สีหน้าฮ่องเต้บึ้งตึงอย่างยิ่ง มองดูทั้งสองคนตอบโต้กันไปมาด้วยสายตาเย็นชา ทว่ากลับไม่พูดอะไร ยามนี้สถานการณ์พลิกผันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว เขาเพียงอยากรู้ว่าผู้ใดกันแน่ ที่เป็นคนทำให้เกิดลมพายุลูกนี้ขึ้นมา
ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือก พลางกล่าวเสียดสี “ฮองเฮาไม่เพียงแสดงละครได้ยอดเยี่ยม ความสามารถในการบิดเบือนข้อเท็จจริงก็ล้ำเลิศยิ่งนัก ท่านทำร้ายมารดาข้าก่อน แล้วยังอาศัยอวิ๋นเฟยสร้างสถานการณ์ลวงที่เหมือนจริง ทำให้ข้าเสียกิริยาต่อหน้าเสด็จพ่อ แต่เรื่องนี้ไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ท่านตั้งใจไว้ ฉะนั้นท่านจึงลอบซื้อตัวเถียนหย่งอย่างลับๆ วางแผนสร้างการลอบสังหารลวง โยนความผิดให้ข้า ทำให้ข้าหมดสิทธิ์ในตำแหน่งองค์รัชทายาท!”
บนตำหนักจินหลวนในยามนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนคละคลุ้งไปทั่ว ภาพอันอบอุ่นของมารดาและโอรสที่เคยรักใคร่กลมเกลียว ได้กลายเป็นเงาดาบอันแหลมคมที่มองไม่เห็น วาจาที่กล่าวออกมาก็คมกริบดั่งมีดดาบ ฉีกใบหน้าเสแสร้ง ไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัว เหมือนต้องการเอาอีกฝ่ายให้ถึงตายอย่างไรอย่างนั้น!
ทุกคนในตำหนักครั้นได้ยินก็อกสั่นขวัญแขวน
ฮองเฮายิ้มเย็นชา “เจ้าเอาแต่พร่ำพูดว่าข้าทำร้ายเสด็จแม่ของเจ้า ยามนี้แม้แต่อวิ๋นฉี่หลัวก็ตายไปแล้ว เจ้ามีหลักฐานใดมาบอกว่าข้าเป็นผู้กระทำ?”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “นางรู้ความลับของท่านมากมายขนาดนั้น ท่านย่อมหวังให้นางตายอยู่แล้ว แต่ถ้าหากนางยังไม่ตาย ท่านกล้าเผชิญหน้ากับนางตรงๆ หรือไม่เล่า?”
ครั้นตงฟางเจ๋อกล่าววาจานี้ออกไป ทุกคนในตำหนักพลันตกตะลึง แม้แต่ฮ่องเต้ที่ใบหน้าบึ้งตึง ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้
ในดวงตาของฮองเฮาฉายแววตกใจระคนสงสัย จ้องตงฟางเจ๋อเขม็ง คล้ายกำลังพิจารณาว่าคำพูดของเขาจริงเท็จแค่ไหน ทว่าไม่นานก็เชิดหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่มีสิ่งใดต้องละอาย เหตุใดจะไม่กล้า?”
แววเย้ยหยันพาดผ่านหางตาตงฟางเจ่อ คำตอบนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาแต่แรกแล้ว
ฮองเฮาสังหรณ์ใจแปลกๆ คล้ายมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง นัยน์ตาหงส์คมปลาบหันไปจ้องหน้าซูหลีทันที
“ฝ่าบาท” ซูหลีที่เงียบงันมาเนิ่นนานพลันเปิดปาก นางเดินเข้าไปคุกเข่า แล้วกล่าวว่า “หมิงซีมีเรื่องหนึ่งต้องการขอร้องฝ่าบาทเพคะ”
“เรื่องใดหรือ?” ฮ่องเต้มีสีหน้าเคร่งขรึม ในใจคาดเดาได้รางๆ ว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน
“เรื่องที่พระสนมอวิ๋นตายกะทันหัน ไม่ใช่ความจริงเพคะ”
“ไม่ใช่เรื่องจริง? เจ้าหมายความว่านางยังไม่ตายหรือ? เหราะเหตุใด?” สีหน้าฮ่องเต้เย็นชา หวนนึกถึงพฤติกรรมใจกล้าของซูหลีในพิธีคัดเลือกพระสวามี ก็พลันหนักใจ น้ำเสียงเฉียบแหลมขึ้นหลายส่วน
ซูหลีตอบอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท อวิ๋นเฟยเป็นพยานเพียงคนเดียวในคดีที่พระสนมกุ้ยเฟยถูกปลงพระชนม์ หมิงซีไม่กล้าประมาทเลินเล่อ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางถูกคนสังหารปิดปาก หมิงซีจึงให้นางกินยาลูกกลอนชนิดหนึ่ง ยาชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายคน จะมีประสิทธิภาพนานหนึ่งเดือน ทันทีที่พิษกำเริบ จะทำให้คนเข้าสู่สภาวะตายหลอก”
กลับมียาวิเศษเช่นนี้อยู่ด้วย? ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ ขุนนางทั้งหลายต่างมองซูหลีอย่างตกตะลึง ล้วนทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“พวกเจ้าช่างบังอาจ! ถึงขั้นกล้าหลอกลวงเบื้องสูง?” นางเดาถูกดังคาด ท่านหญิงหมิงซีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของอวิ๋นเฟยอย่างแยกไม่ออก ฮองเฮาตวาดเสียงเกรี้ยว
ตงฟางเจ๋อคัดค้านเสียงแข็ง “ท่านหญิงหมิงซีเพียงเตรียมการล่วงหน้า เพื่อป้องกันคนลอบทำร้ายลับหลัง จะเรียกว่าหลอกลวงได้เช่นไรกัน? คนที่ลอบสังหารอวิ๋นเฟยต่างหากที่จงใจปิดบังเรื่องจริง มีโทษมิอาจให้อภัย! ฮองเฮาจะทรงร้อนพระทัยไปไย ความจริงเป็นอย่างไร เรียกตัวอวิ๋นเฟยมาเข้าเฝ้าย่อมรู้!”
ฮองเฮาจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าเคร่งขรึมไม่พูดอะไรอีก
ฮองเต้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ สายตาตึงเครียดมองสำรวจไปมาไม่หยุด ฮองเฮาถูกเขาจ้องจนแผ่นหลังเย็นวาบ ทว่ากลับยืดหลังตรงอีกครั้ง
“อวิ๋นเฟยอยู่ที่ใด?” ฮ่องเต้ถามด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์
“รอเข้าเฝ้าอยู่นอกวังเพคะ”
“เรียกตัวมา”
ซูหลีเพิ่งจะผ่อนลมหายใจ แต่ครั้นนึกถึงอันตรายที่กำลังจะต้องเผชิญ ฝ่ามือที่กำแน่นก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างบอบบางอ่อนแอของอวิ๋นฉี่หลัวก็ปรากฏอยู่นอกตำหนัก นางหน้าซีด ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง คล้ายกำลังสอดส่องรอบด้านอย่างหวาดระแวง เมื่อเหลือบเห็นฮองเฮา ดวงตาก็ราวกับมีไฟลุกท่วมแทบจะพ่นไฟออกมา
ฮองเฮาสะท้านไปทั้งใจ อวิ๋นฉี่หลัวยังมีชีวิตอยู่จริงๆ! นัยน์ตาหงส์หรี่เล็ก ข่มกลั้นเพลิงโทสะที่ก่อตัวในใจ นางกลับอยากรู้ หญิงเสียสติคนหนึ่ง กับคนที่มีความผิดติดตัวอีกสองคน จะทำให้เกิดคลื่นลมได้มากขนาดไหนกันเชียว!
อวิ๋นฉี่หลัวแม้ดูแตกตื่นลนลาน อารมณ์กลับมั่นคงมาก นางค่อยๆ เดินมาคุกเข่ากลางตำหนัก
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เกิดเรื่องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ฮ่องเต้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ คล้ายเริ่มหมดความอดทน เขาหลับตาลงเบาๆ เอนหลังพิงบังลังมังกร แล้วกล่าวเสียงเข้ม “อวิ๋นเฟย ความจริงเรื่องการตายของเหลียงกุ้ยเฟยเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
ครั้นได้ยินฮ่องเต้ถาม อวิ๋นฉี่หลัวคล้ายหดตัวด้วยความกลัวเล็กน้อย
ตงฟางเจ๋อเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวปลอบใจ “พระสนมอวิ๋นไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ท่านเพียงบอกเรื่องที่รู้ออกมาทั้งหมด เสด็จพ่อจะเป็นคนตัดสินเอง!”
