ซูหลีอึ้งงัน เดิมทีนึกว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเป็นคนเย็นชาโหดเหี้ยม นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นเช่นนี้ นางอดรู้สึกสับสนไม่ได้ จึงถามว่า “ยามกล่าวถึงสหายเก่า ฝ่าบาททรงปวดใจถึงเพียงนี้ พระองค์คงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกระมัง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดในอดีตจึงได้สั่งให้คนไล่ล่านางอย่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น?”
“เจ้ารู้เรื่องในอดีตหรือ?” ฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย หันไปมองหยางเซียว “เจ้าเล่าให้นางฟังหรือ?”
หยางเซียวโบกมือ กล่าวว่า “ภูติซ้ายจิ้งคงเป็นคนบอกนางกระมัง ตอนที่ลูกพบนางในแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพ ภูติซ้ายจิ้งก็สิ้นใจอยู่ข้างกายนางแล้ว ซ้ำก่อนตายยังถ่ายทอดกำลังภายในที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตให้นางจนหมดอีกด้วย!”
“ลัทธิธิดาเทพ?” สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนยิ่งตกตะลึง เขามองซูหลีแล้วถามว่า “เจ้าหาแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพเจอได้อย่างไร?”
สายตาของซูหลีสั่นระริกเล็กน้อย นางกล่าวเสียงราบเรียบ “หม่อมฉันเคยเห็นแผนที่เส้นทางลับของเฉินเหมินเพคะ”
“เส้นทางลับของเฉินเหมิน?” ฮ่องเต้ตกใจอีกครั้ง “เจ้าหมายความว่า เส้นทางลับของเฉินเหมินกับเส้นทางลับของลัทธิธิดาเทพเหมือนกันมาก? หรือเฉินเหมินของแคว้นเฉิงถูกสร้างโดยเสวียนจี?” ฮ่องเต้กล่าวอย่างครุ่นคิด สายตาพลันขรึมลงหนึ่งส่วน
ซูหลีพยักหน้าเล็กน้อย สมแล้วที่เป็นฮ่องเต้ นางเอ่ยเพียงประโยคเดียว เขาก็จับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ถามว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักเฉินเหมิน?”
“เคยเป็นเพคะ” ยามนี้ซูหลีตายไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูด หวั่นซินจึงเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน นางได้ถอยมาอยู่หลังม่านแล้ว
ฮ่องเต้กล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นแผนที่กลไกลลับ ก็คงจะเคยเห็นดอกฉิงฮวาที่เสวียนจีขโมยไปด้วย?”
“เคยเห็นเพคะ”
“เจ้าคิดว่าดอกฉิงฮวาเป็นสิ่งที่จะปล่อยให้คนขโมยไปได้ง่ายๆ หรือ? หากข้าจะไล่ล่าอย่างไร้ความปรานีจริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ภูติซ้ายจิ้งขอให้เสวียนจีช่วยอย่างลับๆ พวกเขาคงตายกันหมดแล้ว!”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ นางเงยหน้าด้วยความตกใจ ฮ่องเต้กล่าวต่ออีกว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าลัทธิธิดาเทพเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของเรา เช่นนั้นข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ภายนอกลัทธิธิดาเทพเป็นเพียงสำนักหนึ่งในยุทธภพ แท้จริงเป็นกองกำลังนักฆ่าลับๆ ของราชวงศ์ น้องหญิงซีแปรพักตร์แล้วหนีไป กลไกลับนี้นอกจากตัวธิดาเทพและกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็ไม่มีใครล่วงรู้อีก ฉะนั้นธิดาเทพในแต่ละยุคสมัยล้วนมาจากราชวงศ์ทั้งสิ้น เพื่อความซื่อสัตย์และรับประกันว่าความลับจะไม่มีทางเล็ดลอดออกไปตลอดกาล ลัทธิธิดาเทพมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ธิดาเทพมิอาจแต่งงานได้!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง! แต่มิเป็นการโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ ซูหลีขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้พูดต่อว่า “ฉะนั้น การที่น้องหญิงซีทรยศแล้วหนีไป นางไม่ได้แค่ทรยศลัทธิธิดาเทพ แต่ทรยศแว่นแคว้นบ้านเมืองของตนเองด้วย! คนที่ข้าส่งไปตามหานางมิใช่เพียงสามอาวุโสแห่งลัทธิธิดาเทพเท่านั้น! เพียงแต่…ข้ากำชับว่าต้องจับเป็น ห้ามทำร้ายนางเด็ดขาด ฉะนั้นจึงทำให้พวกเขาห่วงหน้าพะวงหลัง ทำงานได้ไม่เต็มที่ น้องหญิงซีจึงหนีรอดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้า…ทั้งที่รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่กลับทำใจโหดเหี้ยมกับนางไม่ลง! ท่ามกลางพี่น้องมากมายของข้า ถึงแม้นางจะไม่ได้สนิทกับข้าที่สุด แต่พวกเรากลับรู้ใจกันมากที่สุด”
ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ เขาชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างปวดใจอีกครั้ง “ข้า ให้โอกาสนางมาโดยตลอด หวังว่านางจะกลับใจ ข้า…ถึงขั้นให้คนบอกนางว่าข้าอนุญาตให้นางคลอดลูกได้ แต่นางกลับยังดึงดันจะไปจากที่นี่! นาง…ไม่ยอมเชื่อว่าข้าจะทำดีกับลูกนาง!”
