ในตอนนี้โอลิเวอร์ควีนได้เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาในตอนนี้กําลังใส่ชุดเครื่องแบบสีเขียวที่มีสู้ดคลุมหัว พร้อมกับคันธนูและลูกธนูที่สะพายอยู่ด้านหลังของเขา และยังไม่หมดแค่นั้นที่ดวงตาของเขายังมีหน้ากากสีเขียวที่แนบชิดเข้าไปกับใบหน้าของเขาอีกด้วย ทําให้โอลิเวอร์ควีนในตอนนี้ดูเท่มาก และหลังจากที่ซู่เจินเห็นเช่นนั้นเขาก็ลองเสกคันธนูและลูกธนูออกมาทําท่าทางเรียนแบบโอลิเวอร์ควีนดูซึ่งมันก็ให้ความรู้ดีแบบแปลก ๆ!
“ถ้าเกิดว่าคุณว่างช่วยสอนวิธีการยิงธนูให้ผมหน่อยได้ไหม?” ซู่เจินหันหน้าไปหาโอลิเวอร์ควีนและพูดขึ้นมา
เมื่อโอลิเวอร์ควีนได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “คุณมีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนั้น … แล้วคุณจะฝึกยิงธนูไปทําไมอีก ?”
“เอ่อ … มันรู้สึกเท่ดี!”
เมื่อโอลิเวอร์ควีนได้ยินคําตอบของซู่เจิน มันก็ทําให้เขาถึงกับหมดคําจะพูดทันที ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซู่เจินกําลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เท่ ? รู้สึกดี ? มันช่างเป็นเหตุผลที่ทําให้เขาอยากจะเอาลูกธนูปักไปที่หัวของเขาจริง ๆ ถ้าเกิดว่า …. เขาทําได้น่ะนะ!
“ไปกันเถอะ!”
แน่นอนว่าซู่เจินแค่ล้อเล่นเท่านั้น หลังจากนั้นซู่เจินก็ใช้พลังห่อหุ้มร่างกายของโอลิเวอร์ควีนเอาไว้ และพวกเขาทั้งสองก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว
ณ ท่าเรือ
ในตอนนี้ซอมเมอร์กําลังยัดข้าวของลงกระเป๋าของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมตัวหนี ซึ่งหลังจากที่เขาจัดเตรียมของอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปถามกับคนข้าง ๆ ว่า “เรือพร้อมแล้วหรือยัง ? ”
ลูกน้องของเขาหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและติดต่อหาใครบางคนทันที “วอลเลซเรือพร้อมแล้วหรือยัง?”
มีเสียงซ่าดึงขึ้นมาจากวิทยุสื่อสารปลายสาย แต่ก็ไม่มีคนพูดออกมา
และเมื่อเขาเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เขาจึงลองเรียกวอเลซอีกสองสามครั้ง แต่มันก็ยังไม่มีใครตอบกลับมาเช่นเดิม ทําให้ซอมเมอร์เริ่มมีปฏิกิริยาทันที
“วอลเลซไม่อยู่แล้ว มีแต่ฉัน!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมาจากวิทยุสื่อสาร
เมื่อซอมเมอร์ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงนั้นคือแอร์โรว์อย่างแน่นอน
“เราต้องไปเดี๋ยวนี้ เร็ว!”
หลังจากพูดจบซอมเมอร์ก็เดินถือเป๋าจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนของซอมเมอร์ ลูกน้องคนนั้นก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ” ข้างนอกมีคนเฝ้าหกคนนะ”
“ยังไม่พอ … เร็วเข้า!” ซอมเมอร์พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉึก!”
ลูกธนูบินออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร่างคน ๆ หนึ่งที่ล้มลงกับพื้น
โอลิเวอร์ควีนรีบหยิบลูกธนูออกมาและนําไปวางบนคันธนู พร้อมกับง้างมันสุดแรงและปล่อยมันออกไปทันที ทันใดนั้นก็มีคนล้มลงไปกับพื้นอีกคนหนึ่ง
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนก็ดังขึ้น ทําให้โอลิเวอร์ควีนรีบหันไปมองทันที และเขาก็พบว่ามีโล่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมากันลูกกระสุนเอาไว้ให้กับเขา ซึ่งคนที่ถือปืนก็มองไปที่โล่ขนาดใหญ่อันนั้นด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ขอบคุณ!”
