“อย่าว่าแต่เจ้า ข้าเองก็ยังนึกไม่ถึงเช่นกัน!” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็นชา
“ท่านอ๋องจับคนร้ายได้แล้วหรือเพคะ?” ซูหลีถามด้วยความตกใจ
เขาพยักหน้า น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง “คนร้ายนั้นจับได้แล้ว แต่ตายไปแล้ว”
ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย “ตายแล้ว? เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ?”
“เจ้ายังจำวันแรกของปีที่เราไปหาเจียงหยวน แล้วบังเอิญพบบ่าวในจวนจิ้งอันอ๋องที่ถูกเนรเทศระหว่างทางได้หรือไม่?”
ซูหลีสะดุดใจ กล่าวอย่างแปลกใจ “เป็นหญิงนางนั้นหรือเพคะ?”
“ถูกต้องแล้ว” ไอพิฆาตพาดผ่านดวงตาตงฟางเจ๋อ “กว่าเซิ่งฉินจะพบนาง นางก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว นางแปลงโฉม แล้วปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ในจวน คำนวณจากเวลาแล้ว นางแฝงตัวเข้ามาในจวนได้เพียงไม่กี่วัน น่าจะเพิ่งหาโอกาสลงมือได้เมื่อวาน หญิงนางนี้มีศิลปะป้องกันตัวระดับหนึ่ง อาศัยตอนเจ้าหลับ นางตีโม่เซียงจนสลบแล้วจึงค่อยลงมือ”
ซูหลีตึงเครียด บ่าวรับใช้ที่ถูกเนรเทศนางหนึ่งสามารถหนีจากการคุมตัวของทหารได้สำเร็จ แล้วยังลักลอบหนีกลับเมืองหลวง แฝงตัวเข้ามาในจวนท่านหญิงเพื่อแก้แค้นให้นายเก่า อาศัยนางเพียงลำพัง ไม่มีทางลงมือทำเรื่องราวมากมายได้ในเวลาสั้นๆ เช่นนี้แน่ นอกเสียจากว่าเบื้องหลังนาง…มีคนแอบให้ความช่วยเหลือ!
สิ่งที่นางไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ ถึงแม้บ่าวรับใช้นางนั้นฆ่านางสำเร็จ เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังจะได้ประโยชน์อะไรเล่า? ในเวลาสั้นๆ นางยังไม่อาจไขประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงขรึม “เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยผ่านไปง่ายๆ ถึงแม้คนร้ายตายแล้ว แต่คนที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญ! ข้ากำชับเซิ่งฉินให้ไปตรวจสอบดูแล้ว หากได้เรื่องเขาจะมารายงานทันที”
ซูหลีรับคำว่า “อืม” เก็บงำความคิด เงยหน้าก็เห็นแววเหน็ดเหนื่อยปรากฏกลางหว่างคิ้วเขา หัวใจพลันเจ็บปวด รีบกล่าว “นี่ก็ค่ำมากแล้ว ท่านอ๋องรีบพักผ่อนเถิดเพคะ พรุ่งนี้ยังต้องเข้าประชุมช่วงเช้าอีกนะเพคะ”
ตงฟางเจ๋อได้ยินก็ยิ้ม พลันขยับเข้าใกล้นาง สายตาไหวระริก ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ดีเลย เช่นนั้นพวกเรา…ก็เข้านอนเร็วหน่อยเถิด” พูดไป เขาก็กอดนางกลิ้งตัวลงไปบนเตียง!
ซูหลีตกใจ ผลักเขาออกโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลับไม่อาจหลุดพ้นจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขา ใบหน้าหล่อเหลาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า สายตาอ่อนโยน ทำให้หัวใจนางอดไม่ได้ที่จะเต้นโครมคราม นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “อย่าล้อเล่นอีกเลยเพคะ วุ่นวายมาทั้งวัน ท่านอ๋องไม่เหนื่อยบ้างหรือเพคะ?”
