ตอนที่ 147 ตายหรือยัง???
สองคิงชูไม่นึกว่าลูกน้องของตนที่พึ่งจะถูกส่งไปเฝ้าระวังจะมีสภาพเช่นนี้กลับมา หลังจากที่ถูกรถสามล้อไล่ตาม และเขาขับหนีไปหนีมาผ่านถนนไปกว่าแปดเส้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ขนเข้ากับกําแพงทางด่วนจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน ราวกับว่ากําลังดู Final Destination ในโลกแห่งความเป็นจริง
ลูกน้องตัวสูงของเขาชื่อเฟิงหยวน เฟิงหยวนนั้นทํางานให้สองคิงชูมานาน เมื่อเขาได้ข่าวว่าลูกน้องของเขาประสบอุบัติเหตุเขาก็รีบใช้เส้นสายและอํานาจที่มีเร่งรัดกระบวนการทุกอย่างเพื่อให้เฟิงหยวนเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด ถ้าหากเขารอตามกระบวนการมันคงไม่ทันเวลาและลูกน้องของเขาอาจจะเสียชีวิต
แม้จะใช้เส้นสายแค่ไหนแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนที่ยังไม่ทันการอยู่ดี
หลังจากที่คุณหมอทั้งหมดที่รับหน้าที่ดูแลและวินิจฉัยเข้าห้องประชุมไป สองคิงชูก็ยังคงยืนรอหน้าห้องประชุมอยู่ตลอดเวลา เมื่อคุณหมอผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดออกมาจากห้องประชุมพร้อมด้วยใบหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถหาวิธีการรักษาแก่ลูกน้องของเขาได้
ทันทีที่เขาเห็นคุณหมอผู้อํานวยการหลี เขาก็รีบเดินไปจับมือของคุณหมอไว้ “คุณหมอหลี หลังจากประขุมคุณพอจะมีวิธีรักษาลูกน้องผมไหม?”
ผู้อํานวยการหลีส่ายหัวอย่างเสียใจ “ไม่เลยครับ…พวกเรายังไม่สามารถทําอะไรได้ในตอนนี้ โชคร้ายที่สมองของคุณเฟิงหยวนนั้นได้รับความเสียหายเกินกว่าที่คิดไว้ เกรงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต”
“มีความเป็นไปได้แปลว่ายังไม่ได้ฟันธงแน่นอนใช้ใหมครับว่าเขาจะเป็นอัมพาต นั่นแปลว่ายังคงมีโอกาสที่จะรักษาเขา?”
“คุณสอง คุณกําลังเข้าใจผิด
ผู้อํานวยการหลีเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองและถอนหายใจออกมา “ที่ผมหมายถึงก็คือ ผมยังไม่ได้รับผลการวินิจฉัยที่แน่นอนจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญคนอื่น เมื่อสักครู่ที่เราประชุมกันนั้น เราจึงลงความเห็นว่าลูกน้องของคุณนั้นอยู่ในสภาวะอัมพาตเรียบร้อยแล้ว”
“…แล้วไม่มีวิธีอื่นแล้วหรอครับ อย่างเช่นการฝังเข็มด้วยเข็มทองคํา! อ่างน้ำอมฤทธิ์ เรื่องเงินผมไม่เป็นปัญหาหรอกครับ”
“คุณสอง คุณต้องเข้าใจอย่างนึงนะว่าสมองน่ะมันมีความพิเศษและซับซ้อน ผู้ฝึกตนสามารถหมุนเวียนพลังเพื่อรักษาสภาพร่างกายตนเอง แต่กับสมองนั้นเมื่อมันเกี่ยวกับระบบประสาทแล้ว มันยากที่จะรักษา ทั้งในผู้ฝึกตนและคนธรรมดา… ไอเรื่องที่คุณพูดมา เข็มทองคํา อ่างน้ำอมฤทธิ์ มันก็มาจากนิยาย มันจะได้ผลจริงเหรอ”
“…”
“โรงพยาบาลแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยรับผู้ปวยระดับวิญญาณก่อกําเนิดที่เลือดออกในสมอง พวกเราเตรียมที่จะทําการผ่าตัดเรียบร้อยแล้วและเราได้เริ่มทําการผ่าตัดกว่าแปดชั่วโมง ผลก็คือทั้งหมดแปดชั่วโมงเรายังไม่สามารถผ่าเปิดกระโหลกหัวของเขาได้เลย!”
