ครั้นเห็นซูหลีเกลี้ยกล่อมสุดกำลัง หยางเซียวเริ่มหวั่นไหว หยางเจิ้นบังเกิดความคิด รีบกล่าวเสียงเย็นชา “หยางเซียว เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเปี้ยน แต่ความคิดกลับกว้างไกลมิสู้สตรีนางหนึ่ง เสียแรงที่ฝ่าบาททรงคาดหวังกับเจ้าไว้สูง เรื่องในวันนี้ ข้าจะไม่ถือสาหาความ เจ้าจงพิจารณาตนเองเสีย!” เอ่ยจบ เขาก็สาวเท้าเดินจากไป
หยางเซียวร้อนใจ ตะโกนเสียงดัง “ท่านยังไปไม่ได้! ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกับข้า!” เขาหมายจะเดินตามไป แต่กลับถูกซูหลีรั้งแขนไว้แน่น วิชาขี่วายุและคัมภีร์เมฆาลอยเมื่อหลอมรวมกันแล้วทรงพลังยิ่งนัก เขามิอาจสลัดหลุด ทำได้เพียงหันกลับมาถมึงตาจ้องนาง แล้วกล่าวด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว “ปล่อยข้า! อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและขึ้งเคียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งร้อนรน ผิดหวัง และเสียใจ ความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดในหัวใจเขา นับตั้งแต่ที่พบว่านางยังมีชีวิตอยู่ เขาก็รู้สึกดีใจจากใจจริงๆ คิดหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้นางเบิกบานใจ เขาจริงใจต่อนางถึงเพียงนี้ แม้ถูกนางจับเป็นตัวประกัน เขาก็ไม่เคยถือสา…แต่สำหรับนาง เขากลับสำคัญมิสู้เสด็จอา!
ขอบตาของหยางเซียวร้อนผ่าว เขาแทบไม่อาจควบคุมตนเอง
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นไร? ซูหลีพูดอะไรไม่ออก กลับทำได้เพียงสูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “ข้ารู้ว่าท่านจะไม่ทำ”
ประโยคนี้เหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างรุนแรง เจ็บจนหายใจไม่ออก หยางเซียวจ้องหน้านาง รู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุด แต่กลับหัวเราะออกมา “เจ้า เจ้าเอาอะไรมามั่นใจถึงเพียงนี้?”
“ท่านเคยบอกว่าจะไม่มีวันทำร้ายข้า ข้ายังไม่ลืม” ซูหลีกล่าวเสียงนิ่มนวล
“แต่เขาทำร้ายข้า! เขาวางยาสังหารข้านะ! ต่อไปภายภาคหน้าเขาจะต้องทำร้ายเสด็จพ่ออย่างแน่นอน! เจ้าจะให้ข้าปล่อยเขาไปได้เช่นไร?!” หยางเซียวตะโกนเสียงดังอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนเองได้อีกต่อไป
“หยางเซียว ท่านใจเย็นๆ ก่อน! ไม่ปล่อยเขาไปแล้วจะทำเช่นไรได้? ถึงแม้ท่านจะพาเขากลับวัง ท่านก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาเป็นคนกระทำเรื่องพวกนี้จริงๆ!” ซูหลีเตือนเขาด้วยสายตาสงบเยือกเย็น
“ทำไมจะไม่มีหลักฐาน? เจ้าอย่างไรเล่าหลักฐาน! ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้า” เขากุมมือนาง แววคาดหวังอย่างสุดซึ้งพาดผ่านดวงตา
หัวใจของซูหลีหนักอึ้งทันที นางจ้องเขา แต่กลับไม่พูดอะไร
หยางเซียวสะบัดมือนางออกแรงๆ ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่มีทางไม่ช่วยข้า…ไม่มีทาง…”
“ไม่ใช่ข้าไม่อยากช่วยท่าน” ซูหลีเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาปรากฏแววปวดใจ “หยางเซียว…มารดาข้าไม่อยู่แล้ว บนโลกใบนี้ ข้าเหลือครอบครัวเพียงไม่กี่คน…ข้าไม่อยากเห็นพวกท่านเจ็บปวดแม้แต่คนเดียว…”
