ทั้งสองคนจากไปแค่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อกลับมายังเวทีประมูล พวกเขาก็แปลงโฉมกลายเป็นคนละคนไปอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเป็นคนอ้วนตัวใหญ่ใจดี ในขณะที่อีกคนก็เป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอกหน้าตาธรรมดา ๆ เมื่อเดินไปตามถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน พวกเขาก็ดูกลมกลืนกับคนทั่ว ๆ ไป ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาก็คือคนที่เพิ่งตกเป็นเป้าสายตาก่อนหน้านี้
ขณะที่มีหน่วยทหารคุ้มกันคอยเปิดเส้นทาง เหล่าชนชั้นสูงที่มาจากทั่วทุกเมืองในจักรวรรดิคาซี หรือแม้แต่ต่างแคว้นต่างดินแดน ก็ค่อย ๆ ทะยอยเข้าสู่พื้นที่จัดประมูลทีละคน ๆ
“ราคาของเจ้านี่ อย่างมากสุดก็แค่ 3 เหรียญทองเท่านั้นล่ะน่า!”
โซฟีพูดกับพ่อค้าคนหนึ่งอย่างเด็ดขาด ขณะที่เธอถือเข็มกลัดคริสตัลอยู่ในมือ
ผู้ที่ยืนอยู่บนแผงขายของเป็นชายวัยกลางคนร่างเล็ก เขาตีหน้าซื่อ และตอบกลับไปอย่างมืออาชีพ
“แม่หนู นี่น่ะ คือ คริสตัลฝันสีฟ้า ที่ได้มาจากทางตอนใต้ของสมาพันธ์พ่อค้าบรุทเชียวนะ ไม่มีที่ไหนที่เจ้าสามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่า 5 เหรียญทองหรอก”
“นี่ ๆ ลองเพ่งดูให้ชัด ๆ คริสตัลนี่น้ำไม่งามเลยสักนิด แล้วงานฝีมือก็หยาบออกจะตายไป ท่านยังจะกล้าบอกว่านี่คือคริสตัลฝันสีฟ้าอีกเหรอ ไม่เนียนเอาซะเลย ดูนี่ ชิ้นคริสตัลที่อยู่บนสร้อยของข้านี่ต่างหาก ที่เป็นคริสตัลฝันสีฟ้าของจริง ดูความเป็นประกายระยิบระยับของมันสิ ว่าแตกต่างกันมากแค่ไหน”
โซฟีหยิบสร้อยคริสตัลออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะชูและแกว่งมันไปมาต่อหน้าพ่อค้าคนนั้น เพื่อบังคับให้เขาดูเองกับตาว่าคริสตัลฝันสีฟ้าหน้าตาเป็นอย่างไร
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
ตามปกติ ผู้ที่สวมใส่แหวนมิติจะไม่มาปรากฏตัวในสถานที่แบบนี้ เช่นนั้นแล้ว ก่อนที่จะเดินเข้ามาถึง โซฟีจึงเก็บแหวนมิติของเธอไป และบอกให้หานซั่วให้ถอดแหวนออกด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้มีสิ่งของใดที่สะดุดตา และแบ่งแยกพวกเขาออกจากคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อคนขายรู้ดีว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมโซฟีได้ง่าย ๆ สีหน้าของเขาจึงเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีและพูด
“เอางี้… 4 เหรียญทองเป็นไง ถ้าไม่เอา ก็ไม่ขาย!”
