จั้นอู๋จี๋รีบลงจากม้า เดินเข้าไปทำความเคารพ “ถวายบังคมเจิ้นหนิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อยืนอยู่บนรถม้า มองลงมาจากที่สูง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพจั้นไม่จำเป็นต้องมากพิธี เมื่อครู่ ข้าได้ยินว่าท่านต้องการให้ขบวนย้ายจวนหลีกทางให้ท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่าขบวนรถม้านี้เป็นของผู้ใด?” น้ำเสียงเขาเข้มขรึม ทว่ากลับไม่อาจคาดเดาอารมณ์
จั้นอู๋จี๋ตอบ “ได้ยินว่าเป็นของท่านหญิงหมิงซีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ ท่านหญิงหมิงซีคือว่าที่พระชายาของข้า แล้วก็เป็นขุนนางหญิงขั้นหนึ่งในราชวงศ์ปัจจุบัน!” น้ำเสียงของตงฟางเจ๋อพลันเย็นเยียบทันใด
จั้นอู๋จี๋กลับดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขายืนหลังตรง เงยหน้าขึ้น ท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ถ่อมตัวเกินไปจนดูต้อยต่ำ กล่าวตอบเสียงขรึม “วาจาของเจิ้นหนิงอ๋อง กระหม่อมเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ หากท่านหญิงอยู่ที่นี่ด้วย ตามลำดับขั้น กระหม่อมสมควรเป็นผู้หลีกทางให้จริงๆ แต่ท่านหญิงมิได้เดินทางมาด้วย มีเพียงเหล่าบ่าวรับใช้ยกชื่อท่านหญิงมาแอบอ้างบารมี เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง กระหม่อมได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้รีบไปเข้าเฝ้าในวัง ไม่กล้ารั้งรอให้เสียเวลาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจาดูสูงส่งไม่มีความผิด ซูหลีอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเย็นชา คนผู้นี้เป็นดังที่ข่าวลือว่าไว้ไม่ผิด นิสัยเย็นชาเย่อหยิ่ง หน้าตายไร้ความรู้สึก นอกจากฮ่องเต้ เขาไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แม้แต่ตงฟางเจ๋อ เขาก็ยังกล้าตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ด้วย!
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ต้องหลีกทางให้ท่านด้วย?” ตงฟางเจ๋อสายตาขรึมลงหลายส่วน
จั้นอู๋จี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “กระหม่อมมิกล้า!”
“ท่านย่อมต้องมิกล้า!” ตงฟางเจ๋อเชิดคางกล่าวเสียงเย็น จู่ๆ ก็หันมากวักมือเรียกซูหลี “ซูซู มานี่”
จั้นอู๋จี๋เงยหน้าทันที มองเห็นเพียงกลุ่มคนแหวกออกเป็นสองฝั่ง สตรีนางหนึ่งสวมอาภรณ์สีพื้น เส้นผมสีหมึก บุคลิกไม่ธรรมดา กำลังสาวเท้าเดินมาทางนี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม
จั้นอู๋จี๋มองนาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด ที่แท้ท่านหญิงหมิงซีซูหลีผู้ที่มีชื่อเสียงก้องโลกภายในเวลาไม่กี่เดือน ก็คือสตรีนางนี้! มิน่าเล่านางถึงกล้าสบตาเขา ไม่ธรรมดาดังคาด!