นัยน์ตารวดร้าวของนางโจมตีหัวใจของหยางเซียว เขาชะงักงันอย่างไม่รู้ตัว
ซูหลีที่เขารู้จัก ทั้งฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งเย็นชาแข็งกร้าว เขาไม่เคยเห็นนางแสดงสีหน้าเจ็บปวดโศกเศร้าราวกับไร้ที่พึ่งเช่นนี้มาก่อน หัวใจของเขาพลันบีบแน่น มิอาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้อีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะเย้ยหยันตนเอง “อาหลี เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นดาวพิฆาตของข้าจริงๆ” รู้ทั้งรู้ว่าเขาใส่ใจความรู้สึกนาง นางกลับเลือกที่จะแสดงความเจ็บปวดออกมาในยามนี้ ทำให้เขาไม่อาจระเบิดคำต่อว่าและความขึ้งเคียดที่มีอยู่เต็มอกออกมา เปลี่ยนเป็นเห็นใจและอาลัยอาวรณ์นางภายในพริบตา
ซูหลีเห็นใบหน้าเจ็บปวดและจนใจของเขา หัวใจกลับรู้สึกทั้งเปรี้ยวทั้งฝาดยากจะแยกแยะ นางเอื้อมมือไปจับมือเขาก่อน แล้วขานเรียกเสียงเบา “หยางเซียว”
นิ้วมือเรียวยาวของนางเย็นเล็กน้อย หัวใจของหยางเซียวสั่นไหว กุมมือนางกลับโดยสัญชาติญาณ แต่กลับหันหน้าไปอีกทาง ไม่พูดอะไร
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ข้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อเสด็จน้าคนเดียวเท่านั้น”
เขาหันกลับมา สีหน้ายังคงบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “ข้ารู้! เจ้ากลัวว่าหากวันนี้ทำให้เขาจนตรอก ภายหน้าเขาอาจเสี่ยงเดิมพันทุกสิ่งที่มี จนไม่รู้ว่าจะทำเรื่องร้ายแรงขนาดไหน แต่เจ้าทุ่มเทกายใจมอบโอกาสให้เขา เขากลับไม่เห็นคุณค่า ถ้าหากภายหน้า เขายังคงกระทำการโดยพลการ เจ้ายังจะช่วยเขาอีกหรือไม่?” เขาจ้องหน้านางไม่วางตา
ซูหลีหลุบตา ไม่ตอบคำถาม เรื่องในอนาคต ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิด หากแต่ถ้าจะให้นางเลือกใครสักคนในครอบครัว นางกลับไม่อาจหาคำตอบที่แท้จริงได้
ครั้นไม่ได้คำตอบจากปากนาง ความผิดหวังก็ถาโถมหัวใจเขาอีกครั้ง ใบหน้าของหยางเซียวหม่นหมองเศร้าสร้อย
หัวใจของซูหลีอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะกล่าวปลอบโยนเขาเสียงเบา “ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องใดกับเขา ยิ่งไม่อยากทำร้ายท่าน ท่านเข้าใจข้า ใช่หรือไม่”
“ข้าเข้าใจ” หยางเซียวหลับตาเบาๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจ “อาหลี ไม่ว่าภายหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ขอให้เจ้าทำเพื่อข้า ขอเพียงเจ้ามีความสุขได้อย่างแท้จริงก็พอ”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ผ่านไปเนิ่นนานก็ทำได้เพียงทอดถอนใจเบาๆ
เสียงกระแอมไอรุนแรงพลันดังขึ้น ซูหลีสะดุ้งตกใจ หันกลับไปดู เซี่ยฝูอันยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองมือของพวกเขาที่กุมกันอยู่ ในดวงตาลึกล้ำ ราวกับมีประกายเจ็บปวดปะปนอยู่
ซูหลีอึ้งงัน ยามนี้เพิ่งตระหนักได้ว่าเซี่ยฝูอันบาดเจ็บอยู่ นางหันไปมอง เห็นเลือดสีแดงสดบนหัวไหล่ของเขาไหลลงมาตามแนวแขน ย้อมแขนเสื้อจนกลายเป็นสีแดงทั้งแถบ ซูหลีตกใจ รีบเข้าไปประคองเขา “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บมากหรือไม่?”
