เพียงเวลาสั้น ๆ พลังที่แฝงอยู่ในคริสตัลต้นกำเนิดแห่งการทำลายล้างก็ผสานรวมเข้ากับวิญญาณแท้จริงของคมมีดพิชิตมารได้สำเร็จ แล้วมันก็บินกลับไปยังต้นคอของหานซั่วและจมจ่อมลงสู่ภาวะจำศีลอีกครั้ง
คมมีดพิชิตมารเป็นอาวุธปีศาจที่ผูกพันใกล้ชิดกับหานซั่วมากที่สุด และในตอนนี้ มันก็สร้างวิญญาณแท้จริงขึ้นมาได้แล้ว อีกทั้งยังมีสติปัญญาของตัวเองอีกด้วย เพราะเดิมที คมมีดพิชิตมารก็ถูกหล่อหลอมขึ้นจากทั้งหยดเลือดและแก่นมนตราของหานซั่ว เช่นนั้นแล้ว วิญญาณแท้จริงของมันจึงจะรับใช้หานซั่วในฐานะนายของมันไปตลอดกาล และตราบใดที่จิตของหานซั่วไม่สูญสลายไป คมมีดพิชิตมารก็จะเป็นอาวุธปีศาจที่มีเพียงหานซั่วคนเดียวที่สามารถใช้ได้
หานซั่วจ้องมองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตนเองหลังจากที่สูญเสียคริสตัลต้นกำเนิดแห่งการทำลายล้างไป แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นบทสรุปที่ดี เพราะอย่างน้อยผลประโยชน์ที่ได้รับก็ไม่ตกเป็นของคนนอก ซึ่งหลังจากที่คมมีดพิชิตมารดูดกลืนพลังทำลายล้างที่อยู่ในคริสตัลเข้าไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้นอีกอย่างแน่นอน ในฐานะอาวุธที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้ได้ ยิ่งมันแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ผลประโยชน์สำหรับหานซั่วก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
คริสตัลทั้ง 3 ลูก ลูกหนึ่งเป็นของขวัญให้กับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก อีกลูกหนึ่งผสานรวมกับวิญญาณแท้จริงที่เพิ่งก่อกำเนิดขึ้นของคมมีดพิชิตมาร และลูกสุดท้ายสำหรับเอมิลี่ซึ่งเป็นนักเวทย์ธาตุมืด ทั้ง 3 ล้วนเป็นสิ่งที่หานซั่วไว้ใจมากที่สุด แม้ว่าจิตของหานซั่วจะไม่สามารถผสานรวมเข้ากับคริสตัลต้นกำเนิดใด ๆ ได้เลย แต่ก็เรียกได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นในทางอ้อม
สำหรับหานซั่วที่เดิมตั้งใจว่าจะผสานรวมกับคริสตัลต้นกำเนิดธาตุแห่งความตาย ตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกใส่ใจกับมันอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงทำให้เขาเป็นกังวล คือภัยคุกคามจากราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณมากกว่า
ตราบใดที่หานซั่วยังคงอยู่ในสุสานแห่งความตาย ราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณก็จะทำอันตราย หานซั่วไม่ได้เลย เนื่องจากมันไม่สามารถสัมผัสถึงร่างกายของเขาได้
แต่ปัญหาก็คือ เป็นไปไม่ได้เลยที่หานซั่วจะซ่อนตัวอยู่ในสุสานแห่งความตายตลอดไป เพราะหากเขาออกไปจากที่นี่ ราชาหกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่วิญญาณของหานซั่วทันที และหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น หานซั่วก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาไม่สามารถต้านทานได้อีกครั้ง
เห็นทีข้าคงต้องสลัดเจ้าบ้านั่นให้พ้นจากจิตของข้าให้ได้แล้วสิ! หานซั่วคิดและเริ่มค้นเข้าไปในความทรงจำของชูชางหลานที่ทิ้งไว้ เผื่อว่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
ขณะที่หานซั่วกำลังค้นความทรงจำอย่างระมัดระวัง เขาก็พบว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถบรรลุสู่ อาณาจักรพลังเก้าการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นระดับต่อไปในเวทย์ปีศาจ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาวิธีอื่น หากแต่จิตของเขาจะไม่สามารถถูกตรวจจับได้โดยราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณอีกต่อไป