ฮ่องเต้แหงนหน้าขึ้น แล้วถอนหายใจยาวๆ ทั้งจนใจและเจ็บปวด
หยางเซียวเอ่ยปลอบใจ “เสด็จพ่ออย่าทุกข์ใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ อาหลีน้อยก็มาที่นี่แล้วอย่างไร ขอเพียงเสด็จพ่อรักนางเหมือนที่รักลูก เชื่อว่าวิญญาณของเสด็จอาที่อยู่บนสวรรค์จะต้องเข้าใจเสด็จพ่อแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้ซูหลีไม่ยอมรับ แต่ดูเหมือนพวกเขาล้วนมั่นใจแล้วว่านางคือลูกของหรงซีจิน
ฮ่องเต้พยักหน้า กวักมือเรียกซูหลี “อาหลี เจ้ามานี่” ใบหน้าน่าเกรงขามของเขาสะท้อนแววรักใคร่หลายส่วน ซูหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทรงอักษร
ฮ่องเต้มองหน้านาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ชีวิตนี้ข้าเองก็มีลูกมาไม่น้อย แต่ที่รักที่สุดมีเพียงเซียวเอ๋อร์กับเสวียนเอ๋อร์” ครั้นกล่าวถึงหยางเสวียน ใบหน้าของเขาหม่นหมองลงหลายส่วน “ยามนี้เสวียนเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว จากนี้ไปเจ้าอยู่ข้างกายข้าเถิด ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเฉกเช่นลูกสาวแท้ๆ แน่นอน”
ความเมตตาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ซูหลีรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก ยามนั้นตอนอยู่แคว้นเฉิง หยางเซียวทำทุกวิถีทางเพื่อจะชิงแหวนหยกขาวไป ครั้นนางมาอยู่ที่นี่ในยามนี้ ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกลับไม่พูดถึงเรื่องแหวนสักคำ
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันพูดอะไร หยางเซียวก็พูดกลั้วเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที “เสด็จพ่อ เหตุใดต้องเป็นลูกสาวเล่า? เป็นสะใภ้มิได้หรือพ่ะย่ะค่ะ? ลูกชอบอาหลีน้อยมากนะพ่ะย่ะค่ะ! อาหลีน้อย ตอนนั้นที่แคว้นเฉิงเจ้าไม่ได้เลือกข้า ยามนี้อยู่แคว้นเปี้ยนหากเจ้าแต่งงานกับข้า ข้ารับประกันจะทำให้เจ้ามีความสุขทุกวันเลย!” เขามองนางพร้อมกับแย้มยิ้มอย่างสำราญใจ ดูเหมือนไม่จริงจัง ทว่าสายตากลับเปล่งประกายเจิดจ้า
ฮ่องเต้หันมามองนาง คล้ายเห็นด้วยกับหยางเซียว
ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบพระทัยฝ่าบาทและองค์ชายสี่ที่ทรงเมตตา ซูหลีเป็นเพียงหญิงสามัญชน มิกล้าอาจเอื้อมจริงๆ เพคะ”
ปริศนาระหว่างลัทธิธิดาเทพกับเสด็จแม่และราชวงศ์ นางกระจ่างหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป หมายจะกล่าวลา แต่ในยามนี้เอง เสียงเคร่งเครียดของขันทีก็ดังมาจากนอกประตู “ทูลฝ่าบาท ทางฝั่งชายแดนมีเรื่องด่วนกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
ใบหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที “เข้ามา”
ประตูตำหนักฉินเจิ้งถูกเปิดออก ขันทีนำทางขุนพลผู้หนึ่งที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเข้ามาในตำหนัก คนผู้นั้นคุกเข่า แล้วกล่าวเสียงร้อนใจ “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“ชายแดนมีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ? รีบบอกมาเร็วเข้า”
