“ตื่นแล้วงั้นเหรอ?”
ซู่เจินค่อย ๆ ลืมตาของเขาขึ้นมา พร้อมกับได้ยินเสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นมาข้าง ๆ หูของเขา ทำให้เขาหันไปมองแล้วก็พบว่าซิฟกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาและมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง
“อืม…ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนงั้นหรอ”
ซู่เจินหันไปพูดกับซิฟ พร้อมกับลุกขึ้นมานั่งและความทรงจำก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา เขาจำได้ว่าเขาใช้อุณหภูมิสูงถึงระดับของซูเปอร์โนวาและจัดการกับมาเลคิธได้อย่างง่ายดาย! หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะหมดสติไปจากการใช้พลังมากเกินไป
แน่นอนว่าความสามารถเปลวเพลิงของ Human Torch นั้นแข็งแกร่งมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่กาแลคตัสยังต้องส่งคนมาตามล่าตัวของ Human Torch ในภายหลัง!
“ที่นี่คือบ้านของข้า!”
ซิฟพูดขึ้นมาเบา ๆ
“บ้านของคุณ ?”
ซู่เจินมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย เอ่อ … พูดตามตรงเขามองยังไงห้องนี้มันก็ไม่เหมือนห้องนอนของผู้หญิงเลยสักนิด แต่เมื่อเขาลองคิดดูว่าซิฟมีลักษณะนิสัยยังไง เขาก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“หลังจากที่เจ้าสามารถเอาชนะมาเลคิธได้และหมดสติไปข้าก็พาเจ้ามาที่บ้านของข้า และข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมีพลังมากมายขนาดนั้น โดยที่ไม่ใช้พลังของอนุภาคอีเทอร์ แต่หน้าเสียดาย…..เพราะว่ามาเลคิธมันสามารถหนีไปได้!” ซิฟพูดขึ้นมาและส่ายหัวด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
ในตอนนี้ซู่เจินก็พบว่าน้ำเสียงของซิฟนั้นอ่อนโยนมาก เมื่อเขาพูดกับเธอมันไม่ได้มีความรู้สึกเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“หนีไปได้?”
ซู่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่ามาเลคิธนั้นตายไปแล้วจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถหนีรอดไปได้อย่างปาฏิหาริย์
ผู้นำของเผ่าดาร์กเอลฟ์นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่ถึงยังไงซู่เจินก็สามารถชนะเขาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นครั้งที่สองก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร และถ้าเกิดว่าเขาสามารถกลืนกินอนุภาคอีเทอร์ได้จดหมด มาเลคิธก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป!
“ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?” ซู่เจินถามขึ้นมา
“ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่!” ใบหน้าของซิฟรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย “ครั้งนี้เหล่าดาร์กเอลฟ์ยกกำลังพลมาจำนวนมากมายและทำการโจมตีแอสการ์ด ทำให้แอสการ์ดได้รับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้โอดินก็ได้จัดเตรียมกำลังพลเตรียมพร้อมที่จะเอาคืนพวกดาร์กเอลฟ์ให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไป!”
“ดังนั้น…”
ด้วยนิสัยของโอดินเขาจะไม่ยอมอดทนต่อคนที่กล้ามายั่วยุเขาและ อีกไม่นานมาเลคิธก็คงกลายเป็นหนึ่งในรายชื่อที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก อนุภาคอีเทอร์!
อยากไรก็ตามมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่แล้ว เพียงแค่รอให้จบการแข่งขันของอาณาจักรทั้งเก้าโลก แม้ว่ามาเลคิธจะตามหาตัวเขามันก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะว่ามันไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาลแห่งเอกภพทั้งเก้าอยู่อีกแล้ว ดังนั้นการที่จะทำให้โลกกลับสู่ความมืดมิดนั้นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าหากว่าไม่มีพลังของอนุภาคอีเทอร์
“คุณจะไม่เสียใจแน่นะที่คุณจะต้องไปเดทกับผม?” ซู่เจินมองไปที่ซิฟและพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ซิฟตัวแข็งค้างไปชั่วขณะและใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย และเธอก็พยักหน้าขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ไม่แน่นอน เพราะเจ้าเป็นนักรบที่กล้าหาญ แล้วทำไมข้าจะต้องปฎิเสธที่จะต้องไปเดทกับเจ้าด้วยล่ะ!”
“เจ้าอาจจะยังไม่รู้นะว่า ตอนนี้เจ้าน่ะได้กลายเป็นฮีโร่ของชาวแอสการ์ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการที่เจ้าสามารถฆ่านักรบต้องสาปได้และยังช่วยหยุดยั้งการโจมตีของดาร์กเอลฟ์ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีผู้หญิงกี่คนในแอสการ์ดที่ต้องการที่จะออกเดทกับเจ้า” ซิฟพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม .
