ระหว่างที่พูด เถียนหย่งหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างรวดเร็ว เป็นตุ๊กตาของเล่นทำจากไม้ที่ซูหลีแกะออกมาจากมือเจวี้ยนเอ๋อร์นั่นเอง ครั้นฮองเฮาเห็นของสิ่งนั้น สายตาพลันเคร่งขรึม จ้องเถียนหย่งเขม็ง ไม่พูดอะไร
เห็นสิ่งของนึกถึงคน เถียนหย่งเจ็บปวดสุดแสน ประกายน้ำตาในดวงตาไหวระริก “ทุกครั้งที่เจวี้ยนเอ๋อร์ออกมาทำงานนอกวัง นางจะมาหากระหม่อมเสมอ” คล้ายนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าเขาพลันกระตุก เหมือนเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ นางถึงได้แอบบอกกับกระหม่อมว่า นางตั้งครรภ์ลูกของกระหม่อมแล้ว กระหม่อมจึงมอบตุ๊กตาไม้ตัวนี้ให้เจวี้ยนเอ๋อร์ นางตั้งครรภ์ หากถูกจับได้เมื่อใด จะต้องถูกลงโทษเป็นแน่ กระหม่อมร้อนใจยิ่งนัก อยากให้นางออกจากวังมาแต่งงานกับกระหม่อมโดยเร็วที่สุด ใครเล่าจะรู้ ยังไม่ทันคิดหาทางออกได้ เรื่องที่เจวี้ยนเอ๋อร์ตั้งครรภ์ก็ถูกฮองเฮาจับได้ก่อนแล้ว กระหม่อมกับเจวี้ยนเอ๋อร์อ้อนวอนขอให้ฮองเฮาปล่อยพวกเราไปอย่างน่าเวทนา ฮองเฮากลับบอกว่า หากอยากให้เจวี้ยนเอ๋อร์ปลอดภัย กระหม่อมจะต้องทำเรื่องบางอย่างให้นาง!”
สายตาของฮ่องเต้เย็นเยียบ เอ่ยถามเสียงเครียด “เรื่องใด?”
“ฮองเฮาสั่งให้กระหม่อมไปหานักฆ่ากลุ่มหนึ่ง มาดักซุ่มอยู่ระหว่างทางไปอารามฝอกวงในวันที่สิบห้าที่นางออกจากวัง จ้องหาโอกาสลอบสังหาร แล้วแสร้งทำเป็นล้มเหลว โยนความผิดไปให้เจิ้นหนิงอ๋อง! หากเรื่องทุกอย่างราบรื่น นางจะคิดหาวิธีทำให้ข้าพ้นผิด และปล่อยให้เจวี้ยนเอ๋อร์ออกจากวังไปแต่งงานกับกระหม่อม” เสียงของเถียนหย่งพลันสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยใบหน้าละอาย “ท่านอ๋องดีกับกระหม่อมเสมอมา เถียนหย่งถูกบีบบังคับจริงๆ จึงได้ตอบรับเงื่อนไขของฮองเฮาเช่นนั้น” สายตาที่เขามองตงฟางเจ๋อทั้งละอายใจและเสียใจ แทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ตงฟางเจ๋อมองดูด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่เอ่ยคำใด
“ใครเล่าจะรู้ กระหม่อมยอมรับผิดตามคำสั่งของฮองเฮาแล้ว แต่นางกลับผิดคำพูด สั่งโบยเจวี้ยนเอ๋อร์จนตายทั้งเป็น สังหารคนปิดปาก!” พูดไป เถียนหย่งก็ตวัดสายตาไปทางฮองเฮาอีกครั้ง แววเคียดแค้นฉายชัดอย่างไม่อาจปกปิด จู่ๆ เขาก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “นางยังตั้งครรภ์อยู่! เหตุใดจิตใจเจ้าจึงต่ำทรามถึงขนาดนี้? เรื่องที่เจ้าให้ข้าทำ ข้าก็ทำให้เจ้าแล้ว เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่ปล่อยเจวี้ยนเอ๋อร์ไป?! เพราะเหตุใด?” เถียนหย่งเดือดดาลสุดขีด หากมือและเท้าไม่ได้ถูกโซ่ตรวนล่ามไว้ เขาคงกระโจนเข้าไปบีบคอฮองเฮาแล้ว
ภายในตำหนักใหญ่ เสียงสูดหายใจพลันดังระงม เหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี สายตาของฮ่องเต้ เย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม ตงฟางจั๋วตวาดเสียงเกรี้ยว “เถียนหย่ง! เจ้ารู้หรือไม่ให้ร้ายเบื้องบนมีโทษสถานใด?!”
