น้ำเสียงเย็นชาของหญิงสาว ราวกับเสียงเย้ยหยันที่เย็นชาที่สุดในโลกนี้
ใบหน้าตงฟางเจ๋อเคร่งขรึม สายตาไหวระริก กล่าวด้วยเสียงตึงเครียด “ข้ารู้ว่าเรื่องที่เสด็จพ่อพระราชทานพิธีอภิเษกสมรสให้เป็นเรื่องกะทันหันมาก ทำให้เจ้าไม่พอใจ แต่เรื่องนี้…!
“เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันแม้แต่น้อยเพคะ!” ซูหลีเงยหน้า กล่าวตัดบทเขาอย่างเย็นชา ก่อนหน้านี้นางไม่ถาม ไม่ได้แสดงว่านางไม่ถือสาสักนิด ยามนี้เขาเพิ่งจะมาอธิบาย นางกลับไม่อยากฟังแล้ว
หน้ากากสีทองปิดบังสีหน้าของนางจนมิดชิด นัยน์ตางามที่แสนเย็นชาสะท้อนแววเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ไม่เหลือความอ่อนโยนและความอ่อนหวานอีกแม้แต่น้อย
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ได้ยินเพียงนางกล่าวเสียงเย็นชา “ระหว่างท่านอ๋องกับหยางเสวียนจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หม่อมฉันไม่สนใจ เด็กในท้องนางจะใช่ลูกของท่านอ๋องหรือไม่ หม่อมฉันก็ไม่สนใจใคร่รู้แม้แต่น้อย!”
น้ำเสียงเด็ดขาดของนางกระตุ้นต่อมโทสะของเขา ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาดำขลับสะท้อนแววโกรธกรุ่น เขาลุกขึ้นแล้วย่างกรายประชิดนาง “นี่เจ้ากำลังแก้แค้นข้าหรือ?”
“แก้แค้น? ท่านอ๋องไม่คู่ควรด้วยซ้ำ!” ซูหลีส่ายหน้า ยิ้มเย็นชา แล้วถอยหลังหนึ่งก้าว “หม่อมฉันเพียงเจ็บใจที่ไม่อาจกระชากหน้ากากจอมปลอมของท่านอ๋องให้เร็วกว่านี้ก็เท่านั้น!” นางหยิบศิลาเลือดนกเพลิงออกจากแขนเสื้อ แสงสีแดงโลหิตทอประกายแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องหนังสือ
สายตาของตงฟางเจ๋อพลันเปลี่ยน ดูแตกตื่นเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไร?”
“ท่านอ๋องกลัวอะไรหรือเพคะ? กลัวว่าหม่อมฉันจะรู้ความลับที่มันสามารถดูดซับเลือดของหญิงพรหมจรรย์เมื่ออยู่ใต้แสงแดดหรือเพคะ?” ซูหลียิ้มหยัน หัวใจกลับเจ็บปวดราวกับมีเลือดไหลอาบ
ตงฟางเจ๋อตึงเครียด “ใครบอกเจ้า?”
กลีบปากบางหยักยิ้มเย็นชา นางมองเขา แล้วกล่าวว่า “บทสนทนาระหว่างท่านกับเซิ่งฉิน ข้าบังเอิญได้ยินมันเข้า ตงฟางเจ๋อ! ละครตบตาของท่าน ช่างแสดงได้แนบเนียน ซูหลีเลื่อมใสยิ่งนัก!”
นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำฉายแววเจ็บปวด เขากลับตอบเสียงเย็นชา “ข้าก็เลื่อมใสเจ้าเช่นกัน”
สายตาสองคู่ปะทะกัน ไร้ซึ่งแววรู้ใจกันเช่นในอดีต มีเพียงความปวดใจและผิดหวัง ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าวเสมือนเหวลึกที่มองไม่เห็น แยกทั้งสองให้ห่างไกลกันสุดขอบฟ้า
ที่แท้ ระยะห่างที่ไกลที่สุดในโลกใบนี้ ก็คือใจคน
ซูหลีสูดหายใจลึกๆ เจ็บปวดแสนสาหัส ทว่านัยน์ตากระจ่างใสของนางกลับเรียบเฉยเหมือนบ่อน้ำนิ่งไร้ซึ่งคลื่นน้ำ
“ท่านอ๋องมั่นใจว่าซูหลีเป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน จะจับหม่อมฉันไปสอบสวนก็ได้นะเพคะ” นางหมุนกายเดินไปประคองหวั่นซินที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่วินาทีเดียว
ที่แท้นางก็เห็นเขาเป็นคนเช่นนี้! ตงฟางเจ๋อพลันปวดใจ แต่กลับพูดเสียงเย็นชา “ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะใด ก็อย่าได้คิดจะไปจากข้า! ตลอดชีวิตนี้ เจ้าเป็นของข้าได้แต่เพียงผู้เดียว!” เอ่ยจบ เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
นางไม่ได้รั้งเขา
การปิดบังและโกหก ทำให้ความรักครั้งนี้เปรียบเสมือนบุปผาน้ำแข็งที่เติบโตบนหน้าผาสูงตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว หลังจากเบ่งบานอย่างงดงาม ก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง…
ซูหลีเดินกลับเรือนพร้อมกับหวั่นซิน นางไม่ได้จมดิ่งสู่ห้วงภวังค์แห่งความเจ็บปวดจนไม่อาจถอนตัว นางยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายต้องทำ! ซูหลีสั่งให้โม่เซียงปิดประตูเรือน แล้วจึงถามเสียงเข้ม “ของถูกเก็บไว้อย่างดี เหตุใดจึงถูกพบได้เล่า?”
หวั่นซินลังเลครู่หนึ่ง “เหลียนเอ๋อร์เป็นคนรื้อออกมาเจ้าค่ะ”
ซูหลีอึ้งงัน “เหลียนเอ๋อร์?”
หวั่นซินกล่าวว่า “ยามนั้นบ่าวไม่ได้อยู่ในเรือน ครั้นกลับไป ก็พบว่านางสวมหน้ากากทองเล่นอยู่นอกเรือน ยังไม่ทันได้พานางกลับ ก็ถูกเซิ่งเซียวพบตัวก่อน พอเซิ่งเซียวถาม นางก็บอกว่าเอามาจากในห้องของบ่าว”
บังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนั้นอาการของนางเป็นอย่างไร?”
หวั่นซินทำหน้าย้อนคิด แล้วตอบว่า “เหมือนยามปกติเจ้าค่ะ” นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเบา “บ่าวเก็บของไว้อย่างดี ไม่รู้ว่านางรื้ออกมาได้อย่างไร”
สายตาซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ให้คนจับตาดูนางให้ดี อย่าปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง”
“เจ้าค่ะ”
วันต่อมา เหลียนเอ๋อร์กลับป่วยกะทันหัน นางโวยวายอยากพบซูหลี บ่าวรับใช้หลายคนก็เอาไม่อยู่ ยามซูหลีไปหานางอย่างเร่งรีบ นางกำลังทุบประตูโวยวายจะออกไป ครั้นเห็นซูหลี ก็รีบวิ่งเข้ามาหา ปากก็ร้องบอกเสียงดัง “คุณหนู! คุณหนูรีบหนีไปเร็วเจ้าค่ะ มีคนจะทำร้ายคุณหนู!”
ซูหลีอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “เหลียนเอ๋อร์เด็กดี ใครจะทำร้ายข้า?”
“มีคนจะทำร้ายคุณหนู จริงๆ นะเจ้าคะ” เหลียนเอ๋อร์ทำหน้าลนลาน จ้องหน้านางไม่วางตา
“ที่นี่ไม่มีใครคิดจะทำร้ายข้า เจ้าดูดีๆ ว่าที่นี่คือที่ใด?” ซูหลีดึงมือนางไปนั่งด้านหนึ่ง พลางลอบส่งสายตา โม่เซียงรีบปลีกกายออกไปอย่างรู้ความ
เหลียนเอ๋อร์หดคอด้วยความหวาดกลัว พึมพำเสียงเบา แล้วดึงนางเข้าไปใกล้ “ที่นี่ที่ไหนเจ้าคะ? คุณหนูรีบหนีไปดีกว่าเจ้าค่ะ รีบหนีไป”
ซูหลีขมวดคิ้ว เห็นนางผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าซีดเผือด สติเลอะเลือน ก็ถอนหายใจ ซูหลียกมือจัดผมให้นาง แล้วกล่าวเสียงเบา “เหลียนเอ๋อร์หวีผมสักหน่อยเถิด จะไป พวกเราก็ต้องออกไปอย่างสง่าผ่าเผยมิใช่หรือ?”