“3 เหรียญทอง! ข้าให้ 3 เหรียญทอง เข็มกลัดนี่งานฝีมือหยาบเกินไป มันควรจะขายราคาเท่านี้จริง ๆ ดูการฝังเม็ดคริสตัลบนเข็มกลัดนี่สิ มันมีรอยขีดข่วนด้วยเห็นมั้ย แล้วก็ไหนจะตรงนี้อีก…”
อยู่ดี ๆ โซฟีก็ดูราวกับมีความเชี่ยวชาญขึ้นมา และพูดพล่ามต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด เพื่อชี้ให้เห็นจุดบกพร่องที่อยู่บนเข็มกลัดคริสตัลเม็ดนั้น
หานซั่วได้แต่นิ่งอึ้งและจ้องมองโซฟีอย่างเลื่อนลอย ขณะฟังเธอวิพากษ์วิจารณ์เข็มกลัดคริสตัลเพื่อต่อราคาที่ต่างกันแค่ 1 เหรียญทอง โดยไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร
ในที่สุด หลังจากที่โดนระเบิดของโซฟีไล่ต้อนจนมุม คนขายก็ยอมแพ้ เขาฝืนยิ้มขณะยื่นคริสตัลเม็ดนั้นให้กับโซฟี
“3 เหรียญทองก็ได้ ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงจะยังดึงดันซื้อมันให้ได้อีกล่ะ ทั้ง ๆ ที่มันมีตำหนิตั้งเยอะตั้งแยะอย่างที่เจ้าว่ามา?”
“อ๋อ พอดีรูปทรงมันก็ออกจะสวยอยู่เหมือนกันน่ะ”
โซฟีวิจารณ์ออกมาดี ๆ เป็นครั้งแรก ก่อนจะติดเข็มกลัดคริสตัลนั้นเข้ากับเสื้อของเธอ และหันมาหาหานซั่วพร้อมกับยิ้ม
“เจ้าคิดว่าไง สวยดีใช่มั้ยล่ะ?”
“ไม่เลวเลย!”
หานซั่วตอบ ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่งและพูดต่อ
“เข้ากับรูปลักษณ์ของเจ้าตอนนี้มากเลยล่ะ”
คริสตัลเกรดต่ำและงานฝีมือหยาบ ๆ แบบนี้ นอกเหนือจากการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ก็ไม่มีอะไรสวยงามโดดเด่นเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้โซฟีก็ดูหน้าตาธรรมดา ๆ เมื่อใส่เครื่องประดับที่แสนจะธรรมดานั้นเข้าไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ดูเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
โซฟีเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหานซั่วเป็นอย่างดี เธอจึงจ้องเขม็งใส่เขา และหันไปพูดกับพ่อค้าคนเมื่อครู่
“คุณพ่อค้า ท่านจะเก็บเงินเค้าเพิ่มก็ได้นะ เชอะ! ไม่ได้ถามให้มาวิพากษ์วิจารณ์ข้าแบบนั้นสักหน่อย!”
เงิน 3 เหรียญทองสำหรับหานซั่วเป็นเพียงเศษเงิน เขาพบว่าความคิดของโซฟีออกจะตลกและเพี้ยน ๆ อยู่สักหน่อย เขายื่นเงิน 3 เหรียญทองให้กับคนขายอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเดินตามโซฟีไป
“เงินแค่ไม่กี่เหรียญทองเอง ด้วยสถานะของเจ้าแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปต่อราคาให้มันเสียเวลาแบบนี้เลยนี่นา”
โซฟีเป็นถึงอัศวินนภา และพ่อเธอก็เป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งจักรวรรดิคาซี ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน โซฟีก็ไม่มีทางขัดสนเรื่องเงินทองอย่างแน่นอน และเมื่อคนที่สูงส่งถึงระดับนั้นมาพยายามต่อราคากับเงินแค่ไม่กี่เหรียญทอง หานซั่วก็ได้แค่คิดว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี
“เจ้าจะไปรู้อะไร? ก็ทำแบบนั้นมันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนได้เป็นคนธรรมดามากที่สุดแล้วนี่”
โซฟีหันมาชำเลืองมองหานซั่วครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
หานซั่วนิ่งอึ้งไปพลางใช้ความคิด เมื่อเขาพิจารณามองโซฟีอีกครั้ง และเห็นว่าความกังวลที่เคยปรากฏอยู่ในสายตาของเธอได้จางหายไปอย่างสิ้นเชิง เขาก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอทันที
ในฐานะบุตรสาวของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ซูโล โซฟีคงจะถูกประคบประหงมและเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดมาตั้งแต่เกิด ทุกคนรอบกายคงปฏิบัติกับเธอราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ มาตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง อัญมณี ทรัพย์สมบัติ หรืออะไรก็ตามที่เธอปรารถนา เธอก็จะได้มาครองโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด เพราะเหตุนี้เอง เธอซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตในฐานะคนทั่วไปมาก่อน จึงเพิกเฉยต่อเทศกาลประมูลที่พวกผู้รากมากดีและคนร่ำรวยมากมายต่างมารวมตัวกัน และปรารถนาที่จะเดินเอ้อระเหยไปตามแผงขายของต่าง ๆ ที่พวกพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก ๆ เหล่านี้ตั้งอยู่มากกว่า
ในโลกเดิมของเขา หานซั่วใช้ชีวิตธรรมดา ๆ อยู่ในบ้านที่แสนจะธรรมดา และครั้งแรกที่วิญญาณของเขามาเกิดใหม่ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ เขาก็ยิ่งอยู่ในระดับต่ำตมที่น่าสมเพชยิ่งกว่าเดิมเสียอีก และเมื่อเคยชินกับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อนแล้ว จึงไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะชอบพอกับอะไรเทือกนี้เป็นพิเศษ ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้มีของที่แปลกและหายากจริง ๆ มาวางขายอยู่ล่ะก็ หานซั่วก็คงไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับสถานที่แบบนี้เท่าใดนัก
“โอ้ จริงสิ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ทำไมเหรอ?”
จู่ ๆ โซฟีก็นึกคำถามนี้ขึ้นมาได้ระหว่างที่เดินด้วยกันมาได้สักพักหนึ่ง ซึ่งไม่นาน เธอก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เจ้ามาหาความสนุกในที่แบบนี้เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ? หืม? ข้าน่าจะรู้มาก่อน ดูจากเสื้อผ้าแล้วก็แหวนมิติของเจ้าแล้ว เจ้าเองก็ต้องมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยมาก ๆ แน่เลย ท่าทางพวกเราจะมีอะไรเหมือน ๆ กันมากกว่าที่คิดซะอีกนะ”
เมื่อได้ฟังความเห็นของโซฟี หานซั่วก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะ
“ไม่เหมือนหรอก ข้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแบบเจ้า ข้าน่ะลิ้มรสชาติความยากลำบากของชีวิตมาทุกรูปแบบตั้งแต่เด็กแล้ว เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะมาตามหาสมบัติแบบคนที่รู้ค่าของมันต่างหาก”
“อะไรกัน? ไม่จริงหรอก เจ้าจะมาหาของดี ๆ จากที่แบบนี้ได้ยังไง?”
เห็นได้ชัดว่าโซฟีไม่รู้สึกเชื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะตัวเธอเองก็มาที่นี่เพราะความสนุกส่วนตัวล้วน ๆ ซึ่งลึก ๆ ในใจเธอแล้ว เธอก็มั่นใจอย่างที่สุดว่าที่แบบนี้ไม่มีของมีค่าจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
“ไม่เชื่อข้าเหรอ?”
หานซั่วมองโซฟีพร้อมรอยยิ้มกว้าง ราวกับว่ากำลังวางแผนจะพิสูจน์ให้เธอเห็น
“ก็ไม่เชื่อน่ะสิ!”
โซฟียืนกรานเด็ดขาด เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจของหานซั่ว
“งั้นตามข้ามา!”