น้ำเสียงมั่นใจของเขา ราวกับทำให้อวิ๋นฉี่หลัวสงบลงมาก เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของฮองเฮาที่จดจ้องมาที่ตนเอง นางพลันใจเย็นขึ้นมาทันที ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ภายนอกพระสนมกุ้ยเฟยดูเหมือนจากไปเพราะอาการป่วยจริงๆ แต่แท้จริงแล้วฮองเฮาลอบปลงพระชนม์นางเพคะ! เดิมทีหม่อมฉันเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นพระสนมกุ้ยเฟยหลับลึกไม่ยอมตื่น หม่อมฉันรู้สึกถึงความผิดปกติ ถึงอย่างไรถุงหอมนั่นหม่อมฉันก็เป็นคนทำเองกับมือ ฉะนั้นจึงอยากไปถามฮองเฮาให้ชัดเจน ใครเล่าจะรู้ว่าหม่อมฉันจะบังเอิญไปได้ยินความจริงที่นางลอบปลงพระชนม์พระสนมกุ้ยเฟยเข้า!” ประสาทของอวิ๋นฉี่หลัวคล้ายตึงเกร็งไปชั่วขณะ!
“ได้ยินอะไร?” ฮ่องเต้กลั้นหายใจ นิ้วมือกำจับที่ท้าวเขนของบัลลังก์มังกรแน่น ร่างกายโน้มเอนไปด้านหน้าอย่างไม่รู้ตัว คำพูดเหล่านี้ เหมือนกับเรื่องที่ตงฟางเจ๋อเคยบอกเขาในห้องหนังสือส่วนพระองค์ไม่มีผิดเพี้ยน และภาพเหตุการณ์ในความทรงจำ ก็คล้ายจะเป็นเช่นนี้ด้วย
ฮองเฮาจ้องหน้าอวิ๋นฉี่หลัวอย่างเย็นชา ยังคงเงียบไม่พูดอะไร
“ที่แท้ นางก็แอบซื้อตัวสาวรับใช้ข้างกายเหลียงกุ้ยเฟยแต่แรก แล้วใช้ให้พวกนางลอบวางยาพิษพระสนมกุ้ยเฟย…”
“ข้าหรือวางยาพิษเหลียงกุ้ยเฟย? อวิ๋นฉี่หลัว ข้าทึ่งยิ่งนัก จินตนาการของเจ้าช่างล้ำเลิศกว่าผู้ใดจริงๆ” ฮองเฮาพลันหัวเราะเย็นชา “เจ้าบอกว่าข้าซื้อตัวนางกำนัลในตำหนักเหลียงกุ้ยเฟย นางเป็นใครเล่า? เรียกตัวมาเป็นพยานเลยสิ!”
แววเยือกเย็นพลันพาดผ่านดวงตาที่ถลึงกว้างของอวิ๋นฉี่หลัว นางกัดฟันกล่าวว่า “เจ้าถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ หลังจากพระสนมกุ้ยเฟยจากไป คนในตำหนักของนางก็ถูกเจ้าวางแผนสร้างอุบัติเหตุถึงแก่ความตายสารพัดรูปแบบ! ยามนี้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่เป็นพยานรู้เห็น!” เอ่ยจบ นางก็หัวเราะอย่างโศกเศร้า แล้วกล่าวอีกว่า “เจ้าฆ่าคนตายไปมากมายขนาดนั้น เห็นชัดว่าจงใจปิดปากคน หากไม่ใช่ว่าข้าระวังทุกฝีเก้า ก็คงถูกเจ้าเล่นงานจนตายไปแล้วเช่นกัน แต่ถึงแม้อย่างนั้น เจ้าก็ยังหาโอกาสขับข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นจนได้ ทรมานข้าสารพัดวิธี จนยามนี้ไม่เหลือสภาพความเป็นคนเช่นนี้”
อวิ๋นฉี่หลัวชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่ออย่างเดือดดาล “หากไม่ใช่ว่าอวิ๋นฉี่หลัวชะตาแข็ง มีผู้มีคุณธรรมคอยช่วยเหลือตลอด คงต้องตายด้วยน้ำมือเจ้าแน่! ฝ่าบาท! หม่อมฉันสาบานต่อฟ้า กู้หยวนถงคือคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการตายของพระสนมกุ้ยเฟย ฝ่าบาทจะปล่อยนางไปไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ!”
อวิ๋นฉี่หลัวน้ำตาคลอเบ้า ร่ำร้องอย่างโกรธแค้นยากจะสงบ ฮ่องเต้ได้ยินก็ขมวดคิ้ว สายตาสงสัยจ้องมองไปยังฮองเฮา
“เอ่ยปากเปล่าไร้หลักฐาน ก็หมายจะชี้ตัวว่าข้าคือคนสังหารเหลียงกุ้ยเฟย หลักฐานเล่าอยู่ที่ใด?” น้ำเสียงของฮองเฮาพลันแหลมสูง
………………………………………………..