“…”
…………………………
หลังจากที่นักบุญทั้งสามลําดับได้จากไปแล้ว สองคิงชูก็ยังต้องมาเสียลูกน้องที่แสนสําคัญไปอีกคน แม้ว่าเฟิงหยวนจะเป็นแค่ผู้ช่วย แต่เขาก็ช่วยแก้ไขและช่วยเป็นธุระให้สองคิงชูมาเป็นเวลานาน
สิ่งปวดใจที่สุดก็คือ แม้ว่าเขาอยากจะแก้แค้นขนาดไหนเขาก็ไม่มีพลังมากพอที่จะทํามัน เพราะรถสามล้อคันนั้นเป็นของเทพมือระเบิดและไอเด็กคนนั้น
“ทําไม?! ทําไมรถสามล้อบ้านั่นต้องเป็นของไอสองคนนั่นด้วย?”
สองคิงชูคิดว่าเขาไม่ควรที่จะออกคําสั่งให้ไปยั่วโมโหเจ้าสองคนนั้น ถ้าหากเขาไม่ได้สั่งการออกไปแบบนั้น เฟิงหยวนก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้
หลังจากเสร็จธุระที่โรงพยาบาล สองคิงชูก็กลับเข้าออฟฟิศในตอนบ่ายเพราะว่าเขายังคงมีงานที่ต้องสะสางอยู่ เขาได้รับข้อความจากนายหญิงของปราสาท เธอเป็นเลขาส่วนตัวของเจ้าของปราสาทตระกูลโม่ผู้ซึ่งทํางานให้เขามาเป็นระยะเวลากว่าหลายปี เรื่องไหนที่เจ้านายของเขาไม่อยากจะทํามัน เขาก็จะยกให้เลขาสาวคนนี้จัดการ
สิ่งที่เขาสงสัยที่สุดก็คือนายหญิงของปราสาทนั้นเป็นคนยังไง แม้แต่เขาผู้ซึ่งทํางานให้ปราสาทตระกูลโม่มาหลายปียังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของเธอเลย สิ่งที่เขารู้มีเพียงอย่างเดียวคือพลังของผู้หญิงคนนี้สูงกว่าเขามาก
สองคิงชูคิดว่าต่อให้เอาสิบนักบุญมารวมกันทั้งหมดที่ยังไม่เป็นคู่มือของเธอ
การที่เขาได้รับข้อความจากผู้หญิงคนนั้น ความรู้สึกของเขาบอกว่ามันต้องเป็นเรื่องอะไรที่สําคัญแน่นอน
หลังจากการทรยศของนักบุญลําดับสาม เจ้าของประสาทหรือเจ้านายของเขานั้นก็ไม่พึงพอใจกับผลงานของเขาเลย ก่อนหน้านี้เจ้านายของเขายังคงคุยกับเขาผ่านทางโทรศัพท์ปกติ แต่พักหลังเขาก็ให้เลขาคนนี้ติดต่อมาแทน สองคิงชูรู้ดีว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้นั้นดูล่อแหลม เพราะจุดจบของสายงานในปราสาทตระกูลโม่ถ้าหากพวกเขาคิดว่าไม่มีประโยชน์แล้ว มีเพียงจุดจบเดียวก็คือความตาย
หลายปีมานี้ สองคิงชูได้ช่วยเจ้าของปราสาทกําจัด “พวกไร้ประโยชน์” เหล่านั้น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เขาจะต้องตกไปอยู่สถานภาพเดียวกับคนกลุ่มนั้นเสียเอง…
ในปราสาทตระกูลโม่ มีแค่เรื่องผลประโยชน์ ไม่มีที่ว่างสําหรับอารมณ์ความรู้สึกขอบโปรดปราน เพราะเจ้านายของเขาไม่ขอบคําว่าล้มเหลว
ด้วยความกังวล เขาเปิดข้อความจากเลขาสาวคนนั้น ใจความสําคัญของข้อความนั้นก็คือ เลขาสาวต้องการทราบข้อมูลของการทดลอง “น้ำอมฤทธิ์ของตระกูลโม่”
