ซูหลีเองก็อึ้งค้างไปชั่วขณะเช่นกัน นางมองใบหน้าซีดขาวของเขาที่ตกใจเพราะฮองเฮาประสบอันตราย พลันรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีดีอะไรสักอย่าง
เสือร้ายสิ้นลมเพราะกระดูกแหลกไปทั้งร่าง ยามตายดวงตาอันดุร้ายยังเบิกกว้างคล้ายไม่ยินยอม
“เสด็จแม่ ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” ตงฟางเจ๋อประคองฮองเฮา ถามอย่างเป็นห่วง
ฮองเฮาหน้าซีดเผือด ได้แต่มองเขาพูดอะไรไม่ออก
ความรู้สึกสำนึกผิดจู่โจมหัวใจ เขาคุกเข่าดัง ‘พลั่ก’ กล่าวว่า “ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จแม่ตกพระทัย!” พอเห็นซูหลีมีอันตราย เขาจำต้องไปอยู่ข้างกายนางอย่างไม่มีทางเลือก!
ฮองเฮาถอนหายใจ วินาทีนั้น พอเห็นโอรสอันเป็นที่รักมีแต่สตรีนางนั้นอยู่ในสายตา ลืมมารดาอย่างนางไปจนสิ้น นางผิดหวังและปวดใจนัก แต่ยามนี้ครั้นเห็นเขาสำนึกผิดและโศกเศร้าเช่นนี้ กลับทนมองไม่ได้อีก นางเพียงดึงเขาลุกขึ้น กล่าวว่า “แม่ไม่เป็นไร มีแค่แผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น”
“เซ่อเจิ้งอ๋อง! การล่าสัตว์ในหลายปีที่ผ่านมา ท่านรับผิดชอบดูแลความปลอดภัย ตลอดมาท่านทำเรื่องใดล้วนรอบคอบเสมอ วันนี้เหตุใดจึงสะเพร่าเช่นนี้?” ฮ่องเต้หันมอง สีหน้าเคร่งขรึม สายตาคมปลาบเย็นชา จ้องหลีเฟิ่งเซียนเขม็ง ตำหนิอย่างรุนแรง
หลีเฟิ่งเซียนตึงเครียด รีบก้าวเข้าไปร้องขอบทลงโทษ “กระหม่อมสมควรตาย!” เหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่ ล้วนเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา จนไม่อาจตั้งตัวได้ทัน
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้ม “หรือว่าเจ้าไม่พอใจเรื่องที่ข้าให้จั้นอู๋จี๋รับช่วงดูแลค่ายหงเยี่ยนต่อ จึงได้ละเลยหน้าที่เช่นนี้?”
ทุกคนตกตะลึง หลีเฟิ่งเซียนหน้าเปลี่ยนสี รีบขมวดคิ้วคุกเข่ากล่าวว่า “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ! วันนี้เสือร้ายทำร้ายผู้คน ทำให้ฝ่าบาทตกพระทัย ฮองเฮาทรงได้รับบาดเจ็บ กระหม่อมมีความผิดโทษฐานละเลยหน้าที่ กระหม่อมน้อมรับทุกการลงโทษ! ทว่า ละเลยหน้าที่เพราะไม่พอใจในการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทนั้น…กระหม่อม แม้ตายก็มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” เขาหมอบกายโขกศีรษะ เสียงดังฟังชัด
ฮ่องเต้หลุบตามองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่เอ่ยวาจา ผู้คนรอบข้างล้วนไม่กล้าเปล่งเสียง บรรยากาศเงียบจนน่าตกใจ
ซูหลีทนไม่ไหวหมายจะเดินเข้าไป กลับถูกตงฟางเจ๋อรั้งข้อมือไว้ ตงฟางเจ๋อส่ายหน้าให้นางเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าถึงแม้นางไปก็ไม่มีประโยชน์ ซูหลีรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่…มองดูเงาร่างผ่ายผอมของเสด็จพ่อที่หมอบต่ำอยู่ใต้บันไดหิน หัวใจของนางทนไม่ไหว ทว่ากลับทำได้เพียงกัดฟันกำหมัดแน่น ยืนอยู่ด้านหนึ่งเงียบๆ
หลีเฟิ่งเซียนเงยหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมติดตามฝ่าบาทฝ่าฟันสมรภูมิรบมานานหลายปี กระหม่อมเป็นคนเช่นไร ฝ่าบาทย่อมรู้ดีแก่ใจ! กระหม่อม ไม่มีทางคิดไม่ซื่อเพราะฝ่าบามีรับสั่งให้ถ่ายโอนอำนาจกำลังทหาร แล้วปล่อยให้เสือร้ายเข้ามาทำร้ายผู้คนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ละเลยหน้าที่กับจงใจปล่อยเสือร้ายเข้ามาทำร้ายคน สองบทลงโทษนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้อหาที่สองมีโทษเทียบเท่ากับกบฏเลยทีเดียว! หลีเฟิ่งเซียนกัดฟันข่มกลั้นความแค้น กล่าวค้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง!
