ซูหลียิ้มเย็น เอ่ยว่า “จิตใจคนเรา ก็มีเพียงเท่านี้เอง” นางพลันสะดุดใจ ตามหลักแล้ว หากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องสูญเสียอำนาจ คนที่ควรตบมือโห่ร้องด้วยความดีใจมากที่สุดก็คือตงฟางเจ๋อ แต่ยามนี้เขาดูเศร้า คล้ายรู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก วาจาที่เอ่ยออกมาก็ล้วนเป็นวาจาจากใจจริง
ครั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของซูหลี ตงฟางเจ๋อหันมามอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเล่า? หรือไม่เชื่อคำพูดข้า? เซ่อเจิ้งอ๋องกล้าหาญชาญชัย ปราดเปรื่องเหนือผู้ใด ข้าเลื่อมใสเขามาตลอด บิดาเป็นเสือบุตรสาวย่อมไม่มีทางเป็นสุนัข แม้แต่หลีซู ก็ยังเป็นโฉมตรูที่ปรีชาสามารถท่ามกลางเหล่าสตรี เพียงแต่น่าเสียดาย…”
“เสียดาย…ที่นางไม่อยู่แล้วหรือเพคะ?” ซูหลีกล่าวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ตงฟางเจ๋อพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง แววเจ้าเล่ห์พาดผ่านในดวงตา ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หูนาง กระซิบเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าในใจข้า เจ้าโดดเด่นที่สุด”
ลมหายใจอุ่นๆ ไล้ผ่านติ่งหูที่ไวต่อความรู้สึก ซูหลีใจเต้นรัว พวงแก้มเนียนขาวพลันแดงซ่านขึ้นมา พยายามผลักเขาออก แต่กลับไม่เป็นผล
เขายิ้มแล้วรวบตัวนางเข้าไปในอ้อมกอด อาภรณ์ตัวใหญ่และหนาห่อหุ้มเรือนร่างบอบบางของสตรีไว้แน่น นางอิงศีรษะกับแผงอกกำยำของเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นอันทรงพลัง อิงแอบกันอย่างเงียบงัน ความอบอุ่นแผ่ปกคลุมหัวใจ ทั้งสองยืนอาบแสงแดดอุ่นๆ ในฤดูใบไม้ร่วง ซึมซับช่วงเวลาอันสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งอย่างเงียบๆ
หญิงงามในอ้อมอก เส้นผมดำขลับ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตงฟางเจ๋อสายตาไหวระริก ยื่นมือเชยคางนางขึ้น แสงอาทิตย์นวลๆ สาดกระทบผิวเนียนดั่งหยกของนาง ราวกับมีประกายสีทองอ่อนๆ เคลือบไว้หนึ่งชั้น
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากที่แก้พิษดอกฉิงฮวา ความอดทนของเขาก็คล้ายจะน้อยลง ทุกครั้งที่ใกล้ชิดนาง ก็มักยากจะควบคุมความต้องการของตนเอง ความปรารถนาที่มีต่อนางคล้ายหลอมรวมเข้าไปอยู่ในเส้นเลือดแล้ว ครั้นความคิดบังเกิด ความต้องการครอบครองอย่างรุนแรงก็เกิดตามมาอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างในตัวนางสวยงามถึงเพียงนั้น ราวกับมีแรงดึงดูดอันตรายที่ไม่มีทางหนีพ้น ดูดกลืนเขาเข้าไปอยู่ในวังวน
สัมผัสได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของเขา แพขนตาหนาและงอนยาวของซูหลีกระเพื่อมทันที เหมือนผีเสื้อที่กางปีกพร้อมบิน ปิดบังนัยน์ตาสีดำและสดใสคู่นั้นอย่างรวดเร็ว
กลีบปากแดงงามของนางส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหล คล้ายกำลังรอคอยให้เขาดอมดม ลมหายใจพลันสะดุด ตงฟางเจ๋อค่อยๆ ก้มหน้าลงไป…
ในตอนนั้นเอง
“พี่ชายเจ๋อ?” เสียงขานเรียกอย่างดีอกดีใจที่ไพเราะดั่งเสียงของนกขมิ้นเหลือง กลับดังขึ้นในเวลาที่ไม่เป็นใจอย่างยิ่ง
ตงฟางเจ๋อชะงัก ในใจรู้สึกหงุดหงิด ทว่าเมื่อหันหน้าไปกลับอึ้งงัน กล่าวอย่างประหลาดใจ “เยวี่ยเอ๋อร์?” เขาคลายอ้อมกอดออกอย่างไม่รู้ตัว ความอบอุ่นพลันผละออกจากกาย ซูหลีหนาวเย็นไปทั้งตัว ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่าง พี่ชาย? ไม่เคยได้ยินเขากล่าวถึงว่ามีน้องสาวที่ไหน ผู้ใดกัน?