เมื่อเห็นรอยยิ้มของซิฟ ซู่เจินก็รู้สึกว่าตัวเองโง่ลงเล็กน้อยและจับไปที่มือของเธอโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดว่า “รอยยิ้มของคุณมันสวยมาก ดังนั้นคุณควรยิ้มให้มาก ๆ กว่านี้ในอนาคต เพราะว่าผมชอบรอยยิ้มนี้ของคุณแต่ … คุณจะต้องยิ้มให้ผมแค่คนเดียวเท่านั้น!”
ซิฟไม่ได้ตอบ แต่เธอกับพยักหน้าด้วยความเขินอาย
เมื่อซู่เจินเห็นท่าทางของเธอแบบนั้น เขาก็ถามเธอขึ้นมาว่า “ผมได้ยินมาว่าคุณชอบนักรบที่แท้จริงเท่านั้นไม่ใช่หรอ และมันควรจะมีนักรบอยู่ในแอสการ์ดจำนวนมาก และคุณก็น่าจะเคยเจอกับพวกเขาแล้วด้วย ดังนั้นถ้าเกิดว่าคุณเจอคนที่ดีกว่าผม คุณจะไม่ทิ้งผมไปอย่างงั้นหรอ?”
รอยยิ้มของซิฟหายไปทันทีและพูดขึ้นมาอย่างโกรธเคืองว่า“ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ? แน่นอนว่าข้าชอบนักรบที่แข็งแกร่ง ก็เพราะว่ามีเพียงแค่นักรบที่แข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้น ที่สมควรที่จะได้รับความรักจากข้าไป! และข้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงหลายใจเช่นนั้นอย่างที่เจ้าคิดด้วย และแน่นอนว่าในอนาคตอาจจะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา แต่ถ้าเจ้าพยายามฝึกฝนอย่างหนักเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน”
“ผมค่อนข้างโล่งใจเลยนะที่คุณพูดขึ้นมาแบบนี้ ฮ่าฮ่า … ผมขอแค่ให้คุณเชื่อใจผมและขอเวลาให้ผมอีกสักหน่อย… ผมจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ และไม่มีใครสามารถสู้ผมได้อีกต่อไป!” ซู่เจินที่รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
จากนั้นซิฟก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและตบไปที่เขาด้วยความโกรธและพูดว่า “เจ้ากล้าหลอกข้างั้นหรอ! และข้าบอกเจ้าตอนไหนว่าให้จับมือของข้าได้ ? ข้าบอกกับเจ้าว่าจะไปเดทด้วยแค่นั้นไม่ใช่หรอ!”
“มันไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ชายคนแรกที่เดทกับคุณและเป็นผู้ชายคนสุดท้ายที่ได้อยู่กลับคุณ! ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายอื่นอะไรให้คุณได้คิดมากมาย ดังนั้นแล้วคุณจะไปเดทกับผมตอนไหนงั้นหรอ?” ซู่เจินถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าปล่อยมือของข้าก่อน!” ซิฟพูดขึ้นมาอย่างโกรธ ๆ
แทนที่ซู่เจินจะปล่อยมือ เขากับบีบมันแน่นยิ่งขึ้นกว่า “แน่นอนว่าการออกเดทเราจะต้องจับมือกัน”
“จริงงั้นหรอ” ซิฟไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้มากนัก เพราะว่าชีวิตของเธอมีแต่การออกกำลังกายและฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ และเธอก็ไม่เคยออกเดทมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต แถมเธอยังไม่เคยเห็นว่าคนอื่นเขาออกเดทกันยังไงอีกด้วย
“จริงสิ ผมไม่โกหกคุณหรอก! แล้ววันนี้คุณว่างไหม ? เพราะดูเหมือนว่าข้างนอกจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราไม่ควรที่จะออกไปข้างนอกจะดีกว่า แถมการอยู่ที่บ้านของคุณก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง!”
“แล้วเราจะทำอะไรกันดี?” ซิฟถามขึ้นมาด้วยความมึนงง
ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “ผมสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเลยล่ะ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำอะไร ขอแค่เพียงให้ผมได้อยู่กับคุณ ผมก็มีความสุขมากแล้วล่ะ!”
“คนกะล่อน!”
ซิฟพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แต่การแสดงออกของเธอนั้นไม่ได้โกรธเลยสักนิด แต่กลับมีอาการงุนงงเล็กน้อย
เทพธิดาแห่งความเย็นชาในตอนนั้น กำลังทำตัวเป็นเด็กน้อยแสนน่ารักต่อซู่เจิน นี่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่โดยแท้และมันคงมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เธอจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาให้เห็น! . . . .