โอลิเวอร์ควีนหันไปมองที่ซู่เจินและตะโกนขึ้นมาทันที เมื่อซู่เจินได้ยินแบบนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับกระแทกโล่เข้าใส่ชายคนนั้น ทําให้เขากระเด็นไปกระแทกกับพื้นและหมดสติไปทันที
ในขณะเดียวกันบริเวณรอบ ๆ ของพวกเขาในตอนนี้ก็มีลูกน้องของซอมเมอร์อยู่มากมาย และมันก็ค่อนข้างจะดูวุ่นวายเล็กน้อย ซึ่งซู่เจินก็ขี้เกรียจเกินไปที่จะจัดการกับคนพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงคอยช่วยสนับสนุนโอลิเวอร์ควีนอยู่ห่าง ๆ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สามารถจัดการคนพวกนี้ได้ทั้งหมด
และเมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นว่าซอมเมอร์ได้หลบหนีไปตอนที่เขากําลังสู้อยู่ ทําให้เขารีบวิ่งตามซอมเมอร์ไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นซอมเมอร์ก็วิ่งเร็วมาก เพราะว่าเขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ทําให้เขาสามารถหลบหนีโอลิเวอร์ควีนมาได้อย่างหวุดหวิว!
“ไอ้เวรเอ้ย!”
ทําให้อลิเวอร์ควีนในตอนนี้รู้สึกโกรธตัวเองเป็นอย่างมาก และไม่ได้วิ่งไล่ตามซอมเมอร์อีกต่อไป
ทันใดนั้นซู่เจินก็บินเข้าไปหาโอลิเวอร์ควีนและพูดว่า “ปล่อยเรื่องของเขาให้ผมเป็นคนจัดการเอง ส่วนคุณก็รีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่ตํารวจจะมาถึง”
โอลิเวอร์ควีนรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถตํารวจดังขึ้นมาจากระยะไกล ทําให้เขาหันไปพูดกับซู่เจินว่า “อย่าปล่อยให้มันรอดไปได้!”
หลังจากนั้นโอลิเวอร์ควีนก็รีบหนีออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขาเชื่อว่าซู่เจินจะไม่ทําพลาดอย่างแน่นอน!
ในขณะเดียวกันทางด้านของซอมเมอร์ในตอนนี้เขาก็กําลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาพยายามหันหน้าไปมองด้านหลังเป็นระยะ ๆ ด้วยความกังวล เพราะถ้าเกิดว่าเขาสามารถไปถึงที่เรือได้เขาก็จะปลอดภัยอย่างแน่นอน! และเมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับหันหน้ากลับมาและวิ่งต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีคนกําลังยืนรอเขาอยู่ตรงหน้า ทําให้เขาถึงกับตกใจและรีบวิ่งหนีไปทางอื่นทันที แต่ทันใดนั้นก็มีเชือกสีเขียวเข้มมาพันร่างกายของเขาเอาไว้ พร้อมกับแขวนเขาเอาไว้กับแท่นเหล็กด้านบนทันที
“คุณ … “ ซอมเมอร์กําลังจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ซู่เจินค่อย ๆ ลอยขึ้นไปอยู่ตรงหน้าของซอมเมอร์อย่างช้า ๆ พร้อมกับยกมือของเขาขึ้นมา
“ผัวะ!” ”ผัวะ!” ”ผัวะ!”
ซู่เจินตบไปที่หน้าของซอมเมอร์จํานวนหลายครั้งติดต่อกัน ทําให้ใบหน้าของซอมเมอร์ในตอนนี้บวมเหมือนกับหัวหมู
“เงยหน้าขึ้นมาซะ!”
ซู่เจินหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา พร้อมกับตั้งค่าให้มันบันทึกเสียงเอาไว้ และเขาก็หันไปพูดกับซอมเมอร์อย่างเย็นชา ทันใดนั้นซอมเมอร์ที่ยังคงมึนหัวอยู่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้
หลังจากที่ซอมเมอร์จ้องมองไปที่ดวงตาสีดําสนิทของซู่เจิน มันก็ค่อย ๆ ทําให้เขาเริ่มสูญเสียจิตวิญญาณของเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานซู่เจินก็วางโทรศัพท์ของเขาลงด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับเก็บพลังจิตของเขากลับคืนมา
ทันใดนั้นร่างของซอมเมอร์ก็ตกลงมากระแทกกับพื้นและหมดสติไป
” หยุดอย่าขยับ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของซู่เจิน ทําให้เขาค่อย ๆ หันไปมองอย่างช้า ๆ และเมื่อเขาหันมาจนสุดเขาก็พบเข้ากับเจ้าหน้าที่ตํารวจคนหนึ่งที่กําลังยืนชี้ปืนมาทางเขาอยู่นั่นก็คือ เจ้าหน้าที่แลนซ์พ่อของลอเรล
“คุณคือกรีนแลนเทิร์นงั้นหรอ ? ฉันรู้สึกขอบคุณคุณมากที่ได้ช่วยชีวิตลูกสาวของฉันเอาไว้ แต่ตอนนี้ … คุณควรไปที่สถานีตํารวจกับฉันจะดีกว่า” เจ้าหน้าที่แลนซ์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ
ซู่เจินยักไหล่เบา ๆ และพูดว่า “ผมกลัวว่าจะทําแบบที่คุณต้องการให้ไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ปิดบังตัวตนของตัวเอง แต่ผมก็ไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นผมขอตัวก่อน!”
