พร้อมกับยกริมฝีปากของนางขึ้นเล็กน้อย ซูมู่เกอฝืนยิ้มออกมา แต่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นในดวงตาของนาง น่าเสียดายที่อารมณ์ของนางถูกคนเหล่านี้เพิกเฉยเพราะพวกเขาจมจ้องอยู่กับสิ่งที่นางอาจจะนำกลับมาด้วย
“ข้าทิ้งทุกอย่างไว้ที่ในเมือง ข้าจะนำพวกเขามาให้ท่านยายเมื่อข้าจะกลับ”
ตอนนี้พวกเขาได้คำตอบแล้ว ครอบครัวจ้าวแยกย้ายกันไปหลังจากพูดคุยสบายๆกับซูมู่เกอ
จ้าวหมิงเสนอที่จะรับรองนางโดยให้นางใช้ห้องนอนร่วมกับลูกสาวคนโต แต่ถูกปฏิเสธ มู่เกอบอกเขาว่านางต้องดูแลนางจาง
“เจ้ารู้ไหมว่าน้องสาวของเจ้าเอาของดีอะไรมาให้เราบ้าง? ต้าหรางกำลังจะไปยื่นข้อเสนอ และของกำนัลจากในเมืองจะสมบูรณ์แบบอย่างสมศักดิ์ศรี” นางหวังกลับไปที่ห้องของนางและความโลภบนใบหน้าของนางนั้นชัดเจนเกินกว่าจะปกปิด
จ้าวชุนนั่งอยู่ด้านข้างและคำพูดเหล่านั้นทำให้เขานึกถึงใบหน้าอันสกปรก แต่บอบบางของซูมู่เกอ
“ท่านแม่ เด็กสาวบ้านป่าในแถบนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแข่งขันกับลูกพี่ลูกน้องของข้าได้”
คำพูดไม่ได้ตั้งใจที่หลุดออกจากปากของจ้าวชุนทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบลงในทันที
ดวงตาของนางสว่างไสวด้วยความตื่นเต้น นางหวังมองไปที่จ้าวเต๋อ
“ลูกชายของเราพูดถูก! เด็กสาวบ้านป่าในหมู่บ้านแถบนี้ไม่มีใครเป็นลูกสาวที่เกิดจากครอบครัวที่รับราชการ เนื่องจากซูมู่เกอเป็นลูกสาวของน้องสาวคนเล็กของท่านพี่ ทำไมไม่แต่งงานกับนางและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของเราทั้งสองล่ะ?”
จ้าวเต๋อเคยเป็นธุระจัดหาให้ใครๆในเมืองและด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะเกรงใจภรรยามาก
“น้องเขยของข้าจะพอใจและยอมรับกับเรื่องนี้ไหม? ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการแต่งงานนะ ดังนั้น น้องสาวของข้านางไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะสามารถพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้”
“ท่านจะให้ปัญหามันหายไปเช่นนี้หรือ? เราจะคว้าโอกาสนี้และขอให้นางแต่งงานกับลูกชายของเรา เมื่อถึงเวลาที่นางกับต้าหรางมี….พ่อแม่ของนางไม่มีทางไม่เห็นด้วย?”