มุมปากของเขากระดกขึ้น รอยยิ้มดูร้ายเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าซูซู ไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด”
นางบื้อใบ้ไปทันที ใบหน้าแดงซ่านไปทั้งดวง นับตั้งแต่คืนนั้นที่สระน้ำพุร้อน ดูเหมือนเขาจะทำตัวตามสบายกับนางมากขึ้น
เขายิ้มกว้างขึ้น ก้มหน้าเล็กน้อย ซูหลีสูดหายใจเบาๆ รีบเบนหน้าหนี กลับได้ยินเขาหัวเราะเสียงแผ่ว เขาหอมแก้มนางเบาๆ แล้วพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “เจ้ายังไม่หายดี ข้าจะกล้าทำอะไรเจ้าได้อย่างไร นอนเร็วหน่อยเถิด” เอ่ยจบ ก็รั้งนางเข้ามากอด เอนกายในท่าสบายตัว แล้วจัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อย
“หลับตาเสีย” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังเบาๆ อยู่ข้างหู แฝงเสน่ห์เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีหยักยิ้มมุมปาก ก่อนจะหลับตาอย่างว่าง่าย คืนนี้นางเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตรายอีกครั้ง ยามนี้ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนเขา นางรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งนัก ค่ำคืนนี้ นางไม่ได้หลับใหลอีก ในค่ำคืนที่เงียบสงบ นางฟังเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอของเขา รู้สึกเพียงว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่งดงาม หัวใจพลันสงบสุขขึ้นมาทันที
วันต่อมา ตงฟางเจ๋อไปประชุมช่วงเช้า ซูหลีเรียกหวั่นซินมา ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เมื่อวานเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้ายังไม่ทันได้เก็บสิ่งของของสำนักเฉินเหมินให้ดี ไม่รู้ว่าถูกไฟไหม้ไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว เจ้าไปดูสักหน่อย ระวังตัวด้วยเล่า”
หวั่นซินกล่าว “เมื่อวานหลังจากไฟมอด ข้าก็ขนของกลับมาแล้ว กล่องถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด สิ่งของยังอยู่ครบ เพียงแต่สถานการณ์ในยามนี้ หากเอาของมาไว้ที่นี่คงไม่ปลอดภัย เกิดเจิ้นหนิงอ๋องพบเข้า…”
ซูหลีกตระหนักได้ “ข้าเข้าใจ ช่วงนี้เจ้าก็เก็บไว้ก่อนแล้วกัน เก็บให้ปลอดภัยก็พอแล้ว”
หวั่นซินพยักหน้า “เจ้าค่ะ แต่ว่า บ่าวยังพบของบางอย่างในห้องอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“หืม?” ซูหลีแปลกใจ “คือสิ่งใดหรือ?”
หวั่นซินล้วงของสิ่งนั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ซูหลี นางหรี่ตามอง ที่แท้ก็เป็นสร้อยคอจี้ทองประณีตงดงามกับสมุดบันทึกสภาพยับเยินเล่มหนึ่ง สร้อยคอมีป้ายทองขนาดเล็กห้อยไว้เป็นจี้ บนนั้นสลักรูปนกนางแอ่นเอาไว้ ฝีมือแกะสลักงดงามประณีต มันสยายปีกพร้อมบิน ราวกับมีชีวิต มองแวบแรก กลับดูเหมือนท่าทางของนกเพลิงที่อยู่ในศิลาเลือดนกเพลิงหลายส่วน นางพลิกสมุดบันทึกเล่มนั้นผ่านๆ ด้านในกลับมีเรื่องราวในอดีตของแคว้นหวั่นถูกบันทึกเอาไว้
“เจ้าเจอมันที่ใด?” ซูหลีตกใจเล็กน้อย
“บนพื้นห้องนอนของคุณหนูมีช่องลับอยู่หนึ่งช่องเจ้าค่ะ”
ช่องลับในห้องนอน? เรือนหลักที่นางอาศัยอยู่เป็นที่พักเก่าขององค์หญิงเยวี่ยหยางแห่งแคว้นหวั่นในอดีต หรือว่าป้ายทองนี้เป็นของนาง? ซ่อนไว้อย่างมิดชิดเช่นนี้ จะต้องเป็นของสำคัญมากแน่ๆ
ซูหลีครุ่นคิด “ของสิ่งนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เก็บไว้ที่ข้าก่อนก็แล้วกัน” เอ่ยจบ ก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ “ศพของหญิงสาวที่ถูกเผาไหม้เมื่อคืน เจ้าได้ตรวจสอบหรือไม่?”