หานซั่วเรียกให้โซฟีตามเขามา หันหลังกลับก่อนจะตรงไปยังพื้นที่หนึ่ง ราวกับจะพาโซฟีไปพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นผิดถนัด
โซฟีผู้สงสัยใคร่รู้รีบตามหลังหานซั่วไปทันที พลางคิดกับตัวเอง ไหนดูซิว่ารอบนี้เจ้าจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
หลังจากที่เดินฝ่าฝูงชนไปได้ประมาณ 70-80 เมตร หานซั่วก็ไปหยุดที่ร้านค้าธรรมดา ๆ ร้านหนึ่ง เขาหยิบก้อนหินสีเทา ๆ ที่ดูไม่ได้มีอะไรพิเศษนักขึ้นมา และถามกับคนขายด้วยรอยยิ้ม
“พ่อค้า ก้อนหินนี่ราคาเท่าไหร่เหรอ?”
“โอ้ 5 เหรียญทองเท่านั้นล่ะ ถ้าท่านอยากได้จริง ๆ ล่ะก็ ข้าลดให้อีกก็ได้นะ!”
คนขายตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
“งั้นก็ 5 เหรียญทองนี่แหละ”
เห็นได้ชัดว่าหานซั่วไม่ได้มีงานอดิเรกพิลึก ๆ เหมือนกับโซฟี เขาหยิบเงิน 5 เหรียญทองออกมาอย่างง่ายดายจากแหวนมิติที่อยู่ในกระเป๋า และยื่นให้กับคนขาย
ตรงจุดนี้เองที่โซฟีเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นในใจ เธอไม่ได้หยุดเพื่อช่วยต่อราคา และเมื่อเห็นว่าหานซั่วเดินออกไปจากร้านนั้นแล้ว เธอก็รีบตามหลังไปทันที พอไปถึงบริเวณที่ค่อนข้างลับตาคน หานซั่วเพียงเดินต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะมาถึงจุดที่เปลี่ยวที่สุด และรอจนกระทั่งโซฟีตามเขาทัน
โซฟีมองก้อนหินสีเทาที่อยู่ในมือของหานซั่ว และเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างที่สุด
“เนี่ยนะ ของดีที่เจ้าพูดถึง? แบบนี้เจ้าเข้าไปในเหมืองสักที่ก็ได้ ก้อนหินเทา ๆ แบบนี้มีอยู่เต็มไปหมด ไม่เห็นมันจะดูมีค่าตรงไหนเลย!”
หานซั่วยิ้มพลางส่ายหัว และพูด
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเร็วไปนักสิ เอาอาวุธของเจ้าออกมาหน่อย”
โซฟีคิดอะไรไม่ออก แต่ก็ยังทำตามที่หานซั่วร้องขอ เธอเรียกดาบยาวออกมาจากแหวนมิติและยื่นให้หานซั่ว เมื่อพิจารณาจากดาบยาวที่แสนงดงามและประณีตเล่มนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
หานซั่วสัมผัสพื้นผิวอันเรียบลื่นเป็นเงางามของอัญมณีที่ฝังอยู่บนฝักดาบ เขายิ้มและพูดกับโซฟี
“รวยไม่ใช่เล่นเลยนี่นา มิน่าล่ะว่าทำไมเจ้าถึงอยากเป็นคนจนเสียเหลือเกิน”
“พูดมากน่า ข้าอยากเห็นแล้วนะ ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็นยังไงว่าก้อนหินก๊องแก๊งนี่มันมีดีตรงไหน!”
โซฟีพูดพลางหัวเราะคิกคัก เธอเอามือกอดอก และรอดูท่าทีของหานซั่ว
หานซั่วเพียงแต่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะชักดาบยาวออกมาจากฝักต่อหน้าโซฟี และใช้ส่วนคมของดาบฟาดลงไปเบา ๆ จนมีเสียงใส ๆ ดังก้องขึ้นมา
เปรี้ยะ!