“ท่านแม่ จะ..ข้าจะสามารถแต่งงานกับญาติผู้น้องของข้าได้จริงๆรึ?” เมื่อได้ยินคำพูดจากแม่ของเขา ใบหน้าจ้าวชุนดูหม่นหมองลง
“ทำไมจะไม่ได้? นางไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์มาแต่ที่ใด! ชิงชิงเจ้าค่ะ ท่านต้องรีบเดี๋ยวนี้ บางทีน้องรองของท่านก็กำลังคิดจะทำสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน”
คำพูดของนางหวังทำให้จ้าวเต๋อเงียบลงอย่างใช้ความคิด
ในทางกลับกัน ซูมู่เกอไม่ได้ระแคะระคายถึงแนวคิดของคนเหล่านั้นเลย
นางจางเคยมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และจากนั้นไม่นานก็กลับมารู้สึกตัวในตอนกลางคืนของคืนหลังการผ่าตัด นางสับสนเล็กน้อยเมื่อพบว่าตัวนางเองได้กลับมานอนอยู่ในห้องเดิมที่นางเคยอยู่ก่อนหน้านั้น
“ชินอ้ายเป่าเป้ย อะไร…เจ้าให้อะไรบ้างกับเจ้าสารเลวพวกนั้น” นางจางคิดว่านางถูกอุ้มกลับมาเพียงเพราะซูมู่เกอได้ให้อะไรแลกเปลี่ยนกับนางหวังและคนอื่นๆ
ด้วยชามโจ๊กไข่ในมือ ซูมู่เกอเดินมาหานางด้วยรอยยิ้ม “อย่าเป็นกังวลเจ้าค่ะ ท่านยาย ข้าไม่ได้ให้สิ่งใด”
“แต่ แต่ พวกนี้มัน…” อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่า นางจางรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่นางเลี้ยงลูกชายของตัวเองให้กลายเป็นคนสารเลวเช่นนี้
“ท่านยาย ท่านต้องมีใครซักคนคอยดูแลท่านหลังจากนี้ แผลจะไม่หายในเวลาอันสั้นแม้ว่ามันจะดูขึ้นมาก แต่คิดว่าท่านลุงหรือครอบครัวของเขาคอยดูแลท่าน….ยังไงก็ตาม หลานเพิ่งคิดหาวิธีที่พวกเขาจะไม่ทำร้ายท่านยายได้ ท่านอยากฟังหรือไม่ ท่านยาย?”
ซูมู่เกอมองดูลูกชายทั้งสามของนางจางและตัดสินใจได้ว่ายกเว้นคนที่สามที่เป็นเกษตรกรที่ซื่อสัตย์และนิสัยดี คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนขี้โกงและมีอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความโลภ ตราบใดที่ใช้ประโยชน์ด้านดีจากสิ่งนี้ พวกเขาสามารถจัดการได้
นางจางไม่ตอบสนองนาง ซูมู่เกออดทนต่อเรื่องนี้ ที่นางจางถูกลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ นางจางต้องหมดหวังที่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวดของนาง
“ท่านยาย ท่านไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่ของข้ามานานหลายปีแล้ว และนางก็คิดถึงท่านยายมากเช่นกัน จนกว่าแผลของท่านจะหายดีและท่านรู้สึกดีขึ้น ท่านสามารถไปที่เมืองเพื่อเยี่ยมข้าและท่านแม่ได้ ถูกต้องไหมเจ้าค่ะ?”
การกล่าวถึงนางจ้าวทำให้ใบหน้าของนางจางเปล่งประกายแห่งความสุขและความหวังขึ้นมาทันที
“แม่ของเจ้า…ปีนี้นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“มันเป็นเรื่องยางที่จะอธิยายอย่างง่ายๆว่าดีหรือไม่ดีเจ้าค่ะ แต่ก็เพียงพอแล้วที่นางจะใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”
นางจางฉลาดและมีประสบการณ์มากพอที่จะชี้ประเด็นของนางได้อย่างรวดเร็วและรู้ว่าซูหลุนแต่งงานกับหญิงอื่นอีกคนที่มาจากครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งชีวิตไม่อาจทัดเทียมกันได้กับหญิงสาวที่มาจากชาวบ้านทั่วไปได้!
“ท่านไม่อยากไปเยี่ยมท่านแม่และลูกชายที่เพิ่งถือกำเนิดของนางหรือเจ้าค่ะ?”
พวกเขาเป็นลูกสาวที่รักมากที่สุดและเป็นหลายชายของนางที่เพิ่งถือกำเนิดมา นางจะต้านทานพวกเขาได้อย่างไร?
