ครั้นออกจากเขตชายแดน ก็มาถึงภูเขาเทียนเหมินแล้ว จุดที่พวกฮูเอ่อร์ตูติดอยู่คือหุบเขาเร้นลับซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาเทียนเหมิน ลักษณะภูมิประเทศในหุบเขาค่อนข้างพิเศษ ป่าหินเรียงรายสลับซับซ้อน หมอกดำปกคลุมตลอดทั้งปี ยามปกติไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไป
ครั้นผ่านป่าหินมา ก็ถึงทางเข้าหุบเขาเร้นลับ อากาศร้อนชื้นกลุ่มหนึ่งลอยปะทะใบหน้า สายตาของหยางเซียวขรึมลงเล็กน้อย เขาถามเสียงเบา “อาหลีน้อย เป็นอย่างไรบ้าง ได้เรื่องบ้างหรือไม่?”
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย กลิ่นเหม็นเน่ารางๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศร้อนชื้นรอบกาย ตรงทางเข้าหุบเขามีลำห้วยเล็กๆ อยู่สายหนึ่ง น้ำในห้วยเป็นสีเขียว เป็นปรากฏการณ์ของควันพิษไม่ผิดแน่
“ทูตวิญญาณ” ซูหลีหลับตา แยกแยะกลิ่นอย่างละเอียด แล้วหันไปหาเจียงหยวน สายตาของเขาไหววูบ ล้วงขวดกระเบื้องออกมาจากอกเสื้อหนึ่งขวด เทยาลูกกลอนออกมาแจกทุกคนคนละเม็ด แล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ “ยานี้ป้องกันควันพิษได้ ขอเพียงออกจากป่าภายในสามชั่วยามก็จะปลอดภัย”
หลังกินยา หยางเซียวก็ควบม้าพุ่งเข้าไปในหุบเขาเป็นคนแรก ขุนพลอวี๋สั่งเหล่าทหารให้รีบตามไป
ยิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา กลิ่นเหม็นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ยากจะจินตนาการได้ว่าในป่าที่มีควันพิษหนาแน่นขนาดนี้ ไม่มีข้าวปลาอาหาร แค่วันเดียวก็นานเกินพอแล้ว แต่พวกฮูเอ่อร์ตูติดอยู่ในนี้นานกว่าครึ่งเดือน พวกเขาจะมีชีวิตรอดเพื่อรอความช่วยเหลือได้อย่างไร? หยางเซียวหุบยิ้มขี้เล่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังแตกต่างจากยามปกติ
ผ่านไปไม่นาน กระดูกมนุษย์ก็กระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า บ้างก็เริ่มเน่าเปื่อย บ้างก็เพิ่งสิ้นลมไม่นาน
ซูหลีขมวดคิ้ว ทุกคนเร่งฝีเท้าอย่างพร้อมเพรียง ไม่นานก็มองเห็นเหล่าทหารกลุ่มใหญ่อยู่ท่ามกลางแมกไม้ บ้างก็นั่งบ้างก็นอนล้มอยู่บนพื้น ส่วนใหญ่มีสีหน้าหม่นหมอง มีไม่น้อยที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว ขุนพลอวี๋ตึงเครียด อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกเสียงดัง “ขุนพลฮูเอ่อร์ตู!”
เหล่าทหารเองก็เริ่มขานเรียกเสียงดังด้วย ในที่สุด ก็มีเสียงตอบรับอันอ่อนแรงดังออกมาจากกองมนุษย์ด้านหน้า “ข้าอยู่นี่!”
ทุกคนได้ยินเสียงก็หันไปมอง ห่างออกไปไม่ไกลมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นไม้มีคนนั่งอยู่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นสวมหมวกเหล็ก ใบหน้าดำคล้ำ เขาก็คือฮูเอ่อร์ตูนั่นเอง หยางเซียวรีบวิ่งเข้าไปประคองเขา แล้วขานเรียก “ท่านขุนพล!”
ซูหลีรีบล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เปิดฝาขวด แล้วแกว่งไปมาใกล้จมูกของฮูเอ่อร์ตู ฮูเอ่อร์ตูได้สติเล็กน้อย ครั้นเห็นหยางเซียว เขาก็ขานเรียกอย่างตื้นตัน “องค์ชายสี่?!”
