูหน้าโดยไม่ชักช้าเธอเป็นผู้หญิงที่มีอายุราวๆสิบแปดปีและเป็นทั้งสาวใช้และเพื่อนสนิทของฮวาเซียนจื่อ เธอดูน่ารักด้วยใบหน้าที่บอบบาง ผิวขาวและรูปร่างสมส่วน
เมื่อชุ่ยน้อยมาถึงเธอก็รู้สึกงงงวยที่ได้เห็นศิษย์พี่น้องเฝ้าประตูที่หมดสติไปข้างๆฉิงเฟิง แววตาของเธอเป็นประกาย
เธอรู้ดีว่าผู้เฝ้าประตูทั้งสองคนนี้เป็นผู้ยอดฝีมือแต่พวกเธอก็ถูกชายหนุ่มคนนี้ทำให้หมดสติอย่างไรทางต่อต้าน นั่นหมายความว่าหลี่ฉิงเฟิงแข็งแกร่งกว่าพวกเธอหลายขุม
ชุ่ยน้อยใช่ไหม ฮวาเซียนจื่อเป็นอย่างไรบ้าง เธออยู่ที่ไหน ? ฉิงเฟิงถาม เขามาที่นี่เพื่อช่วยเธอ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเธอก่อน
คุณหนูถูกขังอยู่ในห้องหนึ่งข้าจะพาท่านไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ ชุ่ยน้อยพยักหน้าและรีบพาฉิงเฟิงเข้าไปในตำหนักร้อยบุปผาทันที