เถียนหย่งกัดฟันกล่าว “วาจาที่กระหม่อมกล่าว เป็นจริงทุกประโยค ไม่ได้โป้ปดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮายิ้มเย็นชา กล่าวเสียงเข้ม “ถูกต้องแล้ว เมื่อวานข้าสั่งโบยนางกำนัลเจวี้ยนเอ๋อร์จริงๆ นางตั้งครรภ์ก่อนแต่ง ทำผิดกฎวังหลวง ข้าถามแล้วถามอีก นางก็ไม่ยอมบอกว่าตั้งครรภ์กับผู้ใด ยามนี้หากไม่มาเข้าเฝ้าที่ตำหนัก ข้าคงไม่รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง หากไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่โกรธจนสั่งโบยนาง!”
ช่างสมแล้วที่เป็นฮองเฮา ในเวลาอย่างนี้ก็ยังสงบนิ่งได้ขนาดนี้ กล่าววาจาฟังดูสมเหตุสมผลไปเสียหมด นางมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานเช่นนั้นหรือ? ซูหลีขมวดคิ้วเบาๆ มองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา
เถียนหย่งเห็นนางพูดจามีเหตุมีผล ทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ก็กำตุ๊กตาไม้ในมือแน่นจนแทบจะแหลกคามือ! เขาหอบหายใจ ขยับนิ้วมือกดอยู่หลายครั้ง ไม่นานเสียง ‘แกร๊ก’ ก็ดังมาจากท้องของตุ๊กตาไม้ตัวนั้น แผ่นไม้เล็กๆ เด้งตัวออกมา เผยให้เห็นช่องท้องเล็กๆ เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกพับจนกลายเป็นชิ้นเล็กมากออกมา
สายตาซูหลีสั่นระริก เป็นดังคาด กลไกที่ซ่อนอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ เถียนหย่งเปิดมันได้จริงๆ ด้วย
“จดหมายฉบับนี้ เป็นจดหมายที่เจวี้ยนเอ๋อร์เขียนขึ้นเองกับมือ นางรู้ว่าฮองเฮาเป็นคนเช่นไร เพราะกลัวว่าหลังจบเรื่องฮองเฮาจะไม่ทำตามสัญญา จึงได้เขียนเรื่องราวความเป็นมาทุกอย่างเอาไว้อย่างละเอียด” เถียนหย่งจ้องหน้าฮองเฮาด้วยสายตาเคียดแค้น อยากกระโจนเข้าไปฉีกร่างนางเสียเดี๋ยวนั้น!
ฮ่องเต้ยกมือส่งสัญญาณ เกากงกงรีบเดินเข้าไปหยิบจดหมายในมือเถียนหย่ง แล้วนำมาน้อมถวายตรงหน้าฮ่องเต้
ในที่สุดสายตาของฮองเฮาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เย็นชาคมปลาบ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงคลื่นอารมณ์ ยังคงผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองดังเดิม
ฮ่องเต้อ่านจดหมายจนจบ พบว่าเป็นอย่างที่เถียนหย่งให้การไม่ผิดเพี้ยน สีหน้าพลันเคร่งเครียด ถามเสียงเย็นชา “ฮองเฮา เจ้ามีเรื่องใดต้องการอธิบายหรือไม่?”
“ฝ่าบาท” ฮองเฮารีบคุกเข่าทันที กล่าวคัดค้านว่า “เอากระดาษที่ไหนไม่รู้มาบอกว่าเป็นจดหมายที่เจวี้ยนเอ๋อร์เขียน แล้วยังเอามาเป็นหลักฐาน ยามนี้นางตายไปแล้ว จะยืนยันได้อย่างไรเพคะว่าจดหมายนี้นางเป็นคนเขียนเอง?”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ เถียนหย่งพลันปวดใจสุดแสน สภาพของเจวี้ยนเอ๋อร์ที่ทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง เขาตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวด “กลไกเปิดตุ๊กตาไม้ตัวนี้มีเพียงข้ากับเจวี้ยนเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ หากนางไม่ได้เขียนแล้วเป็นผู้ใดเขียน?! ทั้งที่เจ้าบีบบังคับข้า จากนั้นก็สังหารเจวี้ยนเอ๋อร์ปิดปากแท้ๆ! นางถูกเจ้าโบยจนแท้งลูก เลือดอาบท่วมตัว หัวใจของเจ้าไยจึงเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้!”
ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาของฮองเฮา นางไม่ไยดีความโกรธแค้นของเขาสักนิด เพียงกล่าวเสียงขรึม “ฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งสั่งโบยเจวี้ยนเอ๋อร์เมื่อคืน เถียนหย่งก็กลับคำให้การว่าหม่อมฉันเป็นผู้บงการแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้บังเอิญเกินไป ตัวเขาอยู่ในคุก รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังได้อย่างไรกันเพคะ? แล้วได้ตุ๊กตาไม้ตัวนั้นมาจากที่ใด? เห็นได้ชัดว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิด จงใจปล่อยข่าว แล้วสั่งให้เขากลับคำให้การ อาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวเพคะ!”