ซูมู่เกอกำลังรอคอยคำตอบของนางและไม่พูดอันใดอีก มันคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะปล่อยให้นางจางโน้มน้าวใจตัวเองก่อน
ทั้งสองอยู่ในความเงียบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“ได้ ยายจะเชื่อฟังเจ้า!” โดยไม่ต้องใช้เวลาร่วมกันมากนัก นางจางยังสามารถบอกได้ว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างลูกสาวและหลานสาวของนาง บุคลิกของพวกเขาช่างแตกต่างกันมาก
ซูมู่เกอตอบนางด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ใช่เลยเจ้าค่ะ” นางเอื้อมมือไปป้องที่หูนางจาง แล้วกระซิบอะไรบางอย่าง
นางจางฟังอย่างเงียบๆ แม้จะมีความขมขื่อนอยู่ในดวงตา แต่จิตใจของนางกลับแข็งแกร่งขึ้น
ซูมู่เกอดูแลนางจางอยู่เคียงข้างนางเป็นเวลาสามวัน และยังจะอยู่ต่ออีกซักสองสามวัน เนื่องจากจำเป็นต้องดูแลแผลที่เย็บไว้และตัดด้ายออกก่อน ตามที่คิดนางอยากกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ลูกพี่ลูกน้อง นี่ นี่สำหรับเจ้า”
จ้าวชุนวางห่อกระดาษเคลือบมันไว้ในอ้อมแขนของซูมู่เกอและรีบวิ่งหนีไป ก่อนที่นางจะทันได้ตอบอันใด จากนั้นนางก็ไปเก็บยาในลานที่ตากไว้
เมื่อมองเห็นจ้าวเอ้อหรัง น้องชายของจ้าวชุน เดินผ่านไป นางให้ห่อกระดาษนั้นกับเขาโดยที่ยังไม่ดูมันด้วยซ้ำ
“มันมาจากพี่ชายของท่าน” จากนั้นนางก็หันหลังจากไปและเดินเข้าไปในห้อง
ค่อนข้างเรียบง่ายและซื่อตรง จ้าวเอ้อหรังเปิดห่อกระดาษเคลือบมันออกและพบว่ามันเป็นขาหมูตุ๋นสีน้ำตาลอยู่ในนั้น เขาเริ่มกินอย่างเพลิดเพลินโดยไม่ต้องคิดอันใด
จ้าวเอ้อหรังวิ่งกลับไปที่ห้องของเขาซึ่งนางหวังกำลังนั่งทานผลไม้อย่างเพลิดเพลนอยู่
“ท่านแม่ ทำไมลูกพี่ลูกน้องของข้าถึงไม่ล้างหน้าให้สะอาด?” เขาไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของซูมู่เกอ
“ทำไมเจ้าต้องกังวลกับเรื่องนี้ลูกชายแม่? เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของเจ้าเมื่อใด เจ้าสามารถมองหน้านางได้ตลอดเวลาที่เจ้าต้องการ”
จ้าวเอ้อหรังหัวเราะอย่างพอใจกับคำพูดของแม่เขา “ถ้าอย่างนั้น เมื่อไหร่นางถึงจะได้เป็นภรรยาของข้า?”
“เจ้าเร่งรีบอันใดลูกชายข้า? นางไม่หนีหายไปไหนหรอ!”
