เป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเทาที่ดูธรรมดาๆไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป
นอกจากนี้เขายังมีแผลเป็นบนใบหน้าที่เพิ่มความหน้าน่าเกลียดน่ากลัวให้กับเขา
โจวฉีหรี่ตา
นี่เป็นมนุษย์คนแรกที่เขาได้เห็นในวันนี้ที่ไม่มีหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้ามันทำให้เขารู้สึกแปลกเล็กน้อย
เขาไม่โง่พอที่จะถามว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นใครเพราะไม่นานเด็กหนุ่มคนนี้ต้องตายอยู่แล้ว
ร่างตรงหน้าเดินเข้ามาหาโจวฉีด้วยความเร็วธรรมดาๆ
ฟุ้บดาบแห่งความตายในมือของโจวฉีถูกเขวี้ยงออกไป มันเร็วมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ต้นไม้ขนาดยักษ์ด้านหลังเด็กหนุ่มแยกออกเป็นสองส่วนทันทีควันสีเทาเข้าปกคลุม ต้นไม้พลันเหี่ยวแห้งในฉับพลัน
มันเป็นการโจมตีที่ทรงพลัง
อย่างไรก็ตามสีหน้าของโจวฉีกลับเปลี่ยนไป
เพราะการที่ต้นไม้เหี่ยวแห้งนั้นหมายความว่าดาบแห่งความตายของเขาพลาดเป้า
คมดาบที่เคยสังหารตัวตนระดับเทพเจ้ามานับไม่ถ้วนกลับถูกมนุษย์สองคนหลบเลี่ยงสองครั้งติดต่อกันมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาดูอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ
โจวฉีก้าวถอยหลังเหงื่ออันเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากของราวกับเขากำลังเจอเทพแห่งความตาย
แน่นอนว่าดวงตาคู่นั่นที่จ้องมองเขาเป็นสีแดงที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน อักขระสีแดงเลือดแปดตัวส่องแสงจางๆมันเป็นสัญลักษณ์โบราณ
วิชาสังเวยเลือด!
เจ้า…เจ้าคือหนานกงเฮา?!ไม่มีทาง หนานกงเฮาได้ตายไปแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะมีชีวิตอยู่?! โจวฉีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้เห็นสัญลักษณ์ของวิชาสังเวยเลือดในดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า
แม้เขาจะมาจากอีกยุคหนึ่งแต่ก็รู้เรื่องเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในยุคปัจจุบัน
วิชาสังเวยเลือดหนานกงเฮา ลูกหลานของจักรพรรดิหยาน เขาจะไม่รู้เรื่องสำคัญเช่นนี้ได้ยังไง?
ข้าชื่อหนานกงมู่! ขณะที่เด็กหนุ่มพูด วงแหวนสีแดงขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นเหนือหัวของเขา จากนั้นโซ่เปื้อนเลือดสองเส้นก็พุ่งมาหาโจวฉี
หนานกงมู่?!น้องชายที่ไร้ประโยชน์ของหนานกงเฮา… …
บนหน้าผาด้านหน้าศาลาเต๋าสวรรค์ปิงหยางกำลังอุ้มฟางเจิ้งจือขณะที่นางพยายามคลานลงจากหน้าผาไป หลังจากลองยาหลายชนิดนางได้ตัดสินใจตามหาคนที่สามารถรักษาฟางเจิ้งจือได้ต่อให้ต้องเปิดเผยตัวตนของตัวเองก็ตาม
เจ้าไร้ยางอายเจ้าจะตายไม่ได้…
เจ้ายังเด็กอยู่เลย!เจ้าอายุแค่สิบแปดปีเท่านั้น อนาคตที่สดใสกำลังรอเจ้าอยู่…
ใช่แล้วเจ้ายังมีข้ากับพี่เหยียนอยู่ เจ้าต้องเข้มแข็ง ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องแย่ๆกับเจ้า!
…
ปิงหยางยังคงพูดไปเรื่อยๆขณะที่พยายามคลานลงจากผานางหวังว่าฟางเจิ้งจือจะตื่นหลังจากได้ยินเสียงของนาง
อย่างไรก็ตามน่าเศร้าที่ไม่ว่านางจะพูดอะไรฟางเจิ้งจือก็ไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น
นั่นหมายความว่าค่ำคืนได้ผ่านไปแล้วอีกเพียงสองชั่วโมงจะถึงเวลาเที่ยงวัน
นางควรทำเช่นไรดี?
ปิงหยางถามตัวเองซ้ำๆนางพลันนึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเองและรู้ถึงความน่ากลัวเมื่อไม่มีฟางเจิ้งจืออยู่ด้วย
แต่ปิงหยางไม่ได้รูเลยว่าฟางเจิ้งจือได้เข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งเขากำลังจ้องมองหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นานแล้วที่เขาไม่ได้พบกับหญิงสาวในชุดสีขาวเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ได้พบนางอีกครั้ง นางยืนอยู่ห่างจากเขาประมาณหนึ่งเมตร มันเพียงพอให้เขาเห็นรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน
การที่เห็นนางเข้ามาใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรกทำให้ฟางเจิ้งจือกตกตะลึงกับใบหน้าของนาง มันดูคล้ายกับฉือกูเหยียนมากแต่บรรยากาศรอบๆตัวของนางเหมือนกับดอกบัวที่เพิ่งงอกขึ้นมาจากโคลนตม
หยุนชิงวู?