หลังจากพูดจบซู่เจินก็ค่อย ๆ บินขึ้นไปบนฟ้าและเตรียมที่จะจากไป
เจ้าหน้าที่แลนซ์ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าซู่เจินกําลังบินอยู่ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มกระวนกระวายกลัวว่าซู่เจินจะหนีไปได้ ทําให้เขายิงปืนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ปัง! ปัง!”
กระสุนทั้งสองนัดตรงไปที่หน้าของซู่เจินอย่างแม่นยํา แต่มันก็ถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยโล่พลังของแหวนกรีนแลนเทิร์นอย่างรวดเร็ว
ซู่เจินไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่แลนซ์จะกล้ายิงเขาจริง ๆ เพราะถึงยังไงเขาก็คือคนที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเขาเอาไว้ไม่ใช่หรอ ? แถมเขายังช่วยจับตัวของมาร์ติน ซอมเมอร์มาให้อีก ?
ซู่เจินจ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่แลนซ์พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็บินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันทางด้านของเจ้าหน้าที่แลนซ์ก็รู้สึกว่าหลังของเขาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยเหงื่อที่เปียกโชกเต็มไปหมด
“เป็นไงบ้าง?”
หลังจากที่ซู่เจินบินออกมาจากท่าเรือ เขาก็รีบไปหาโอลิเวอร์ควีนทันที และเมื่อโอลิเวอร์ควีนเห็นซู่เจินเขาก็รีบถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“จับตัวส่งให้กับตํารวจไปแล้ว!”
“ดีแล้ว!”
โอลิเวอร์ควีนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และพูดขึ้นมาด้วยความกังวลว่า “จับเขาไปก็เท่านั้น เพราะว่าเราไม่มีหลักฐานที่จะสามารถมัดตัวของเขาได้เ”
“งั้นผมขอตัวก่อน เพราะว่าผมยังมีธุรอย่างอื่นที่ต้องไปทํา ส่วนเรื่องของซอมเมอร์คุณไม่ต้องเป็นห่วง ดังนั้นตอนนี้คุณควรกลับไปพักผ่อนและรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
โอลิเวอร์ควีนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคําพูดของซู่เจิน ทันใดนั้นซู่เจินก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นมาว่า ค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 5%
ทําให้ซู่เจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยซู่เจิน
ดังนั้นเวลาที่เหลือเขาจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทําให้ภารกิจสําเร็จให้ได้
หลังจากซู่เจินแยกตัวออกมาจากโอลิเวอร์ควีน เขาก็มุ่งหน้ากลับไปหาเฟลิเซ่ที่โรงแรมทันทีพร้อมกับเล่าเหตุการณ์คราว ๆ ให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเฟลิเซ่ก็นั่งฟังด้วยความจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าเธอชอบการกระทําที่กล้าหาญของแฟนเธอมาก!
” ที่รักเฉันมีเรื่องอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกคุณ แต่คุณจะต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธฉัน หลังจากที่ฉันได้พูดไปแล้ว!” เฟลิเซ่ทําสายตาอ้อนวอนเล็กน้อย และค่อย ๆ จับไปที่แขนของซู่เจิน
“ผมสัญญา! ไหนคุณลองพูดมาสิ”
“ฉัน ฉันจะต้องรีบกลับไปที่บริษัทเพราะว่ามันดันมีเรื่องด่วนขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถอยู่กับคุณที่นี่ได้” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาอย่างขอโทษ
ซู่เจินตกตะลึงเล็กน้อย ”ผมก็คิดว่าเรื่องอะไร ถ้าเกิดว่ามันเร่งด่วนจริง ๆ คุณก็กลับไปก่อนเลยก็ได้ เพราะถึงยังไงอีกสองสามวันผมจะต้องออกไปทําธุรข้างนอกอยู่ดีและจะกลับมาอีกทีก็ครึ่งเดือนให้หลัง ดังนั้นเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง มันจะได้ประหยัดเวลา!”
“ที่จริง เรามาทําอะไรบางอย่างก่อนที่จะจากกันดีไหม ?” เฟลิเซ่พูดขึ้นมาเบา ๆ
ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ และพูดว่า “คุณแน่ใจงั้นหรอ ? ไม่แน่คืนนี้คุณอาจจะไม่ได้กลับไปที่บริษัทนะ!”