น้ำอมฤทธิ์ตัวนี้เป็นยาที่ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์และอาการป่วยทางจิตของนักเรียนระดับแรกเริ่มลมปราณทั้งสาม
สองสิ่งนั้นรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเขา ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาต้องทํางารชิ้นนี้ให้ดีที่สุด
หลังจากที่คิดคําที่จะตอบกลับไปครู่หนึ่งสองคิงชูจึงรีบตอบกลับไป “โปรดวางใจนายหญิง ทุกๆอย่างเป็นไปตามแผน ผมได้ส่งให้คนไปโปรโมทนาอมฤทธิ์แล้ว”
ไม่นานหลังจากที่เขาส่งข้อความกลับไป นายหญิงของปราสาทก็ตอบกลับมาด้วยความรวดเร็วว่า “นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ครั้งนี้เราได้ลดอัตราการเกิดการกลายพันธุ์ลงมาจากตัวยาที่ถูกปรับปรุง แต่พวกเรายังคงต้องการหนูทดลองที่เป็นมนุษย์จริงอยู่ที่อาการของเด็กนักเรียนทั้งสามคนในโรงพยาบาลเป็นยังไงบ้าง?
หลังจากคิดอยู่สักพัก สองคิงชูตัดสินใจตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดถึงเทพมือระเบิด “ไม่ต้องเป็นห่วงนายหญิง ผมได้จ่ายเงินค่าปิดปากให้กับครอบครัวพวกเขาไปแล้ว และจัดการให้พักรักษาตัวในแผนกผู้ปวยแยกพิเศษ เรื่องทั้งหมดจะไม่ถูกแพร่ออกไป”
เลขาสาวตอบกลับมาแทบจะในทันที “ฉันรู้ทุกเรื่องที่นายทําเมื่อวาน มันมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่โรงพยาบาลและพบเด็กสามคนนั้นด้วยใช่ไหม?”
“…” สองคิงชูถึงกับเหงื่อตกเมื่อเขาเห็นข้อความที่เลขาสาวพิมพ์กลับมา
เลขาสาวยังคงส่งข้อความมาอีก “นายไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่สื่อยังคงไม่รับรู้นายก็ยังคงปลอดภัย ตราบเท่าที่การทดลองน้ำอมฤทธิ์ของตระกูลโม่นั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น นั่นจะช่วยลบล้างความผิดพลาดทั้งหมดที่นายทํามาก่อนหน้านี้ได้ เจ้านายยังคงเชื่อมั่นใจตัวนายอยู่เพราะเหตุนี้นายจึงยังไม่ถูกกําจัด
สองคิงชู: “ขอบคุณนายหญิง ผมจะรีบติดต่อโรงเรียนและจะโฆษณาน้ำอมฤทธิ์ของเราผ่านชื่อของติวเตอร์
เลขาสาว: “ไม่จําเป็นต้องมาขอบคุณฉัน โรงเรียนแห่งนั้นชื่ออะไร? นายต้องไปสืบหาข้อมูลมาก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาด”
สองคิงชู: “โรงเรียนแห่งนั้นชื่อว่าโรงเรียนมัธยมอันดับที่60 เป็นโรงเรียนอันดับท้ายที่สุดของบรรดาโรงเรียนในเขตไป่หยวน ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ” [คิดให้ดีนะไอ้สองงงง…ผู้แปล]