ฉือกูเหยียน?
ฟางเจิ้งจือไม่รู้จะอธิบายหญิงสาวตรงหน้าออกมาเช่นไร
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดคือมีดวงตาราวกับอัญมณีอยู่บนหน้าผากของนาง
ปีศาจ?!
หญิงสาวตรงหน้าเขาเป็นปีศาจ?!
นี่เป็นความคิดแรกหลังจากที่เขาเห็นอย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธความเป็นไปได้นี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาดวงนั้นต่างกับของปีศาจ
มันไม่เหมือนดวงตาปีศาจทั่วไปหรือรอยแผลเป็นบนหน้าผากของโจวฉี
ท่านเป็นใครกันแน่? นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งจือถามคำถามนี้ออกไป เจ้าควรกังวลเรื่องความเป็นความตายของตัวเองมากกว่า หญิงสาวในชุดสีขาวกล่าวออกมาเรียบๆ
ความเป็นความตาย?
ถูกต้องตามข้ามา หญิงสาวในชุดสีขาวเดินไปด้านหน้า เท้าเปลือยเปล่าของนางเหยียบย่ำลงบนผืนหญ้าเขียวขจี
โลกข้างหน้าของเขาเป็นโลกที่ผืนหญ้าทอดยาวออกไปพร้อมกับดอกไม้สีม่วงที่บานอยู่ข้างๆ
กลีบดอกไม้ที่เปล่งประกายราวกับถูกสร้างขึ้นด้วยหยกเกสรที่อยู่ด้านในราวกับถูกสร้างขึ้นด้วยเพชร
มันคือดอกไม้อะไรกันแน่? ฟางเจิ้งจือเคยเห็นดอกไม้แปลกๆมามากมายโดยเฉพาะที่หอคอยหลิงหยุน
เจ้าเคยได้ยินเรื่องดอกไม้แห่งพรมแดนไหม?
ดอกไม้แห่งพรมแดน? ใช่แล้วดอกไม้ที่บานสะพรั่งที่พรมแดนระหว่างโลกแห่งความเป็นและตาย หญิงสาวในชุดขาวพยักหน้า
งั้นนี้ก็คือพรมแดนระหว่างโลกของคนเป็นและโลกแห่งความตาย? ฟางเจิ้งจือเหยียดมือไปใกล้ดอกไม้อย่างระมัดระวัง
หญิงสาวในชุดขาวไม่ได้หยุดฟางเจิ้งจือ
แกร้ง!
ดอกไม้ด้านหน้าฟางเจิ้งจือแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยทันที
สายลมอันอ่อนโยนเพียงพัดผ่านเศษฝุ่นสีม่วงก็ปลิวไป
ไปกันเถอะ หญิงสาวในชุดขาวไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางหันหลังและเริ่มเดินออกไป
พวกเราจะไปไหนอีกงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือเพิ่มคำว่า’อีกครั้ง’ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางเจิ้งจือเดินไปกับนาง
ไปยังสถานที่ที่เจ้าต้องการจะไป สถานที่ที่ข้าต้องการจะไป? ฟางเจิ้งจืออยากจะถามว่านางรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากไปที่ไหน แต่หลังพิจารณาบางอย่างเขาตัดสินใจไม่พูดออกไป
แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปที่ใด ขณะที่ฟางเจิ้งจือกำลังจะก้าวเท้า เสียงของนางก็ดังขึ้น
… ฟางเจิ้งจือตกตะลึง เขามองหญิงสาวในชุดขาวราวกับเขามองเห็นสัตว์ประหลาด
ข้าเป็นสัตว์ประหลาด
หา?
แต่ข้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เจ้ารู้จัก
แล้วท่านเป็นสัตว์ประหลาดอะไรเหมือนพวกสัตว์ประหลาดในตำนานหรือเปล่า? ฟางเจิ้งจือรู้ว่านางอ่านใจเขาได้ เขาจึงไม่สนใจอะไรอีกแล้วพูดออกมาดังๆ
บุคลิกของเจ้าคล้ายกับเขาจริงๆ
เขา?ใครงั้นรึ?
คนที่เจ้ายังไม่รู้จัก หลังจากพูดจบหญิงสาวก็เดินไปข้างหน้าต่อทันที
คนที่ข้ายังไม่รู้จัก?งั้นข้าจะได้รู้จักเขาในอนาคตงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือสับสนมาก แต่เขาก็รีบตามหญิงสาวไป
บางที หญิงสาวในชุดขาวยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ท่านเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกขังอยู่งั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือถามขึ้นมาอีกครั้ง
… หญิงสาวในชุดขาวไม่ตอบ
ถ้าเป็นแบบนั้นข้าอาจจะช่วยปล่อยท่านได้ ท่านได้ช่วยข้าไว้หลายครา เพียงท่านบอกมาว่าท่านถูกขังอยู่ที่ไหน?