อันที่จริง นางหวังเป็นกังวลอยู่บ้างในเรื่องนี้และนั่นคือสาเหตุที่นางยอมคุมขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ ในทุกวันนี้นางอยากรู้มากว่าซูมู่เกอได้นำสิ่งของอะไรมาบ้าง และวางแผนที่จะได้ครอบครองมันก่อนใครอื่น นางไม่ยอมให้สิ่งของของลูกสะใภ้ในอนาคตของนางเล็ดลอดไปที่ผู้ใดในอีกสองครอบครัวนั้นได้เด็ดขาด
นี่ก็เข้าคืนที่ห้าแล้ว ครอบครัวจ้าวไม่สามารถรอได้อีกต่อไปเนื่องจากซูมู่เกอยังไม่ได้นำสิ่งของที่ควรจะมีมาแสดง
จ้าวหมิงสบโอกาสและพูดขึ้นกลางโต๊ะทานข้าว
“นี่หลานสาว เจ้าเก็บสิ่งของที่นำมาให้เราไว้ที่ไหน? ข้าสามารถช่วยเจ้าได้นะ ข้าสามารถนำเกวียนลากไปเอาสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่ได้ ช่วยคนของเจ้าไม่ต้องมาที่นี่”
ซูมู่เกอวางตะเกียบลง ยิ้มให้คนอื่นๆ และพูดว่า “ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านลุง ปล่อยให้ข้าได้จัดการมันด้วยตัวเองเถิด ข้าจะกลับไปวันมะรืนนี้แล้ว และบอกพวกเขาให้นำสิ่งของทั้งหมดมาที่นี่”
“เยี่ยมมาก! ไม่ ข้าหมายความว่า ทำไมเจ้าถึงได้กลับเร็วนัก? ทำไมไม่อยู่กับเราอีกสักสองสามวัน…”
“ท่านแม่ของข้าเพิ่มให้กำเนิดน้องชายของข้า ไม่มีใครดูแลนางที่บ้าน และข้าก็เป็นกังวลเกี่ยวกับพวกเขา”
จ้าวต้าหรางเริ่มใจเสียและวิตก ใครจะเป็นภรรยาของเขาถ้าซูมู่เกอกลับไป!
ซูมู่เกอเพิกเฉยต่อแผนการของพวกเขาและตรงกลับไปที่ห้องของนางจางหลังอาหารค่ำเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากไม่กี่วันที่ได้รับการปฐมพยาบาลและดูแลอย่างดีจากหลานสาว นางจางค่อยๆฟื้นฟูร่างกายของนางและกลับมามีพลังมากขึ้น สุขภาพค่อยๆดีขึ้น
“ท่านยายเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว วันรุ่งขึ้นหลานจะเดินทางกลับนะเจ้าค่ะ”
นางจางมองไปที่ซูมู่เกอที่จับมือของนางอยู่ “ขอบใจเจ้ามาก ชินอ้ายเป่าเป้ย ยายเป็นภาระความลำบากของเจ้า”
“อย่าพูดเยี่ยงนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านยาย เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ดวงตานางจากเต็มไปด้วยความสุข “เจ้าช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีจริงๆ”
บรรยากาศอันอบอุ่นและสบายใจที่นี่ ช่างตรงกันข้ามกับอีกห้อง คนในห้องนั้นต่างพากันกระสับกระส่าย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านได้ยินรึไม่! ลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังจะกลับบ้านแล้ว!”
นางหวังจ้องไปที่จ้าวต้าหราง ที่เดินกลับไปกลับมาไม่ยอมหยุดหลังจากมื้ออาหารค่ำมา แล้วหันหน้าไปทางจ้าวเต๋อ
“ซินอ้าย ลูกชายของเราเจ้าพูดถูก นางกำลังจะกลับไป และเราจะปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้ไม่ได้” นางไม่ได้เป็นใบ้หูหนวก นางจะเอาซูมู่เกอมาเป็นลูกสะใภ้ของนางได้อย่างไรเมื่อนางจากไป!
จ้าวเต๋อยังคงเงียบอยู่บนเก้าอี้ของเขา นางหวังและจ้าวต้าหรางมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือล้นต้องการคำตอบ
จ้าวเต๋อเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสนและอย่างมีแผนการ เขาลดเสียงของเขาเบาลง “สิ่งที่ทำไปแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ มาทำให้นางแต่งงานกับต้าหรางเถอะ! แล้วตระกูลซูก็จะปฏิเสธไม่ได้!”
“เยี่ยมมาก! เมื่อนางกลายเป็นภรรยาของต้าหรางทางร่างกายแล้ว ตระกูลซูจะต้องยอมประนีประนอมรา!”