ฮองเฮาเชิดหน้าเล็กน้อย สายตาเย็นชา ค่อยๆ เดินไปหยุดตรงหน้าซูหลี ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “เรื่องราวดังกล่าว เกรงว่าท่านหญิงหมิงซีคงกระจ่างแก่ใจดีที่สุดกระมัง?”
มิน่าเล่าวันนี้นางถึงได้เข้าวังมาแต่เช้า ที่แท้ ก็เพื่อถ่วงเวลานางให้นางตั้งตัวไม่ทัน และไม่อาจคิดแผนรับมือ ครั้นนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมา ฮองเฮาพลันสะดุดใจ ซูหลีไม่ได้เข้าวังมาเพื่อร้องอุทธรณ์ต่อนาง ซูหลีจะต้องสืบรู้เรื่องของเถียนหย่งและเจวี้ยนเอ๋อร์ แล้วคิดจะหาเบาะแสจากเจวี้ยนเอ๋อร์เป็นแน่ ดังนั้นตอนที่นางบีบบังคับให้ซูหลีเลือกข้างอย่างชัดเจน นางถึงได้บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง ไม่ยอมแสดงจุดยืนทันที ซูหลีผู้นี้ เล่ห์เหลี่ยมของนาง เกรงว่าแม้แต่บุรุษยังยากจะเทียบได้!
ฮองเฮามองเถียนหย่งด้วยสายตาเย็นชา ตุ๊กตาตัวนั้นในมือเจวี้ยนเอ๋อร์ดูธรรมดาเกินไป นางจึงประมาท ไม่ได้สั่งให้คนไปตรวจสอบดูอย่างละเอียด
เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่นางยังไม่เข้าใจ ซูหลีถูกกักตัว ตงฟางเจ๋ออยู่ในคุกมืด นางจับตามองทั้งสองคนอย่างเข้มงวดขนาดนี้ นอกจากเมื่อวานที่เข้าวังมา ซูหลีก็แทบไม่ก้าวเท้าออกจากจวนท่านหญิงเลย เช่นนั้น นางติดต่อลับๆ กับตงฟางเจ๋อด้วยวิธีใดกันแน่?
ฮองเฮาชี้ตัวซูหลีอย่างไม่เกรงกลัว เหล่าขุนนางในตำหนักต่างพากันตกตะลึง ความหมายในวาจานาง เห็นชัดว่าต้องการบอกว่าท่านหญิงหมิงซีสมรู้ร่วมคิดกับเถียนหย่งกลับคำให้การ
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาของทุกคนในตำหนักใหญ่หันมามองซูหลีพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ซูหลีแย้มยิ้มบางๆ นางคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าฮองเฮาจะต้องถามอย่างนี้ จึงตอบคำถามอย่างใจเย็น “หากฮองเฮาทรงสงสัยว่าหมิงซีเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เพียงเพราะเมื่อวานหมิงซีเข้าวัง มิใช่เป็นการตัดสินโดยพลการเกินไปหรือเพคะ?”
นัยน์ตาหงส์อันคมเฉี่ยวของฮองเฮา พลันฉายรังสีพิฆาตน่าพรั่นพรึง นางกล่าวเสียงเย็นชา “พลการ? พวกเจ้าสองคนต่างหากที่กระทำเรื่องโดยพลการ! อาศัยเพียงคำพูดเสียสติของอวิ๋นฉี่หลัวใส่ความข้าต่อหน้าพระพักตร์ หาว่าข้าเป็นคนร้ายที่สังหารเหลียงกุ้ยเฟย เรื่องนั้นพวกเจ้าก็ไร้หลักฐานเช่นกัน!” นางหอบหายใจ ราวกับกำลังข่มกลั้นความแค้นที่มีอยู่เต็มอก
นางตวัดสายตาหันไปมองตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทเห็นแก่ที่เจ้ากตัญญูต่อมารดา ไม่ลงโทษสถานหนัก เพียงสั่งกักบริเวณให้คิดทบทวนความผิด แต่เจ้ากลับไม่สำนึก ยังคงลบหลู่เบื้องสูง จ้างวานนักฆ่าให้มาสังหารข้า! ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!” ฮองเฮาพลันหมุนกาย แหงนหน้ามองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบังลังก์สูง ก่อนจะกล่าวอย่างคับแค้นใจ “ฝ่าบาท เจิ้นหนิงอ๋องกับท่านหญิงหมิงซีมีใจคิดให้ร้ายหม่อมฉันอย่างชัดเจน ขอฝ่าบาทโปรดมอบความเป็นธรรมให้หม่อมฉันด้วยเพคะ!”
…………………………………………………