… หญิงในชุดขาวยังคงเงียบ
ท่านไม่รู้งั้นหรือ?เดี๋ยวก่อน หรือท่านกำลังรอร่างเพื่อจุติ? ข้าเป็นผู้ชายร่างของข้าคงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ใช่แล้ว เต๋าซิงจากศาลาหยินหยาง นางเป็นตัวเลือกที่ดี นางให้ความรู้สึกคล้ายๆกับท่าน พอข้าฆ่านางแล้วท่านก็เอาศพของนางไป ฟางเจิ้งจือกล่าวหลังจากหยุดคิดชั่วครู่
ข้าไม่จำเป็นต้องการรับช่วงต่อร่างกายของนาง ในที่สุดหญิงในชุดขาวก็กล่าวออกมา
ท่านไม่ต้องการงั้นหรือ? ฟางเจิ้งจือยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เดี๋ยวก่อน!
รับช่วงต่อ!
มันไม่ใช่คำพูดที่คนโลกนี้ใช้กัน
ตามความเข้าใจของฟางเจิ้งจือเขาไม่เคยได้ยินใครในโลกนี้ใช้คำว่า’รับช่วงต่อ’มาก่อน
มันแปลกแปลกมาก!
หรือหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้าเขาจะไม่ใช่คนของโลกนี้เช่นกัน?
ฟางเจิ้งจือไม่แน่ใจเพราะเขาไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้
แต่โลกนี้มีเรื่องลึกลับมากมายอย่างเช่นทำไมตำนานในโลกเก่าของเขาถึงปรากฎขึ้นในโลกนี้ด้วย? ยิ่งกว่านั้นตำนานเหล่านั้นยังเป็นเรื่องจริง
ผ่านไปสิบห้านาที…
ผ่านไปสามสิบนาที….
ฟางเจิ้งจือไม่รู้ว่าเขาตามหญิงสาวตรงหน้ามานานแค่ไหนแล้วแต่เขารู้ว่าดินแดนที่ดอกไม้สีม่วงบานได้หายไปแล้ว
เบื้องหน้าเขาเป็นดินแดนสีดำที่แห้งแร้งพร้อมกับดินที่แตกระแหงมีทั้งภูเขาสีดำ หินสีดำ
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นสีดำ
ที่นี่คือโลกแห่งความตายหรือเปล่า?หรือที่นี่คือนรก?
ในไม่ช้าดินแดนสีดำได้หายไปด้านหน้าเขาเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยลาวา ราวกับพวกเขาได้ลงมาใต้ดินโดยไม่รู้ตัว อากาศอันร้อนระอุ เปลวไฟที่ลุกโชนอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นหญิงสาวในชุดสีขาวก็หยุดเดินอยู่บนทางแคบๆที่อยู่ระหว่างกลางลาวา
พวกเราไม่เดินต่อแล้วหรือ? ฟางเจิ้งจือถาม
อืมพวกเราถึงที่แรกแล้ว หญิงสาวพยักหน้าจากนั้นก็ชี้ไปยังลาวา
ที่แรก?แล้วยังไงต่อ? ฟางเจิ้งจือถามอีกครั้ง
กระโดดลงไป
กระโดดลงไป?!ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือไงกัน?!
ถ้าเจ้าไม่อยากตาย หญิงสาวในชุดขาวยังคงนิ่งสงบ นางตอบกลับอย่างใจเย็น
ข้าไม่อยากตายแต่ข้าคงตายแน่นอนถ้ากระโดดลงไป ยิ่งไปกว่านั้นทำไมข้าถึงจะตาย? ข้ายังมีชีวิตอยู่จะตายได้ยังไง? ฟางเจิ้งจือไม่สามารถหยุดความอยากรู้อยากเห็นได้
เขาเห็นหญิงสาวในชุดขาวทันทีที่เข้ามาในโลกนี้จากนั้นนางก็บอกว่าเขาตายไปแล้วหลังจากไม่ได้พบกันมานาน นางจะช่วยพูดอะไรที่เป็นมงคลกับเขาหน่อยได้ไหม?
เจ้าลืมเรื่องดาบแห่งความตายที่เจ้ารับแทนปิงหยางไปแล้วงั้นหรือ? หญิงในชุดขาวกล่าวเตือน
ดาบแห่งความตาย? ฟางเจิ้งจือตกตะลึง เขาจำตอนที่เขาต่อสู้กับโจวฉีได้
อย่างไรก็ตามหญิงสาวตรงหน้าเขารู้ได้ยังไง?นางมีตัวตนบนโลกจริงด้วยงั้นหรือ? นางรู้ได้ยังไงว่ามีสิ่งที่เรียกว่าดาบแห่งความตาย?
……………………………………..
��