“อา! ข้าไม่ได้ตาฝาด เป็นท่านจริงๆ ด้วย!” เจ้าของเสียงปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด วิ่งมาหาทั้งสองอย่างดีใจ เพียงแต่ก่อนจะมาถึงตรงหน้า ด้วยความไม่ระวังเท้าสะดุดกระโปรง ตัวพุ่งไปข้างหน้า พร้อมกับกรีดร้องเสียงดัง
“ระวัง!” ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบก้าวเข้าไป อีกฝ่ายพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมอกกำยำอบอุ่น ถูกกอดไว้จนมิดพอดี เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และตำหนิด้วยใบหน้าเย็นชา “โตป่านนี้แล้ว ยังเดินไม่ระมัดระวัง เหมือนเด็กไม่มีผิด ไม่เหมือนสตรีผู้ดีแม้แต่น้อย”
เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าเยวี่ยเอ๋อร์คลี่ยิ้มน่ารักไร้เดียงสา คิ้วและดวงตาของนางงามละเอียดดึงดูดใจผู้คน ชุดซานฉวินสีม่วงอ่อนขับเน้นให้ผิวของนางขาวผ่องเนียนนุ่ม ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นนาง!
บุตรีของผู้บัญชาการทหารเหลียงสือชู เหลียงหรูเยวี่ย
“ก็คนเขาดีใจมากที่ได้เจอท่านนี่นา! นานแค่ไหนแล้วที่ท่านไม่มาเยี่ยมข้าบ้างเลย! คราที่แล้วในพิธีคัดเลือกพระชายา ท่านก็ไม่มีเวลาพูดคุยกับข้า! ยามนี้ยังมาโทษข้าอีก! ใจร้ายยิ่ง!” เหลียงหรูเยวี่ยเบะปาก กอดเอวตงฟางเจ๋อและเขย่งปลายเท้า ท่าทางเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสา
“ข้ามีเรื่องมากมายต้องสะสาง มีเวลาเล่นกับเจ้าเหมือนตอนเด็กเสียที่ไหน?”
“เหอะ ข้าไม่เถียงกับท่านแล้ว ท่านมักมีเหตุผลเสมอ! ข้าไม่เคยเถียงชนะท่านตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว!”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องได้?”
“ข้ามาเยี่ยมคุณหนูหลีเหยา มารดานางตายแล้ว ในจวนก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย นางเอาแต่ร้องไห้ทุกวัน เห็นแล้วเป็นทุกข์ยิ่งนัก ข้าเห็นนางโดดเดี่ยว จึงมาเยี่ยมและคุยเป็นเพื่อนนางอยู่บ่อยๆ!” เหลียงหรูเยวี่ยเบิกดวงตากระจ่างใสดั่งสายน้ำ ตอบตามความจริง
ท่ามกลางกระแสลมปากอันแหลมคม เหล่าขุนนางใหญ่ต่างพากันหลีกเลี่ยงจวนเซ่อเจิ้งอ๋องเหมือนกับเป็นงูพิษ ด้วยกลัวว่าจะส่งผลกระทบมาถึงตนเอง แต่เหลียงหรูเยวี่ยกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย ตงฟางเจ๋อลอบถอนใจ เด็กคนนี้ยังคงไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา ไม่รู้จักกลัวเสียบ้างเลย
“โอ้ ท่านหญิงหมิงซี!” เหลียงหรูเยวี่ยร้องอย่างประหลาดใจ คล้ายเพิ่งเห็นซูหลีที่ยืนอยู่ข้างตงฟางเจ๋อ
ซูหลียืนอยู่ด้านหนึ่ง ค้อมศีรษะเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยคำใด นางยืนมองพฤติกรรมสนิทสนมของทั้งสอง ภายนอกสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับมีคลื่นลมก่อตัวในพริบตา