ภายใต้สายตาที่จับจ้องอย่างตั้งใจของโซฟี ก้อนหินบนฝ่ามือของหานซั่วแตกสลายกลายเป็นเพียงผงธุลีสีเทาเมื่อเขาออกแรงบีบด้วยทั้ง 5 นิ้ว ก่อนจะใช้มือร่อนไปมาและโปรยผงเหล่านั้นลงบนดาบยาวของโซฟี พรึ่บ! ลูกไฟที่แสนงดงามลูกหนึ่งลุกพรึ่บขึ้นที่มือของหานซั่ว
โซฟีผงะไปทันที และจ้องมองลูกไฟที่มือของหานซั่วด้วยความตกใจ
“นี่เจ้าฝีกฝนเวทมนตร์ควบคู่กันไปด้วยเหรอ? แต่แปลกจังเลย ทำไมข้าสัมผัสถึงธาตุไฟไม่ได้เลยล่ะ เกิดอะไรขึ้น?”
หานซั่วยังคงยิ้มและส่ายศีรษะให้โซฟี เขาไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงจุดไฟขึ้นที่ฝ่ามือได้โดยไม่ใช้พลังจากธาตุไฟ หากแต่เรียกให้เธอดู
“คอยดูดี ๆ นะ!”
โซฟีไม่ได้ถามอะไรต่อ และตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ ขณะจับจ้องไปยังทุกความเคลื่อนไหวของหานซั่วด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วหานซั่วก็วางฝ่ามือที่ลุกเป็นไฟลงไปบนดาบยาวที่ชี้ลงไปยังพื้นดิน ทำให้ดาบยาวของโซฟีค่อย ๆ ร้อนระอุขึ้นอย่างช้า ๆ
“ระวัง! นี่เป็นของขวัญที่พ่อให้ข้ามาตอนข้าได้เป็นอัศวินนภา อย่าทำให้มีรอยขีดข่วนเชียวนะ!”
โซฟีร้องเตือนหานซั่วและเริ่มรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเมื่อเห็นเขาทำให้ดาบของเธอร้อนเป็นไฟ
หานซั่วส่งสายตาสื่อความหมายให้โซฟี ราวกับจะบอกให้เธอวางใจ จากนั้น หานซั่วก็หรี่ตาลง และแก่นมนตราปีศาจก็เริ่มโคจรอย่างลับ ๆ ขณะที่มือของเขากำลังกำด้ามดาบเอาไว้ แก่นมนตราก็หลั่งไหลเข้าสู่ดาบยาว ในที่สุด ทั้งเปลวไฟ แก่นมนตรา และผงสีเทาที่ติดอยู่บนดาบก็ผสมผสานและซึมซาบเข้าสู่คมดาบอย่างน่าอัศจรรย์
“ว้าววว!”
โซฟีตกตะลึงกับภาพที่เห็นอีกครั้ง และร้องอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าเองก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยนี่นา ข้าดูไม่ออกเลย!”
หานซั่วไม่ได้ตอบอะไร หากแต่เพ่งสมาธิฝัง แร่เดนซีเนียม ลงในดาบต่อไป และสังเกตเห็นผงละเอียดที่เคยเคลือบดาบเอาไว้ค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่คมดาบ
หานซั่วมองเห็นแร่เดนซีเนียมนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันคือแร่พิเศษที่สามารถเพิ่มความทนทานให้กับอาวุธและทำให้การไหลเวียนพลังงานภายในอาวุธดีขึ้น เป็นศาสตร์การหล่อหลอมอาวุธของผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจที่แท้จริง แร่เดนซีเนียมจึงนับว่าเป็นแร่ที่มีประโยชน์อย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ภายในโลกใบนี้ หานซั่วพบว่ายากที่จะเจอใครที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันจริง ๆ
และเป็นเพราะมีแร่เดนซีเนียมกองโตอยู่ที่แดนโลหะสัมบูรณ์ของภูเขาแพรไหม ซึ่งหานซั่วก็ได้ใช้มันผสานเข้ากับคมมีดพิชิตมารมาแล้วมากพอสมควร ดังนั้น เมื่อเขาเห็นแร่เดนซีเนียมวางขายอยู่เมื่อวันก่อน แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อมัน และเพื่อต้องการพิสูจน์ให้โซฟีเห็นว่าสถานที่แบบนี้นับเป็นขุมสมบัติชั้นยอด เขาจึงกลับไปซื้อมันมาเป็นกรณีพิเศษ
ทันทีที่ผงแร่เดนซีเนียมผสานเข้ากับคมดาบเรียบร้อยแล้ว ส่วนของคมดาบก็มีอุณหภูมิความร้อนในระดับสูงสุด ตอนนั้นเองที่เปลวไฟที่ฝ่ามือของหานซั่วซึ่งเคยเดือดระอุกลับแปรเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วง แทนที่จะมีเสียงเปรี้ยะของการแตกหัก แต่กลับมีกลุ่มควันโขมงลอยฟุ้งออกมาจากตัวดาบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ปกติเมื่อความร้อนสูงเจอกับความเย็นอย่างกะทันหัน
“ระวังหน่อย! อย่าบอกนะว่าเจ้าฉวยโอกาสเอาดาบของข้าไปทดลองการแยกโลหะ?”