เมื่อหานซั่วบรรลุถึงอาณาจักรพลังเก้าการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่ร่างกายภาพของเขาจะสามารถเปลี่ยนรูปได้ตามที่เขาต้องการ แต่จิตของเขาเองก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนในสภาพที่แตกต่างกันได้อีกมากมายมหาศาล และตอนนั้น ราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณก็จะไม่สามารถสัมผัสถึงหานซั่วได้อีกเลย
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
และแน่นอนว่า หลังจากที่หานซั่วบรรลุถึงระดับนั้น แม้ว่าราชาหกเขาจะตามหาตัวเขาจนเจอ ดวงของมันจะต้องถึงฆาตอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ หานซั่วอยู่ในอาณาจักรพลังกามอสูร แม้ว่าจิตของเขาจะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ดังใจนึก เขาก็ยังคงสามารถอำพรางจิตของตนเองได้ด้วยเคล็ดลับบางอย่าง ตราบใดที่หานซั่วไม่ได้ตั้งใจใช้พลังอันน่าอัศจรรย์ของจิตของเขา และคงอยู่ในสภาพไร้ตัวตนภายใต้เคล็ดลับการอำพรางนั้น ก็จะไม่มีใครสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของหานซั่วได้อีกเลย
อันที่จริงแล้ว เคล็ดลับการอำพรางจิตเป็นหนึ่งในความสามารถอันน่าอัศจรรย์มากมายที่จิตมี แต่โชคร้ายที่หานซั่วไม่ได้ใช้เวลาและความพยายามมากพอในการค้นหาพลังอัศจรรย์ของจิตเหล่านั้น และในเมื่อเขาพบแล้วว่าจิตสามารถอยู่ในสภาวะไร้ตัวตนตราบใดที่เขาไม่ได้ใช้งานมัน เขาจึงเริ่มฝึกฝนเคล็ดลับในการอำพรางจิตนั้นทันที
ไม่เพียงแต่สภาวะนี้จะไม่ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำของหานซั่ว แต่มันยังช่วยให้เขาสามารถใช้เหตุผลในการตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดมากขึ้น และไม่ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอารมณ์ของตนเองที่จะนำไปสู่การทำอะไรแปลก ๆ จากบุคลิกตัวตนของเขา
เมื่อหานซั่วมั่นใจว่าตนเองเชี่ยวชาญในเคล็ดลับการอำพรางจิตแล้ว เขาก็กระตือรือร้นที่จะทดสอบมันว่าได้ผลจริงหรือไม่ เขากลับไปยังใจกลางของสุสานแห่งความตาย และใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเพื่อกลับไปยังห้องลับที่อยู่ในคฤหาสน์เจ้าเมืองของนครเบรทเทล
แล้วก็เป็นจริงตามคาด เมื่อออกมาจากสุสานแห่งความตายแล้ว หานซั่วก็สัมผัสไม่ได้ถึงแรงกดดันที่มาจากราชาหกเขาอีกเลย ซึ่งก็แปลว่าเคล็ดลับการอำพรางจิตนั้นได้ผลอย่างดีเยี่ยม และหานซั่วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามของราชาหกเขาอีกต่อไปแล้ว
ตอนนั้นเอง เขาก็เรียกหาดอร์คัส แจ็ค และคนอื่น ๆ เพื่อมาประชุมร่วมกัน เมื่อทุกคนมาถึง หานซั่วก็หันไปพูดกับดอร์คัส
“จากวันนี้ต่อไป เจ้าจะเป็นคนคุมเรื่องการรุกรานแคว้นทั้งเจ็ด ไปเตรียมการให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ได้เลย ส่วนข้าจะกลับไปที่นครออซเซ็น เพื่อไปหาข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แล้วมาบอกเจ้าตอนข้ากลับมา”
“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว!”
ดวงตาของดอร์คัสเป็นประกายด้วยความกระตือรือร้น ความตื่นเต้นของผู้กระหายสงครามอย่างเขาแสดงออกมาอย่างเด่นชัด
“นายท่าน ท่านวางแผนจะทำอะไรเหรอ?”