ตั้งแต่รู้จักกับเขามา นอกจากตนเอง นางไม่เคยเห็นเขาใกล้ชิดกับสตรีใดเท่านี้มาก่อน ท่าทีที่ไม่ปฏิเสธของตงฟางเจ๋อ วาจาแฝงแววเอ็นดูเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งสอง
นางพลันสะดุดใจ เหลียงกุ้ยเฟย เหลียงสือชู เหลียงหรูเยวี่ย…กลัวแต่ว่าจะมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อยู่
เหลียงหรูเยวี่ยแลบลิ้นอย่างเขินอาย รีบผละออกจากอ้อมอกของตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวอย่างขอโทษ “เยวี่ยเอ๋อร์เสียกิริยาไปชั่วขณะ ไม่ได้ทักทายท่านหญิงแต่แรก เสียมารยาทยิ่งนัก” แม้นางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่กลับเข้าใจเป็นอย่างดี ซูหลีในยามนี้ ฐานะต่างจากบุตรีภรรยารองที่นางเคยพบในจวนอัครเสนาบดี นางก้าวขึ้นมาเป็นขุนนางกองบังคับการขั้นหนึ่ง จึงไม่อาจเสียมารยาทโดยเด็ดขาด
“คุณหนูเหลียงเกรงใจแล้ว” ซูหลีแย้มยิ้มบางๆ “ต่อหน้าท่านอ๋อง ซูหลีจะบังอาจได้อย่างไร” วาจาของเหลียงหรูเยวี่ยแม้กำลังขอโทษ แต่กิริยาท่าทางกลับเป็นกันเองยิ่งนัก
ตงฟางเจ๋อดึงนางเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ซูซูอาจยังไม่รู้ เหลียงหรูเยวี่ยบุตรีจวนผู้บังคับการทหาร เป็นน้องสาวของข้าเอง ผู้บังคับการทหารเหลียงกับเสด็จแม่ของข้าเป็นญาติห่างๆ กัน เจ้าเรียกนางว่าเยวี่ยเอ๋อร์ก็พอ ภายหน้าล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี”
ซูหลีไม่ตอบ ลอบขมวดคิ้ว ครอบครัวเดียวกัน? นางยังไม่ได้แต่งงานกับเขา จะเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร?
เหลียงหรูเยวี่ยมองซูหลีแล้วยิ้มเขินอาย กะพริบแพขนตายาวๆ ถามอย่างสงสัย “พวกท่านมาเยี่ยมคุณหนูหลีหรือ?”
“อืม” ตงฟางเจ๋อพยักหน้า
“เช่นนั้นก็บังเอิญยิ่งแล้ว พวกเราไปเยี่ยมคุณหนูหลีพร้อมกันเถิด” การพบปะที่เหนือความคาดหมาย ทำให้เหลียงหรูเยวี่ยเบิกบานใจยิ่งนัก นางกอดแขนเขาแน่น ดวงตากลมโตสดใสเต็มไปด้วยความผูกพันธ์ที่มีต่อตงฟางเจ๋อ
ซูหลีเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัว ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกอึดอัด เหมือนตอนนี้คนที่เป็นส่วนเกินคือตัวนางเอง
เหลียงหรูเยวี่ยร้องเรียกเสียงใส “ไปเร็วๆ พวกเราไปเยี่ยมคุณหนูหลี จากนั้นก็ไปเที่ยวตลาดกลางคืนกัน! ได้ยินว่าที่หอเทียนเซียงมีหญิงงามที่ร่ายรำงดงามยิ่งมาใหม่ด้วยนะ!” เอ่ยจบ ก็ดึงแขนเสื้อตงฟางเจ๋อเดินนำหน้าไป
ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ชะงักหยุดครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ออกเดินอย่างจนใจ
ขณะที่ทั้งสามเดินเข้าไปในเรือนเหยาฉือ หลีเหยากำลังนั่งเหม่ออยู่กลางสวน ครั้นเห็นเงาร่างของซูหลีกับเหลียงหรูเยวี่ยก็พลันอึ้งงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงได้สติ รีบลุกขึ้นเดินมาต้อนรับ
……………………………………………………….