“คารวะท่านแม่ทัพจั้น” ซูหลีวางมือลงกลางฝ่ามือใหญ่ของตงฟางเจ๋อ หลังจากถูกเขาดึงขึ้นไปบนรถม้า นางจึงค่อยหันกลับมาทักทายจั้นอู๋จี๋ช้าๆ
ถูกสตรีนางหนึ่งมองลงมาจากที่สูงเช่นนี้ จั้นอู๋จี๋รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก แต่กลับจำต้องประสานมือตอบ ทว่าเขาไม่เอ่ยคำใด เห็นชัดว่าทำพอเป็นพิธี ไร้ซึ่งความจริงใจ
ซูหลีเองก็ไม่ถือสา ตรงกันข้ามกลับยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านแม่ทัพจั้นมานาน วันนี้ได้พบพาน สมคำร่ำลือดังคาด” นางยิ้มชม คล้ายไม่ถือสาเขา ใบหน้าไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ สงบนิ่งจนเหมือนเมื่อครู่ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
จั้นอู๋จี๋อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาง สตรีนางนี้รูปโฉมงดงาม อาภรณ์เรียบง่ายทว่าคงความสง่า แต่งกายธรรมดา มองแวบแรกไม่สะดุดตา แต่หากมองอย่างละเอียด กลับค้นพบอย่างน่าตกใจว่า เมื่อนางยืนอยู่ข้างกายเจิ้นหนิงอ๋องผู้สูงส่งดั่งเทวดา ไม่ว่ารูปโฉมหรือบุคลิก ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย! ใบหน้านั้น…
จั้นอู๋จี๋หลุบตา ไม่ตอบคำ
ตงฟางเจ๋อสายตาเย็นชาลงเล็กน้อย กล่าวเสียงราบเรียบ “นี่ก็สายมากแล้ว ซูซู พวกเราควรเคลื่อนขบวนได้แล้ว อย่าได้เสียฤกษ์มงคลในการย้ายจวน!” เอ่ยจบก็เหลือบมองจั้นอู๋จี๋
จั้นอู๋จี๋รีบโบกมือออกคำสั่ง เหล่าทหารด้านหลังแหวกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางเดินตรงกลางทันที
ตอนนี้เขากลับลงมืออย่างฉับไว! ซูหลีแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในรถม้าพร้อมกับตงฟางเจ๋อ
“ออกเดินทาง”
เซิ่งฉินโบกมือ ภายใต้เสียงออกคำสั่งเย็นชา ขบวนย้ายจวนที่ยาวเหยียดดั่งลำตัวมังกรเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยมีกลุ่มองครักษ์เสื้อเกราะสีดำของเจิ้นหนิงอ๋องคอยเปิดทาง องอาจผ่าเผย ไร้ผู้ใดเทียม
เสียงประทัดมงคล และเสียงสรรเสริญยินดีจากแขก ดังกึกก้องไปกว่าครึ่งเมืองหลวง
ตรงป้ายที่อยู่เหนือประตูใหญ่ของจวนท่านหญิง ผ้ามงคลสีแดงค่อยๆ เลื่อนลง ป้ายนั้นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงลงมือเขียนด้วยตนเอง ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง อักษรสีทองคำว่า ‘จวนท่านหญิง’ เปล่งประกายสีทองระยิบระยับโดดเด่นสะดุดตา
ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีมีมากมายนับไม่ถ้วน ซูหลีมอบหมายให้หวั่นซินรับหน้า ส่วนตนเองกลับแอบอู้งานเดินชมสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังที่พักใหม่กับตงฟางเจ๋อ
ศาลาร่มไม้ ทางเดินวนเวียน แม้อยู่ในฤดูหนาว แต่กลับไม่ได้ดูอ้างว้างโดดเดี่ยวเลยแม้แต่น้อย ทุกซอกมุมสวยงามดั่งเดินเข้าไปในภาพวาด
“สวนแห่งนี้ท่านพ่อเคยสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อองค์หญิงเยวี่ยหยางแห่งแคว้นหวั่น ถึงแม้ไม่กว้างมาก แต่ดอกไม้ใบหญ้าทุกต้นในสวนล้วนผ่านการคัดสรรมาอย่างประณีต ทางเดินทุกเส้นตลอดจนเสาทุกต้นถูกสร้างขึ้นอย่างบรรจง ท่ามกลางความประณีตนุ่มนวล ยังสัมผัสได้ถึงธรรมชาติอันงดงาม เสด็จพ่อมอบมันให้ซูซู เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อทรงโปรดปรานซูซูมาก!” ตงฟางเจ๋อยิ้มแล้วหันมามองนาง สายตาแฝงความหมายลึกซึ้ง
“ทูลท่านอ๋องตามตรง ตอนนั้นซูหลีเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้เพคะ! ไม่ว่าผู้ใดล้วนทราบ องค์หญิงเยวี่ยหยางไม่เพียงชำนาญด้านกวีนิพนธ์ ยิ่งช่ำชองด้านกลยุทธ์สงคราม ทรงเป็นสตรีที่น่าอัศจรรย์หาได้ยากยิ่ง! น่าเสียดาย…” ซูหลีหยุดกล่าว แล้วถอนหายใจอย่างเสียดาย
ตงฟางเจ๋อมองนางแล้วยิ้ม “เพียงเสียดายสาวงามอาภัพ เดียวดายตลอดชีวิต?”
ซูหลีส่ายหน้า เดียวดายตลอดชีวิตเป็นเรื่องน่าเศร้าก็จริง แต่สิ่งที่นางเสียดายกลับไม่ใช่เรื่องนี้!