โซฟีเป็นกังวลกับดาบยาวของเธอมากทีเดียว เมื่อเธอย้ำเตือนให้หานซั่วคอยระวังอีกครั้ง เธอก็ร้องถามทันทีเผื่อว่าเขากำลังมีเจตนาร้ายบางอย่าง
“รับไปสิ ลองถ่ายเทออร่าต่อสู้เข้าไป แล้วก็เปรียบเทียบความแตกต่างกับแบบเดิมที่เคยใช้ดูนะ”
หานซั่วไม่ได้ตอบคำถามโซฟี หากแต่จับด้ามดาบและโยนมันให้เธอ
โซฟีรีบเอื้อมมือไปรับดาบไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อรับมาถืออยู่ในมือ เธอก็ร้องขึ้นด้วยความแปลกใจทันที
“นี่มันหนักขึ้นตั้ง 2-3 กิโลกรัมเลยนะเนี่ย!”
เมื่อย้อนนึกไปถึงก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นที่ถูกบดจนแหลกเป็นผุยผงในมือของหานซั่ว ก่อนที่จะถูกนำมาหลอมรวมเข้ากับดาบยาวของตนเอง เธอก็คิดไม่ออกเลยว่าก้อนหินขนาดเท่านั้นจะเพิ่มน้ำหนักให้กับดาบของเธอตั้งหลายกิโลกรัมได้อย่างไร นี่มันปาฏิหาริย์ชัด ๆ
“ลองใช้ออร่าต่อสู้ดูสิ”
หานซั่วเตือนอีกครั้ง
ขณะที่กำลังประหลาดใจไม่หาย โซฟีก็รีบถ่ายเทออร่าต่อสู้เข้าสู่ดาบยาวในมือทันที ระหว่างที่เธอทำอย่างนั้น ดาบยาวก็เปล่งประกายแสงสีเงินออกมาด้วยความเร็วที่แม้แต่เธอเองก็คาดไม่ถึง
“ป… เป็นไปไม่ได้!”
โซฟีร้องออกมา ก่อนจะหันไปมองหานซั่วด้วยความตกตะลึงสุดขีด
“ดาบยาวเล่มนี้รองรับปริมาณออร่าต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเยอะมากเลย!”
“ใช่แล้วล่ะ นี่แหละประโยชน์ของหินก้อนนั้น! ข้าว่าเจ้าเองก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเวลาเกิดวิกฤติระหว่างการต่อสู้ขึ้นมา แล้วสามารถปลดปล่อยพลังจากออร่าต่อสู้ที่ถูกถ่ายเทเข้าสู่อาวุธได้มาก ๆ มันมีความหมายแค่ไหน”
หานซั่วตอบพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้ารู้ นี่มันหมายความว่าเราอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเผด็จศึกได้ในชั่วพริบตาเลยล่ะ!”
โซฟีตระหนักในที่สุด ก่อนจะหันมามองหานซั่วด้วยดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง และพูดขึ้น
“ไม่อยากจะเชื่อเลย! เจ้าทำได้ยังไงกันน่ะ? นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเกินไปแล้วนะ!”
*****************************************