มังกรดำกิลเบิร์ตถามหานซั่วด้วยความสงสัย
หานซั่วไม่ตอบ และออกคำสั่งกับเขาแทน
“เจ้าคอยอยู่ช่วยดอร์คัส เพราะพลังของเขาทำอะไรไม่ได้ หน้าที่ของเจ้าคือปกป้องเขา และคอยอารักขาอย่าให้เขาถูกลอบสังหารโดยเด็ดขาด”
ซะงั้น… ไหงข้ากลายมาเป็นองครักษ์อีกแล้วล่ะเนี่ย? คราวก่อนข้าก็คอยคุ้มกันทรังคส์ มารอบนี้ ยังต้องคุ้มกันคนที่อ่อนแอกว่าตั้งเยอะ… มังกรดำกิลเบิร์ตบ่นอุบอย่างไม่พอใจ
“เอลิซาเบธ เจ้าคอยอยู่ในนครเบรทเทล แล้วก็คอยจัดการใครก็ตามที่ลักลอบทำอะไรในเงามืด ในนครเบรทเทลนี่มีพวกที่พลังอ่อนแออยู่ไม่กี่คนหรอก แต่เจ้าต้องปกป้องพวกเขาด้วยชีวิต”
“เข้าใจแล้ว นายท่าน”
เอลิซาเบธตอบ
หลังจากนั้น คู่หูดอร์คัสและแจ็คก็อธิบายสถานการณ์ภายในนครเบรทเทลให้หานซั่วฟังโดยละเอียด จากที่พวกเขาเล่ามา หานซั่วก็ได้รู้ว่าจำนวนประชากรของนครเบรทเทลได้เพิ่มขึ้นนับสิบเท่า จนปัจจุบันมีประมาณ 530,000 คน ภายใต้การนำของดอร์คัส กองทัพของนครเบรทเทลก็มีกองกำลังทหารหัวกะทิกว่า 50,000 นาย และอีก 30,000 นายที่เป็นทหารคุ้มกันประจำเมือง
เมื่อนครเบรทเทลที่กำลังเจริญรุ่งเรืองมีโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นของตัวเอง อีกทั้งยังไม่เคยขาดแคลนวัตถุดิบจำพวกแร่ทุกชนิดที่มาจากเหมืองแร่ทั้ง 5 แห่งที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ทหารทุกนายโดยถ้วนทั่วทั้ง 80,000 คนได้สวมใส่ยุทโปกรณ์อย่างเต็มพิกัด เมื่อเทียบกับทหารในกองทัพหลวงของนครออซเซ็น ทั้งอาวุธและชุดเกราะขอองพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
เมื่อมีทั้งจักรพรรดิลอว์เรนซ์ผู้ทรงอำนาจคอยหนุนหลัง ความสะดวกสบายในการใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้าย และลักษณะทางภูมิศาสตร์อันน่าทึ่งของนครเบรทเทล ภายในไม่กี่ปี นครเบรทเทลก็แปรเปลี่ยนเป็นเมืองหลักทางเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองที่ไร้เทียมทานและยากต่อการถูกโจมตี ในตอนนี้ นครเบรทเทลยังมีกองทัพอันแข็งแกร่งที่ทหารทุกคนได้รับการฝึกฝนอย่างดี เมื่อปราศจากความกังวลต่อผลกระทบในอนาคต นี่เองจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรุกรานแคว้นทั้งเจ็ด
“ดีมาก ข้าจะเดินทางไปนครออซเซ็นก่อน และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะเดินทางไปกับพวกเจ้าทุกคนด้วย!”