เหลียนเอ๋อร์คล้ายอึ้งไปเล็กน้อย นางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ยื่นมือมอบของสิ่งหนึ่งให้ซูหลี “ดีเจ้าค่ะ หวีผม”
ซูหลีเพ่งมอง ในมือนางคือปิ่นปักผมที่ทำจากเงิน โครงสร้างเรียบง่าย กลับเป็นปิ่นปักผมที่หลีเหยามอบให้ซูหลีเพื่อใช้เป็นหลักฐานในคดีหลีซู! ปิ่นปักผมอันนั้นนางเก็บไว้ในห้องเก็บหลักฐานอย่างดีแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงมาอยู่ในมือเหลียนเอ๋อร์ได้?!
ซูหลีงงงัน ดมกลิ่นอย่างละเอียด บนปิ่นปักผมยังมีกลิ่นของซื่อจือหนิงเซียงอยู่จางๆ หัวใจนางพลันหนักอึ้ง ความสงสัยพลันบังเกิด
“เหลียนเอ๋อร์ ปิ่นนี้เจ้าได้มาจากที่ใด?”
เหลียนเอ๋อร์หมุนปิ่นในมือเล่น แล้วกล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อ “คุณหนูรองไม่เอาแล้วเจ้าค่ะ”
หลีเหยา?! ซูหลีตึงเครียด ยังคงแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ของดีเช่นนี้ ทำไมนางถึงไม่เอาแล้วเล่า ถ้าเจ้าโกหก ข้าจะโกรธนะ”
“ไม่โกหก! คุณหนูรองทิ้งบ่าวเลยเก็บมาเจ้าค่ะ” ใบหน้าเหลียนเอ๋อร์แดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าร้อนใจ
ซูหลีถามอีก “นางทิ้งมันที่ใด เจ้าถึงไปเก็บมาได้?”
“ที่…ที่…” เหลียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว คล้ายกำลังเค้นความจำอย่างสุดความสามารถ นึกอยู่นานแต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ นางร้องไห้หนักมาก…อ๊ะ! บ่าวปวดหัวจังเลยเจ้าค่ะ!” เหลียนเอ๋อร์ยกมือกุมหัวอย่างทุกข์ทรมาน
ซูหลีอึ้งงัน รีบกอดปลอบนาง พลางมองดูปิ่นปักผมในมืออย่างเหม่อลอย ปิ่นนี้แม้ดูเรียบง่าย แต่กลับเป็นของขวัญที่หลีซูซื้อมาฝากหลีเหยายามออกไปท่องเที่ยวต่างถิ่น ในเมืองหลวงไม่น่าจะมีปิ่นอย่างนี้อีกเป็นชิ้นที่สองแล้ว! แต่แล้วปิ่นปักผมอันนี้มาอยู่ที่เหลียนเอ๋อร์ได้อย่างไรกันแน่?
ซูหลีรู้สึกว่าหัวใจตนเองพลันเต้นเร็ว เร็วจนนางไม่อาจสงบใจลงได้!
“หวั่นซิน” นางขานเรียก “เจ้าไปนำปิ่นปักผมที่หลีเหยาเคยมอบให้เพื่อใช้เป็นหลักฐานมา!”
หวั่นซินรับคำแล้วจากไป โม่เซียงนำยากล่อมประสาทเข้ามา ซูหลีเกลี้ยกล่อมให้เหลียนเอ๋อร์ดื่ม ไม่นานนางก็สะลึมสะลือหลับไป ซูหลีกลับมาถึงเรือน หวั่นซินก็นำปิ่นปักผมที่หลีเหยามอบให้นางเพื่อใช้เป็นหลักฐานกลับมาแล้ว ครั้นนำมาเทียบดูอย่างละเอียด ปิ่นปักผมสองอันราวกับถอดแบบกันออกมา ทั้งเนื้อวัสดุและฝีมือ อาศัยแค่สายตายากจะแยกแยะความแตกต่างของพวกมันได้ เพียงแต่ภายใต้แสงสว่าง สีของปิ่นปักผมที่อยู่กับเหลียนเอ๋อร์ดูเข้มกว่าเล็กน้อย! การเปลี่ยนแปลงของสี มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือมีอายุมานาน สองคือ…ซ่อนกลอุบายเอาไว้!
…………………………………….