“ทูลฝ่าบาท กองทัพแคว้นเฉิงแสร้งพ่ายศึก ล่อขุนพลฮูเอ่อร์ตูเข้าไปในหุบเขาเร้นลับ กองทัพทหารยอดฝีมือสองหมื่นนายของเราติดอยู่ในป่าที่มีควันพิษหนาแน่น กองทัพของเราไม่มีผู้ใดสามารถแก้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” ฮ่องเต้ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาเย็นชา แตกต่างกับท่าทีอ่อนโยนเมื่อครู่มาก เขากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนแคว้นเฉิงช่างเจ้าเล่ห์นัก!”
หยางเซียวเองก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน เขากล่าวปลอบ “เสด็จพ่อโปรดอย่ากริ้ว”
ฮ่องเต้ถาม “เจ้ามีวิธีหรือ?”
หยางเซียวมองซูหลีแวบหนึ่ง โบกมือสั่งให้ขุนพลนายนั้นและขันทีออกไป แล้วจึงค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิชาแพทย์และยาพิษ แต่หากอาหลีน้อยยอมช่วยเหลือ คงไม่ใช่เรื่องยากหากลูกจะช่วยขุนพลฮูเอ่อร์ตูออกมา”
ซูหลีขมวดคิ้วมองเขา กล่าวอย่างเย็นชา “หม่อมฉันรู้เรื่องสมุนไพรเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพิษในป่าเลยแม้แต่น้อย”
“คนของเจ้ารู้ก็เพียงพอแล้ว” หยางเซียวยิ้มให้นาง “อาหลีน้อย เจ้าอาจไม่รู้ ในแต่ละยุคสมัย ลัทธิธิดาเทพจะมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และยาพิษ ในยุคนั้น ผู้อาวุโสเสวียนจีโดดเด่นในด้านนี้มากที่สุด พิษที่พวกข้าใช้ ส่วนมากก็ได้มาจากเขา ได้ยินมาว่าสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างขึ้นมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่เป็นแน่”
ซูหลีรู้ว่าเขาพูดถึงเจียงหยวน แต่นางกลับไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในศึกสงครามระหว่างสองแคว้น
หยางเซียวกลับกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งช่วยเจ้าไปหนหนึ่ง มิเช่นนั้นเจ้าคงลมปราณแตกซ่านไปแล้ว! ยามนี้ข้าตกที่นั่งลำบาก อาหลีน้อย เจ้าจะใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือกันเชียวหรือ?”
เขาเอียงคอมองนาง แสร้งทำหน้าตาตัดพ้อและน่าสงสาร แท้จริงในใจกำลังคิดคำนวณอย่างแม่นยำกว่าผู้ใด ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเอ่ยว่า “หม่อมฉันรับผิดชอบช่วยแก้พิษเท่านั้น”
หยางเซียวแย้มยิ้มอย่างเบิกบานทันที “เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถิด”
“ช้าก่อน หม่อมฉันมีเงื่อนไข พวกท่านต้องรักษาตัวตนของหม่อมฉันเป็นความลับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ตงฟางเจ๋อสังหารทูตของแคว้นข้า สังหารน้องหญิงของข้า ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่มีวันรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่! ปล่อยให้เขากอดบัลลังก์ของเขาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปจนแก่เฒ่า ให้เขาเจ็บจนเหมือนตายทั้งเป็น จึงจะสาแก่ใจข้า” หยางเซียวหัวเราะเสียงใส แววเคียดแค้นในดวงตากลับปรากฏชัดเจนอย่างไม่อาจปกปิด
………………………………………………………..