เมื่อปราศจากความกังวลโดยสิ้นเชิง หานซั่วก็พูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อที่ประชุมได้ข้อสรุปในที่สุด หานซั่วก็ตรงไปยังวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายภายในนครออซเซ็นทันที
ในตอนนี้ สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อหานซั่วมากที่สุดก็คือราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณ และอีกสิ่งหนึ่งก็คือศาสนจักรแห่งแสงสว่าง แต่ในเมื่อราชาหกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของหานซั่วได้แล้ว ปัญหานี้จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจ และสำหรับศาสนจักรแห่งแสงสว่าง แม้หานซั่วจะไม่สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้หากครึ่งเทพทั้ง 2 คนแห่งศาสนจักรฯ ได้ร่วมมือกัน แต่หานซั่วก็มั่นใจว่าตัวเขาเองจะสามารถหนีไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนนักบุญสาวที่สามารถกางเขตแดนแห่งเทพได้ ตามที่สตรัทโฮล์มเล่าให้ฟัง หานซั่วก็รู้ว่าเธอถูกพันธนาการไว้กับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรแห่งแสงสว่างและไม่สามารถออกมาจากภูเขาลูกนั้นได้โดยเด็ดขาด ซึ่งก็แปลว่าเธอคงจะทำอันตรายต่อหานซั่วไม่ได้ด้วยเช่นกัน
หานซั่วจึงไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลมากนัก เมื่ออยู่ในอาณาจักรพลังกามอสูร หานซั่วก็ต้องการเหลือเกินที่จะออกไปโดยปราศจากการหน่วงเหนี่ยวใด ๆ และมีเพียงการเติมเต็มความปรารถนาอันแรงกล้าของตัวเขาเองเท่านั้นที่จะทำให้เขาบรรลุจากอาณาจักรพลังกามอสูร ไปสู่อาณาจักรพลังเก้าการเปลี่ยนแปลงในระดับต่อไปได้ เช่นนั้นแล้ว หานซั่วจึงแทบไม่ได้พยายามที่จะควบคุมความปรารถนาภายในใจเลย และพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายได้อย่างเต็มอัตราศึก
ตามหลักการของเวทย์ปีศาจแล้ว ผู้ใดที่บรรลุถึงอาณาจักรพลังเก้าการเปลี่ยนแปลงแล้ว พวกเขาก็จะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์จากความปรารถนาทั้งหมดระหว่างที่อยู่ในอาณาจักรพลังกามอสูร คนเหล่านี้มักจะเป็นผู้ที่มีทั้งความทะเยอทะยานและความโหดเหี้ยมอำมหิตในโลกของพวกเขา ในยุคต่าง ๆ เหล่าผู้อาวุโสในศาสตร์แห่งเวทย์ปีศาจ ต่างก็มีบทบาทที่สำคัญในการเป็นผู้นำทางความคิดในยุคสมัยของพวกเขา
เมื่อนครเบรทเทลมีวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเป็นของตัวเอง มันจึงเป็นเรื่องที่สะดวกสบายอย่างเหลือเชื่อในการเดินทางไปมาระหว่างนครออซเซ็น ทำให้หานซั่วสามารถใช้ประโยชน์จากวงเวทย์และไปปรากฏตัวที่นครออซเซ็นได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา แล้วหานซั่วก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำทันที
ก่อนหน้าที่จะมายังนครออซเซ็น หานซั่วก็ได้รู้จากดิคว่าในตอนนี้ เอมิลี่แทบไม่ค่อยได้ปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ด้วยตัวเองแล้ว แต่เธอกลายเป็นผู้ควบคุมดูแลการแจกจ่ายภารกิจให้กับสมาชิกคนอื่น ๆ ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นอะไรที่ผ่อนคลายกว่ามาก อีกทั้งยังห่างไกลจากอันตรายต่าง ๆ ดูเหมือนว่าบางที เอมิลี่เองก็ได้รับอานิสงส์จากหานซั่วเล็กน้อย เธอจึงได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายและผ่อนคลายถึงเพียงนี้
ณ ภูเขาออร์ดัส ศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำ
ภายในเวลา 3 ปี หานซั่วก็ได้กลายเป็นตำนานขององครักษ์ชุดดำไปแล้ว เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในศูนย์บัญชาการใหญ่ ตลอดทางที่เขาเดิน ผู้คนต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาทั้งเคารพและชื่นชมอย่างสูง
“ท่านหญิงเอมิลี่อยู่ที่ไหน?”
หานซั่วถามทหารยามที่กำลังพาเขาไปยังห้องลับของคานไดด์
ทหารยามคนนั้นดูเหมือนจะจำความสัมพันธ์ระหว่างหานซั่วและเอมิลี่ได้ เขาจึงยิ้มอย่างมีเลศนัย และตอบหานซั่วกลับไป
“ห้องของท่านหญิงเอมิลี่และท่านคานไดด์อยู่ไม่ไกลกันมากนัก ท่านไบรอัน ท่านอยากไปที่ไหนก่อนดีขอรับ?”
“พาข้าไปที่ห้องลับของท่านหญิงเอมิลี่ก่อน”
หานซั่วสั่ง
“ทราบแล้วขอรับ”
ทหารยามตอบด้วยความเคารพ สายตาที่เขามองหานซั่วเต็มไปด้วยความชื่นชมจากก้นบึ้งของจิตใจ
สำหรับคนเหล่านี้ แม้ว่าหานซั่วจะไม่ใช่หนึ่งในสามผู้ทรงอิทธิพลขององครักษ์ชุดดำ แต่เขากลับเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพมากกว่าทั้ง 3 คนนั้นเสียอีก
***********************************