ใบหน้าของจ้าวต้าหรางแดงไปทั่วเมื่อสนทนากับพ่อแม่ของเขาถึงเรื่องสามีภรรยานี้ และเขาก็ฮัมเพลงไม่พูดไม่จาอีก
“ชิงชิงเจ้าค่ะ เราจะทำอย่างไรกันดี?”
“มานี่มา พวกเจ้าสองคน ฟังคำของข้าแล้วทำตามที่ข้าบอก”
สามคนหัวรวมเข้าหากันมีเพียงเสียงกระซิบกระซาบ พึมพำเท่านั้น
……………………
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูมู่เกอจัดการดูแลแผลให้นางจางเรียบร้อย ทายาที่แผลอีกครั้ง เมื่อแผลสมานกันดี นางจางก็จะมีสุขภาพดีเหมือนเดิม
“ท่านยาย ท่านลองเดินบนพื้นดูนะเจ้าค่ะในอีกเจ็ดวันข้างหน้านี้ มันจะดีต่อการฟื้นตัวของท่าน”
“ได้ ได้ โชคดีแค่ไหนที่ข้ามีหลานสาวเยี่ยงเจ้า! ไม่อย่างนั้น….” ความรู้สึกทุกๆอย่างกำลังรวมกันที่หัวใจของนาง นางจะคาดหวังได้อย่างไรว่านั่นคือหลานสาวของนางที่มาจากเมืองชุนหยาง มาและช่วยชีวิตนางไว้!
“ซินอ้ายท่านยาย ได้โปรด อย่าพูดราวกับว่าข้าเป็นคนนอก! สิ่งที่ท่านยายต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือการดูแลตัวเองและฟื้นตัวให้ได้โดยไวเจ้าค่ะ!”
“ใช่ แน่นอนเจ้าพูดถูก”
นางป้อนอาหารนางจางแล้วตามด้วยยาและกำลังจะไปพบหมอเท้าเปล่าอีกครั้งเพื่อหายามาเพิ่มสำหรับการบำบัดของนางจางในส่วนที่เหลือ
เมื่อนางก้าวเท้าออกจากห้อง บางสิ่งที่ใหญ่ ผ้าซาตินสีแดงแปลกๆ ปิดที่ตาของนาง มันถูกแขวนห้อยในห้องรับรองหลักของบ้านและอีกสองสามห้อง รวมถึงห้องนั่งเล่นด้วย
…………………………………………
“พี่สาว ท่านกำลังเตรียมงานแต่งงานกับต้าหรางหรือไม่? ข้าไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาหมั้นกับผู้หญิงคนไหน” นางซัน ป้ารอง เริ่มล้อเลียนเล่นกับแพรแดงที่บานประตู
“พรึด!” นางหวังพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมในปากของนางไปที่นางซัน “มีอะไรอีกมากมายที่เจ้าไม่รู้!”
นางหันหลังกลับและเห็นซูมู่เกอ ที่กำลังจะออกไปจากลานหน้าบ้าน นางหวังรู้สึกไม่พอใจกับผู้หญิงคนนี้ เริ่มจินตนาการว่านางเป็นลูกสะใภ้ของนาง “นี่หลานสาว เจ้าจะไปหาหมออีกแล้วรึ? เจ้าไม่ต้องซื้อยากลับมามากมายให้สิ้นเปลืองนะ ท่านยายของเจ้ามีสุขภาพสมบูรณ์….”
ซูมู่เกอรีบเดินออกจากลานหน้าบ้านไปโดยไม่หันไปมองทางนางหวังเลย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง
“นี่ ข้ายังพูดไม่จบ! เจ้าช่างหยาบคายนัก!” นางหวังถุยน้ำลายสองครั้งด้วยความหงุดหงิด
นางซันหัวเราะชอบอกชอบใจให้กับการถากถางในเหตุการณ์นี้อย่างมาก “ดี เยี่ยมมาก! พี่สาว ท่านเห็นตัวท่านเองหรือไม่? นั่นมันเป็นวิธีการของแม่สามีที่สั่งสอนลูกสะใภ้!”