หยางเซียวพยักหน้า ประคองเขาขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านขุนพลไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ลองขับเคลื่อนลมปราณก่อน”
ฮูเอ่อร์ตูหลับตาขับเคลื่อนลมปราณอย่างเชื่อฟัง ค้นพบว่าลมปราณไหลเวียนอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคดังคาด จึงค่อยพ่นลมหายใจยาวๆ ลุกขึ้นคุกเข่า แล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์ชายสี่ที่ทรงช่วยชีวิตกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
หยางเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณข้า หากจะขอบคุณก็ขอบคุณนางเถิด” เขาชี้ซูหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะแย้มยิ้มอย่างมีลับลมคมใน
“ขอบคุณท่าน…” เขาเงยหน้ามองซูหลี คนผู้นี้เรือนร่างบอบบาง สายตาคมปลาบเย็นชา ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่สองส่วน เขาถามอย่างประหลาดใจ “ไม่ทราบข้าควรขานนามท่านว่าเช่นไร?”
“ทูตนารี” ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบ
ฮูเอ่อร์ตูอ้าปาก คล้ายไม่รู้ควรตอบสนองต่อความเย็นชาของนางเช่นไรดี ซูหลีไม่พูดมากความ เพียงหมุนกายหันไปช่วยคนอื่นต่อ หลังตรวจสอบดู ค้นพบว่ามีทหารไม่น้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ นางจึงรีบสั่งให้แจกจ่ายยาแก้พิษเพื่อแก้พิษให้พวกเขาแต่ละคน ฮูเอ่อร์ตูและเหล่าทหารติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีข้าวปลาอาหาร อาศัยดื่มเลือดของม้าที่ตายไปแล้ว จึงยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะแก้พิษแล้ว แต่ก็ยังไร้เรี่ยวแรง ส่งผลให้เคลื่อนไหวลำบาก หยางเซียวสั่งให้คนนำน้ำและอาหารมาด้วย ครั้นแจกจ่ายให้ทุกคนได้กินอย่างทั่วถึง จึงค่อยฟื้นฟูกำลังกลับมาได้บ้าง
ซูหลีกล่าวเสียงต่ำ “รีบออกไปจากที่นี่ มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายได้”
หยางเซียวรีบประคองฮูเอ่อร์ตูขึ้นม้า จัดแจงขบวนทหาร นับจำนวนคนให้ชัดเจน ทหารยอดฝีมือสองหมื่นนายยามนี้เหลือเพียงสามพันกว่านายเท่านั้น หลังจากได้รับการช่วยเหลือ ทุกคนก็พลันกระปรี้กระเปร่า เดินทางออกจากหุบเขาเร้นลับอย่างฮึกเหิม แม้การเดินทางจะช้า แต่ก็ยังถือว่าราบรื่น หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดขบวนม้ากลุ่มใหญ่ก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขา ครั้นได้รับอากาศบริสุทธิ์ ทุกคนก็อดร้องด้วยความยินดีไม่ได้ ทว่าจู่ๆ ซูหลีก็พลันยกมือ ตะโกนเสียงเข้ม “ช้าก่อน!”
ทุกคนรีบตั้งท่าระวังตัวทันที
ในป่าหินด้านหน้าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันหนาแน่น เงาร่างสายหนึ่งโฉบหายไปอย่างรวดเร็ว ซูหลีลอยตัวเหนืออากาศ ลองใช้ปลายเท้าสัมผัสหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เสียง ‘บึ้ม’ พลันดังสนั่นเลื่อนลั่น หินขนาดใหญ่ก้อนนั้นแตกออกเป็นสองเสี่ยง เศษหินที่แตกกระจายราวกับลูกธนูหมื่นดอกพุ่งจู่โจมมาทางซูหลีโดยตรง
ซูหลีตึงเครียด หวั่นซินและพวกหยางเซียวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เงาร่างห้าสายเคลื่อนไหวพร้อมกัน หมายจะโฉบเข้าไปช่วยชีวิตคน ทว่ากลับเห็นซูหลีถอยหลังอย่างรวดเร็ว นางสะบัดแขนกลางอากาศ แขนเสื้อโบกสะบัดไปตามลม พลังงานขุมหนึ่งพลันแผ่กำจายปกคลุมรอบกายนาง เศษหินคร่าชีวิตถูกดีดกระจัดกระจายไปทั่วทิศ
ซูหลีมองมือตนเอง นางเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่ากำลังภายในของท่านน้าจิ้งหวั่นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้! เลือดลมในร่างกายพลันป่วนพล่าน คล้ายพลังสองขุมในร่างกายกำลังต่อสู้กันเอง ซูหลีตกใจ หมายจะขับเคลื่อนลมปราณเพื่อปรับสมดุลพลัง แต่จู่ๆ ความรู้สึกทรมานนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หยางเซียววิ่งมาหานาง ตะโกนด้วยความตกตะลึง “ว้าว! อาหลีน้อย เจ้าได้รับกำลังภายในของภูติซ้ายจิ้ง ทำให้ฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้! ต่อไปห้ามรังแกข้าเล่า!”