“ชาวโลกล้วนกล่าวว่า ความปรารถนาชั่วชีวิตของสตรีมีเพียงได้สามีดีและมีลูกหลานสืบสกุล ก็ถือว่าเป็นความสุขสูงสุดแล้ว ทว่าพวกเขากลับไม่เข้าใจ สตรีบางคนไม่ได้ปรารถนาเช่นนี้”
“อ้อ? เช่นนั้นพวกนางต้องการสิ่งใด?” ตงฟางเจ๋อนัยน์ตาเป็นประกายเล็กน้อย หันมองดวงหน้านาง
ซูหลีกล่าว “ชีวิตคนเรา หากไม่ได้คนที่ปฏิบัติตัวต่อตนเองอย่างจริงใจหมดหัวใจ มิสู้เดียวดายไปตลอดชีวิต ไม่ต้องมีห่วงใด ทำเรื่องที่ตนเองชอบ ใช้ชีวิตอย่างที่ตนปรารถนา เช่นนั้นก็มีความสุขได้เหมือนกันเพคะ”
วาจานางสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในอนาคตอย่างชัดเจน ทั้งยังมีความโศกเศร้าปนอยู่รางๆ พาให้ตงฟางเจ๋อรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจอย่างไม่รู้ตัว ค่ำคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมริมแม่น้ำหลานชาง เขาสัญญากับนางอย่างจริงใจ แต่เห็นชัดว่าไร้ผล ความระแวดระวังในใจนางมีมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
“ฟังดูแล้ว ซูหลีกลับเข้าใจความคิดขององค์หญิงเยวี่ยหยางเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าวาจานี้ มีกี่ส่วน…ที่มาจากใจเจ้า?” ตงฟางเจ๋อนัยน์ตาขรึมลง จ้องหน้านางตาไม่กะพริบ
ซูหลีสะดุ้งในใจ น้ำเสียงของเขาแฝงสัญญาณเตือนอันตราย นางรีบยิ้ม ทอดสายตามองออกไปไกลๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “ซูหลีเพียงเอ่ยไปเรื่อยเปื่อย ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยถาม “เช่นนั้นซูซูกำลังเสียดายสิ่งใด?”
ซูหลีตอบอย่างหม่นหมอง “เสียดายที่นางมีความสามารถล้นเหลือ แต่กลับไม่อาจกอบกู้โชคชะตาที่ต้องพินาศย่อยยับของแคว้นตนเองได้ ต้องมองดูญาติของตนเองตายด้วยน้ำมือทหารม้าของแคว้นเฉิงเรา ถึงแม้ฝ่าบาทชื่นชมพรสวรรค์ของนาง โปรดปรานนางเป็นพิเศษ และมอบสวนน้ำอันงดงามให้นางได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ แต่มีหรือนางจะไม่โศกเศร้าจนวันตาย!”
ตงฟางเจ๋ออึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม “ปีนั้น เซ่อเจิ้งอ๋องได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้โจมตีแคว้นหวั่น ชิงยึดครองแคว้นเล็กๆ แห่งนั้นก่อนแคว้นเปี้ยน แคว้นของพวกเขาเล็กและอ่อนกำลัง ถึงแม้แคว้นเฉิงของเราไม่โจมตี ช้าเร็วก็ต้องถูกแคว้นอื่นยึดครอง!”
เหตุผลนี้นางไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ เดิมทีโลกนี้ก็เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่อยู่แล้ว ผ่านไปร้อยปี ศึกสงครามเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ทุกแคว้นต่างพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขยายอาณาจักร เพิ่มความแข็งแกร่งให้แคว้นตนเอง ถึงแม้ปัจจุบันสามแคว้นดำรงอยู่ด้วยการคานอำนาจกัน แต่ก็เป็นแค่ความสงบสุขเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าวันไหนเมฆฝนจะเปลี่ยนไป ทุกฝ่ายแตกแยก และหนีไม่พ้นชะตากรรมแห่งสงครามอีกต่อไป!
คล้ายมองเห็นความกังวลของนาง ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “หากไม่อยากให้มีสงคราม ก็มีเพียงต้องรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่ซูหลีได้ยินแล้วกลับสะท้านไปทั้งใจ เห็นเพียงดวงหน้างดงามของเขาลึกล้ำดั่งมหาสมุทร คาดเดาอารมณ์และความคิดไม่ถูก
…………………………………………….