ฮ่องเต้สายตาไหวระริกเล็กน้อย เหลือบมองฮองเฮา ฮองเฮาหลุบแพขนตาต่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบาดเจ็บหรืออย่างไร ใบหน้านางดูเศร้าสร้อย สีหน้าสับสน สองมือกุมมือตงฟางจั๋วไว้แน่น ไม่เอ่ยวาจาสักคำ
ตงฟางจั๋วเงยหน้าเล็กน้อย กวาดมองใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยของซูหลี เห็นความกังวลและทุกข์ใจที่นางพยายามปกปิดไว้อย่างชัดเจน เขาหันไปตวาดหลีเฟิ่งเซียนเสียงเกรี้ยว “ละเลยหน้าที่ก็คือละเลยหน้าที่ เหตุใดต้องพูดพร่ำให้มากความ! เซ่อเจิ้งอ๋องนำเรื่องในอดีตมาพูด คงอยากให้เสด็จพ่อเห็นแก่ความหลัง และเมตตาท่านสักครั้ง แต่เสด็จแม่ของข้าได้รับบาดเจ็บและตกพระทัย ผู้ใดจะรับผิดชอบ?”
คำว่าเห็นแก่ความหลัง ทำให้สีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่มองตงฟางจั๋วขรึมลงหลายส่วน
ทุกคนล้วนทราบดี ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ฮ่องเต้กับหลีเฟิ่งเซียนออกจากเมืองหลวงรบเหนือยันใต้ ร่วมทุกข์ร่วมสุข สัมพันธ์แน่นแฟ้นดั่งพี่น้อง ไม่แบ่งแยกฐานะ ปีนั้นฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บหนัก หากไม่ได้หลีเฟิ่งเซียนยอมเสี่ยงชีวิตช่วยไว้ เกรงว่าคงสิ้นใจในสนามรบไปแล้ว และด้วยเหตุนี้ ต่อมาจึงมีคนจำนวนมากเสนอให้อวยยศหลีเฟิ่งเซียนเป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง! และเหตุผลนี้เองที่ทำให้ทั้งสองคนเริ่มห่างเหินกัน
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่รู้สึกเกลียดชังแววโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของตงฟางจั๋ว
หลีเฟิ่งเซียนสั่งให้คนไปเรียกแม่ทัพสือเหมิ่งแห่งค่ายเฟิงฉี ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยรอบสนามล่าสัตว์ในครั้งนี้มา
“กระหม่อมสมควรตาย!” สือเหมิ่งได้ยินเรื่องก็รีบรุดหน้ามาคุกเข่าร้องขอบทลงโทษต่อหน้าฮ่องเต้ เหงื่อเย็นท่วมศีรษะ ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด เซ่อเจิ้งอ๋องกำชับแล้วกำชับอีก การล่าสัตว์ในครั้งนี้ ห้ามเกิดเรื่องผิดพลาดใดขึ้นเด็ดขาด ฉะนั้นเขาจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ เดินลาดตระเวนทั่วทิศ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีเรื่องเกิดขึ้นอยู่ดี!
ตงฟางจั๋วตำหนิเสียงเกรี้ยว “เจ้าสมควรตาย! เฝ้าระวังสนามล่าสัตว์ไม่ดีพอ ส่งผลให้เสือร้ายบุกออกมานอกรั้ว ทำให้ฮองเฮาบาดเจ็บ โทษนี้ไม่อาจละเว้น! ทหาร นำตัวเขาออกไปประหาร”
นายทหารค่ายเฟิงฉีหน้าพลันเปลี่ยนสี รองแม่ทัพรีบคุกเข่ากล่าวเสียงแตกตื่น “จิ้งอันอ๋องโปรดอย่ากริ้ว! ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย การเฝ้าระวังในครั้งนี้ แม่ทัพสืออดหลับอดนอน วางแผนอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ จุดสำคัญรอบสนามล่าสัตว์ล้วนถูกติดตั้งกลไกป้องกันความปลอดภัยไว้แล้ว สัตว์ร้ายทั่วไปไม่อาจบุกเข้ามาในรั้วได้ เสือร้ายตัวนั้นมีเงื่อนงำ ฝ่าบาทและจิ้งอันอ๋องโปรด…”
“หุบปาก!” ไม่รอให้คนผู้นั้นกล่าวจบ สือเหมิ่งหน้าเปลี่ยนสี รีบตวาดตัดบทเสียงเกรี้ยว
วาจาเหล่านั้นถูกตัดจบแต่เพียงเท่านี้ ทว่าในใจของแต่ละคนกลับมีความสงสัยที่แตกต่างกันออกไปผุดขึ้นมา
หลีเฟิ่งเซียนรีบเงยหน้ามองฮ่องเต้ สีหน้าฮ่องเต้เคร่งเครียด นัยน์ตาที่มองรองแม่ทัพผู้นั้นคมปลาบเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก หลีเฟิ่งเซียนตึงเครียด สองมือกำแน่น ใบหน้ากลับไม่บ่งบอกถึงความประหลาดใจ อะไรจะเกิด ย่อมต้องเกิด
เขาหันไปมองสือเหมิ่ง กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝ่าบาท…”
“กระหม่อมละเลยหน้าที่ กระหม่อมน้อมรับโทษตายพ่ะย่ะค่ะ!” สือเหมิ่งพลันตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงกังวานชัด กลบเสียงทอดถอนใจของหลีเฟิ่งเซียนจนมิด เขาโขกศีรษะไปทางฮ่องเต้ สีหน้าเด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งข้อแก้ต่าง ยิ่งไม่ยอมโยนความผิดพ้นตัว เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีคนรับผิดชอบ!