ซูหลีไม่สนใจเขา สายตาจดจ้องเข้าไปในป่าหิน
“ดูเหมือนจะมีคนอาศัยภูมิประเทศพิเศษของที่นี่สร้างค่ายกลขึ้น หมายจะให้เราติดอยู่ในนี้จนตาย” เซี่ยงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หา!” เหล่าทหารต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อครู่เพิ่งจะก้าวเท้าพ้นประตูนรก พริบตาเดียวก็ต้องก้าวเท้ากลับเข้าไปอีกแล้ว แล้วจะไม่ให้รู้สึกสิ้นหวังได้อย่างไรเล่า มีคนตะโกนขึ้นอย่างโกรธแค้น “สู้กับพวกมันให้รู้ดำรู้แดงไปเลย!” พูดจบก็หมายจะวิ่งเข้าไปโดยไม่รอให้ทุกคนห้ามปราม
ฮูเอ่อร์ตูรีบตวาดเสียงเกรี้ยว “ทหารทุกคนจงฟังคำสั่ง หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามผู้ใดกระทำการโดยพลการ มิเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษทางวินัยทหาร!”
“ขอรับ” ทุกคนรับคำอย่างพร้อมเพรียง ต่างหยุดอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหนอีก
“อาหลีน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นค่ายกลใด?” หยางเซียวเก็บงำสีหน้า ชะโงกเข้าไปกระซิบถาม
ซูหลีไม่ตอบ
เมื่อครู่ เสี้ยววินาทีที่นางลอยตัวเหนืออากาศ นางมองเห็นลักษณะภูมิประเทศอันแปลกประหลาดของป่าหินแห่งนี้ คล้ายมีเก้าประตูแปดทิศ นางพลันนึกถึงค่ายกลเก้าประตูแปดทิศในเทศกาลล่าสัตว์ที่ภูเขาฉีซาน
ค่ายกลนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยขุนพลจอมวางแผนผู้หนึ่งที่ฮ่องเต้ไว้ใจที่สุดในยุคบุกเบิกแคว้นเฉิง ต่อมาถูกดัดแปลงจนสามารถใช้ได้สารพัดรูปแบบ ทั่วทั้งแคว้นเฉิงมีเพียงสองคนเท่านั้นที่สร้างค่ายกลนี้ได้ หนึ่งในนั้นก็คือหยวนเซี่ยง ครั้งนี้หยวนเซี่ยงนำทัพ เขาวางแผนล่อฮูเอ่อร์ตูเข้ามาในหุบเขาที่มีควันพิษ แล้วสร้างค่ายกลไว้นอกหุบเขาควันพิษอีกที หากซูหลีไม่ได้มาที่นี่ด้วย ไม่ว่ากองทัพแคว้นเปี้ยนจะส่งคนมาช่วยชีวิตอีกมากมายเพียงใด สุดท้ายก็ต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนตาย
หากต้องการไปจากที่นี่ ก็จำต้องทำลายค่ายกลก่อน ค่ายกลเก้าประตูแปดทิศนั้นสลับซับซ้อน อานุภาพไร้เทียมทาน หากก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็อาจถูกเศษหินแทงทะลุหัวใจจนตายได้ทุกเมื่อ อันตรายยิ่งกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่หลายเท่า เทศกาลล่าสัตว์ในตอนนั้น ตงฟางเจ๋อเคยบอกใบ้นางอย่างลับๆ ทำให้นางเข้าใจค่ายกลนี้อยู่บ้าง ถึงแม้ยามนี้สถานการณ์จะต่างกัน แต่ประตูที่ตัดสินความเป็นความตายของค่ายกลไม่น่าจะเปลี่ยนไปด้วย
“หม่อมฉันต้องการทหารเก้าคน” ในที่สุดซูหลีก็เปิดปากด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ได้!” หยางเซียวแย้มยิ้มทันที เขารีบตะโกนบอก “ท่านขุนพลฮูเอ่อร์ตู ขุนพลอวี๋ สือไคว่ สือจิ้ง ไปช่วยข้ากับทูตนารีทำลายค่ายกล! คนที่เหลือรอคำสั่งอยู่กับที่ เสียงผิวปากเป็นสัญญาณให้วิ่งออกจากค่ายกลสุดชีวิต ห้ามทำพลาดเด็ดขาด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้คนนับพันรับคำอย่างพร้อมเพรียง ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นในพริบตา
……………………………………………………………