หวั่นซินพยักหน้า “บ่าวกับเซิ่งฉินตรวจสอบนางด้วยกัน นางถูกพิษตายจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่พบอะไรน่าสงสัยอย่างอื่น”
“ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่ ท่านอ๋องสั่งให้เซิ่งฉินไปสืบดูแล้วว่านางหนีกลับมาเมืองหลวงได้อย่างไร เจ้าเริ่มจากคนในจวน ตรวจสอบให้ละเอียดว่ามีเบาะแสอะไรหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
วันที่สิบหกเดือนหนึ่ง ฮ่องเต้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจิ้นหนิงอ๋องเป็นองค์รัชทายาท และได้กำหนดวันมงคลสำหรับพิธีแต่งตั้งแล้ว ตงฟางเจ๋อน้อมรับพระราชโองการ ขณะเดียวกันก็ถวายฎีกา ขอพระราชทานอนุญาตจัดพิธีอภิเษกสมรสกับท่านหญิงหมิงซีซูหลีในอีกสามเดือนหลังจากนั้น สองปีให้หลังค่อยจัดพิธีร่วมหอ ฮ่องเต้อนุญาต
เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่เผาจวนท่านหญิงจนเสียหายไม่เหลือเค้าเดิม ท่านหญิงหมิงซีและองค์หญิงเจาหวาย้ายเข้าไปพักในจวนเจิ้นหนิงอ๋องชั่วคราว รอจนกว่าจวนท่านหญิงซ่อมแซมเสร็จแล้วจึงค่อยย้ายกลับ
หลังจากที่ตงฟางเจ๋อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท จวนเจิ้นหนิงอ๋องก็ยิ่งคึกคักขึ้นกว่าเดิม เหล่าขุนนางที่เคยอยู่ข้างฮองเฮาในอดีตต่างพากันมาแสดงความภักดีไม่ขาดสาย จนธรณีประตูจวนอ๋องแทบสึก แม้แต่จั้นอู๋จี๋ก็เริ่มมาเยือนจวนเจิ้นหนิงอ๋องบ่อยขึ้น ท่าทางสนิทสนมยามพูดคุยกับตงฟางเจ๋อ ทำให้ซูหลีประหลาดใจไม่น้อย นางรู้สึกได้รางๆ ว่าสายสัมพันธ์ของสองคนนี้ ไม่ได้ดูง่ายดายเหมือนเช่นที่เห็นภายนอก
หิมะในฤดูใบไม้ผลิตกติดต่อกันหลายวันจนหยุดในที่สุด ท้องฟ้าของเมืองหลวงแคว้นเฉิงสดใสปลอดโปร่ง ด้านหลังจวนเจิ้นหนิงอ๋องมีดอกเหมยสิบกว่าต้น กลิ่นหอมของดอกเหมยสีแดงสดลอยโชยแตะจมูก ตัดกับสีขาวใสเป็นประกายของหิมะ ยิ่งทำให้งดงามจนไม่อาจบรรยาย
ยามบ่ายคล้อยของวันนี้ ตงฟางเจ๋อกลับมาจากประชุมเช้า นั่งชมหิมะในศาลาชมวิวกลางสวนกับซูหลี ซูหลีใช้เวลาทั้งเช้าไปกับการต้มใบชาที่เก็บในช่วงหิมะแรก ทั้งสองกอดกันอย่างเงียบงัน จิบชาพักผ่อนอย่างสบายใจ ยามนี้ความเงียบดีกว่าคำพูดใดๆ ทั้งปวง พวกเขาดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันสบายใจที่หาได้ยาก
“ฮ่า! มิน่าเล่าปล่อยให้ข้าตามหาอยู่ตั้งนาน ที่แท้พวกท่านก็หนีมาเพลิดเพลินอยู่ที่นี่กันสองคน!” เสียงแหลมใสและร่าเริงนี้ หากไม่ใช่องค์หญิงเจาหวาหยางเสวียนจะเป็นผู้ใดได้อีก? นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตแฝงแววซุกซนมองพิจารณาพวกเขาสองคน
ซูหลีขมวดคิ้ว รีบผละออกจากอ้อมแขนของตงฟางเจ๋อ ตงฟางเจ๋อรู้สึกอ้อมแขนว่างเปล่า สายตาพลันขรึมลง กระดกคิ้วกล่าวเสียงเรียบเฉย “องค์หญิงมีเรื่องใดหรือ?”
“ท่านอ๋องตรัสเช่นนี้ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก” หยางเสวียนเบะปาก “เสียแรงที่หม่อมฉันช่วยท่านอ๋องตั้งมากมาย ยามนี้อยากพูดคุยกับพวกท่านสักหน่อยกลับวางท่าเย็นชาถึงเพียงนี้”
………………………………………………