หลีเฟิ่งเซียนสายตาไหวระริก หมายจะอ้าปากพูดบางอย่าง สือเหมิ่งกลับเงยหน้ามองเขา กล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องโปรดรักษาพระวรกายด้วย!” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นเดินจากไปพร้อมกับทหารที่เข้ามานำตัวเขาออกไป สือเหมิ่ง แม่ทัพผู้ไร้ชื่อเสียงแห่งค่ายเฟิงฉีผู้นี้ ยังคงเหยียดแผ่นหลังตรงเหมือนทุกครั้งยามออกศึก แต่ครานี้เขากลับเดินสู่ความตายด้วยความเต็มใจ
หลีเฟิ่งเซียนหลับตาแน่น ซูหลีราวกับรับรู้ได้ถึงความเศร้าและความโดดเดี่ยวอ้างว้างในใจของเสด็จพ่อ
นับแต่อดีตขุนนางที่มีผลงานโดดเด่นจนเป็นที่ระแวงของนายเหนือหัว ล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางที่เคยสำเร็จราชการดูแลแว่นแคว้นแทนฮ่องเต้! วันนี้เหตุใดเสือร้ายจึงบุกเข้ามาได้ ซ้ำยังเลือกจังหวะที่กำลังคนอ่อนที่สุด หลีเฟิ่งเซียนรู้ทุกอย่างดีแก่ใจ เขาล้วงตราพยัคฆ์ออกมาจากอกเสื้อ ชูขึ้นเหนือศีรษะ ค้อมศีรษะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “กระหม่อมอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้มงวด ทำให้พระองค์ผิดหวัง รู้สึกละอายใจยิ่งนัก ไม่กล้าร้องขอความเมตตาจากฝ่าบาท! ขอฝ่าบาทโปรดรับตราพยัคฆ์แห่งค่ายเลี่ยเยี่ยนคืนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงสือชูอึ้งงันอย่างเห็นได้ชัด เซ่อเจิ้งอ๋องฝ่าฟันสมรภูมิรบมานานหลายปี นำทัพทหารนับแสน ทว่านับแต่ที่ชายแดนสงบสุข ฮ่องเต้พระวรกายแข็งแรงกลับมาว่าราชการเต็มตัวอีกครั้ง ก็ทรงมีพระราชโองการลดหย่อนภาระของประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติ สั่งให้ทหารส่วนมากประจำการอยู่ที่ชายแดน หลีเฟิ่งเซียนจึงเหลือกำลังทหารในมือเพียงหนึ่งแสนนายจากค่ายหงเยี่ยนและอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นนายจากค่ายเลี่ยเยี่ยน
ไม่กี่วันก่อน กำลังทหารค่ายหงเยี่ยนถูกถ่ายโอนอำนาจไปให้จั้นอู๋จี๋โทษฐานอบรบผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้มงวดพอ วันนี้เขายังเป็นฝ่ายคืนตราพยัคฆ์ของค่ายเลี่ยเยี่ยนเองอีก นับจากนี้เซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนผู้ที่เคยมีอำนาจล้นฟ้า ในมือไร้กำลังทหาร เหลือเพียงชื่อเสียงจริงๆ แล้ว! ถึงแม้เคยเป็นศัตรูคู่อริ แต่เหลียงสือชูก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้
จั้นอู๋จี๋กระดกคิ้ว ฮ่องเต้สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้เกากงกงไปรับตราพยัคฆ์มา เขาเดินลงจากบันไดไป ประคองหลีเฟิ่งเซียน ตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฟิ่งเซียน เจ้าติดตามข้ามานานหลายปี เหน็ดเหนื่อยตรากตรำและสร้างผลงานไว้มากมายขนาดไหน ข้ารู้ดีแก่ใจ ครึ่งปีมานี้ เจ้าสูญเสียภรรยาและลูกสาว เจ็บปวดทรมาน ข้าควรเห็นใจคนเป็นสามีและบิดาอย่างเจ้าแต่แรกแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับไปพักฟื้นที่จวนเสียเถิด เรื่องต่อจากนี้ ค่อยหารือกันอีกที”
……………………………………………………………..