แต่ไม่ใช่ตามปกติ นางหวังไม่ได้โต้กลับนางซันในครั้งนี้ นางซันไม่สังเกตเห็นความแตกต่างที่นั่นและนางก็ไม่อยากตื้อ นางจากไปด้วยตัวเองเพื่อมองหาการพูดคุยอื่นที่น่าสนใจ
เมื่อมาถึงสถานที่ของหมอเท้าเปล่า ซูมู่เกอได้รับแจ้งว่าหมอออกไปหาสมุนไพรที่ภูเขา และจะไม่กลับมาในอีกสองหรือสามวันนี้
นางรอได้ไม่นานขนาดนั้น และใครจะรู้ว่านางอันจะเตรียมกลอุบายแบบไหนให้นาง
มีทางเดียว นางจะต้องเข้าเมืองเพื่อไปรับยา
ก่อนที่นางจะเข้าประตูไปที่ลานบ้าน จ้าวต้าหรางออกมาพร้อมกับรถลากเทียมวัว
“ลู….ลูกพี่ลูกน้อง”
ซูมู่เกอไม่เคยชอบจ้าวต้าหราง เพราะมีความปรารถนาและตัณหาแฝงอยู่ในรูปลักษณ์ของเขาที่แสดงออกมา
“ลูกพี่ลูกน้อง” ซูมู่เกอเดินเข้าไปในลานบ้านหลังจากส่งคำทักทายอย่างไร้อารมณ์ไปให้
“ลูกพี่ลูกน้อง ข้ากำลังจะไปซื้อของในเมือง เจ้ามีอันใดต้องการจะซื้อหรือไม่?”
หยุดชะงักชั่วขณะ ซูมู่เกอหันหน้าไปมองเขา “เจ้ากำลังจะไปในเมืองเช่นนั้นหรือ?”
จ้าวต้าหรางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขารู้สึกยินดีที่ซูมู่เกอมองมาที่เขา “ได้ ได้สิ”
ริมฝีปากระชับ ซูมู่เกอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเร็วๆนี้ นางได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านนี้มามากและรู้ว่าตระกูลจ้าวค่อนข้างมีฐานะดีในหมู่บ้านแห่งนี้ ทั้งหมดมันมาจากเงินมูลค่าสิบหลียงที่แม่ของนางส่งมาทุกปี
ยกเว้นหัวหน้าหมู่บ้าน ตระกูลจ้าวเป็นเพียงครอบครัวเดียวที่เป็นเจ้าของวัว เวลาผ่านไปสำหรับเครื่องมือการขนส่งอื่นๆ หากไม่มีรถลากเทียมวัวของจ้าวต้าหราง คงไม่มีทางอื่นนอกจากการเดิน แต่การไป-กลับแบบนั้น ทำให้นางเสียเวลาไปจนดึกดื่นค่อนคืน
“ข้าต้องหาซื้อตัวยาบางอย่างในเมือง ข้าจะไปกับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นั้น รอยยิ้มแปลก ๆ ประดับบนใบหน้าของจ้าวต้าหราง เกือบจะทรยศเขา แต่ซูมู่เกอก็พลาดการแสดงออกดังกล่าวในขณะที่นางกำลังกลับไปหยิบของในห้อง
………………………………………….
* ‘ซินอ้าย’ คำนี้สามารถใช้เรียกคนที่เรารักได้ทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะแฟนหรือคนรัก มีความหมายตรงกับคำว่า ‘Dear’
** ‘เป่าเป้ย’ คำนี้คล้ายกับคำว่า ‘Baby’ ความหมายตรงตัวก็คือ สิ่งของที่มีค่า ใช้เรียกคนที่เรารัก
** ชิงชิง ใช้เรียกระหว่างสามีภรรยาหรือคนสนิท มีความหมายว่า ‘ที่รัก’ ถ้าใช้คำนี้เรียกอีกคนถือเป็นการแสดงความรักวิธีหนึ่ง