เซี่ยฝูอันใบหน้าซีดขาว ทว่ากลับแย้มยิ้มเล็กน้อย “แค่นี้ไม่ถึงตาย…”
หยางเซียวกล่าว “เขาบาดเจ็บไม่น้อย ต้องรีบทำแผลโดยด่วน ข้าจำต้องกลับวังหลวง อาหลี…”
ซูหลีรีบกล่าว “ข้าเข้าใจ ท่านไปเถิด เรื่องในลัทธิธิดาเทพ ข้าจะจัดการเอง”
ครั้นกลับมาถึงหอซือหยวน ซูหลีเพิ่งจะขานเรียกเซี่ยถง เซี่ยฝูอันกลับกุมมือนาง แล้วกล่าวเสียงเบา “อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่ข้าน้อยบาดเจ็บ คนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”
หัวใจของซูหลีไหวสั่นเล็กน้อย สายตาจดจ้องมือของเขาที่กุมอยู่บนมือตนเอง นางอึ้งงันไปครู่หนึ่ง หมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับดึงมือกลับไปก่อน แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งตรงขอบเตียง
“ข้าจะให้คนไปเรียกเจียงหยวนมา” ซูหลีหลบสายตาเขา หมุนกายหมายจะเดินออกไป แต่กลับถูกเขารั้งไว้อีกครั้ง
“ไม่ได้” เสียงหอบหายใจของเขาดังอยู่ข้างหูนาง ใกล้ถึงเพียงนั้น ฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบเหมือนน้ำ แม้มีแขนเสื้อกั้นขวางก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็พยายามข่มกลั้นตนเอง
“เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย จำต้องรีบใส่ยา” นางดึงมือออกเบาๆ ครั้งนี้ เขาไม่ได้ปฏิเสธอีก เพียงก้าวถอยหลังไปช้าๆ
“ขอบคุณท่านธิดาเทพที่เป็นห่วง” ใบหน้าเขาซีดเหมือนกระดาษ สายตากลับเปล่งประกายดั่งดวงจันทร์ เขาจ้องนางแน่นิ่ง “ข้าน้อยใส่ยาด้วยตนเองได้ขอรับ”
เขาสูดหายใจ แล้วถอดเสื้อตัวบนที่เปื้อนเลือดออก เสื้อผ้าถูกถอดออก เรือนร่างกำยำสมส่วนของบุรุษหนุ่มปรากฏสู่สายตา ซูหลีหันหน้าหนีโดยสัญชาตญาณ เหลือบเห็นประตูและหน้าต่างยังเปิดอยู่ จึงสะบัดแขนเสื้อ ปิดประตูหน้าต่างจนแน่นสนิท
เขาก้มหน้า รอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มีพาดผ่านกลีบปาก พลันลุกขึ้นยืน แล้วดึงสายคาดเอวออก เสื้อคลุมตัวยาวร่วงลงกับพื้นทันที ซูหลีเงยหน้ามองโดยไม่รู้ตัว บุรุษตรงหน้าไหล่กว้างเอวสอบ สัดส่วนชัดเจน สมบูรณ์แบบจนทำให้คนหน้าแดงใจเต้น เรือนร่างนี้ เหตุใดจึงให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก? เพียงแต่ใบหน้านั้น ใบหน้านั้น…กลับไม่ใช่ใบหน้าของคนที่นางคุ้นเคย
“ท่านธิดาเทพ…” เขาขานเรียกนางเสียงเบา พยายามข่มกลั้นคลื่นอารมณ์บางอย่าง
“อะไร?!” นางพลันได้สติ ลอบกำมือโดยไม่รู้ตัว
“ข้าน้อยบาดเจ็บที่หลัง รบกวนท่านธิดาเทพช่วยหน่อยขอรับ” เขายัดยาขวดหนึ่งใส่มือนาง
ซูหลีอึ้งงัน ในใจมีเสียงหนึ่งร้องปฏิเสธ แต่ขาของนางราวกับมีรากงอกออกมา ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่ก้าวเดียว
……………………