หลินเหยาทรุดนั่งบนพื้น หน้าซีดราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง จู่ๆ ก็กัดฟันกล่าวว่า “เรียนท่านธิดาเทพ ข้าน้อยทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสเสวียนฟงทั้งหมด! ข้าน้อยไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์ปัจจุบัน มิเช่นนั้น…มิเช่นนั้นข้าน้อยจะอาจหาญกระทำความผิดใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อย่างไร!”
สายสัมพันธ์ระหว่างธิดาเทพกับราชวงศ์ รวมถึงฐานะที่แท้จริงของหยางเซียว นอกจากซูหลีและผู้อาวุโสทั้งสองท่าน กับทูตทั้งสี่ ก็มีเพียงเซี่ยฝูอันเท่านั้นที่รู้
“เจ้าทำอะไรบ้าง จงบอกมาตามความจริง”
“ผู้อาวุโสเสวียนฟงมอบพิษดับชีพขวดนี้ให้ข้าน้อยอย่างลับๆ สั่งให้ข้าน้อยแปลงโฉมแฝงตัวเข้าไปในห้องครัว แล้วฉวยโอกาสหลังจากที่เซี่ยถงตรวจไม่พบพิษในน้ำแกงเม็ดบัว ใส่ยาพิษลงไปในถ้วยแกง ส่วนผู้ที่เขาต้องการวางยาพิษเป็นใคร และเขามีจุดประสงค์ใด ข้าน้อยไม่รู้เรื่องด้วยเลยแม้แต่น้อยขอรับ!” เขาถมึงตาจ้องเสวียนฟงอย่างเคียดแค้น เปลวเพลิงแทบจะพุ่งออกมาจากดวงตา ท่าทางชิงชังจนเข้ากระดูกดำ
ซูหลีสั่งให้คนจับตัวเขาไปขัง ก่อนจะหันไปมองเสวียนฟง แล้วกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ทั้งหลักฐานและพยานล้วนครบถ้วน ท่านยังมีคำอธิบายใดหรือไม่ เอาแต่เงียบเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าท่านไร้ความผิด”
เสวียนฟงเงยหน้ามองนาง กลับแย้มยิ้มเล็กน้อย “คนก็ตายไปแล้ว สำคัญด้วยหรือว่าใครจะเป็นผู้ร้ายตัวจริง? ในที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดหนีความผิดพ้นอยู่แล้ว ข้าจะยอมรับผิดหรือไม่ จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?” ประกายสิ้นหวังพาดผ่านดวงตา เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้า มุมปากหยักยิ้มขมขื่น
ซูหลีลอบตึงเครียด เห็นได้ชัดว่าเสวียนฟงไม่กลัวตายแล้ว คนที่ร้องหาความตายเช่นเขา ยังจะเปิดปากพูดความจริงอีกหรือ?
ยามนี้เอง เสียงหัวเราะเย็นชาของคนผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าถูกคนบงการ ย่อมต้องหวังให้ข้าตายอยู่แล้ว!”
ครั้นวาจานี้ดังขึ้น เสวียนฟงหน้าถอดสีไปทันที เขารีบเงยหน้า คนที่ถูกพิษจนสิ้นลมไปแล้วจู่ๆ กลับลุกขึ้นนั่ง อาภรณ์สีแดงเพลิงขับเน้นให้ใบหน้าเขายิ่งดูเขียวคล้ำ นัยน์ตาเย็นชา คราบเลือดสีแดงตรงมุมปากยังคงอยู่ ดูเสมือนวิญญาณแห่งความตาย
เสวียนฟงเบิกตากว้าง ร่างกายสั่นเทา หยางเซียวกระโดดลงจากเตียง เงาด้านหลังบ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือมนุษย์มิใช่วิญญาณ เสวียนฟงตึงเครียด แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สีหน้าสับสนแปรเปลี่ยนไปมา
อวี๋เชียนจีเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน นางอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
ซูหลีขมวดคิ้ว แอบถอนหายใจเบาๆ ให้เขารอจนนางสอบสวนเสร็จแล้วค่อยลุกขึ้นมา คงเป็นเรื่องยากอย่างเห็นได้ชัด
หยางเซียวเดินมาตรงหน้าเสวียนฟง หลุบตามองเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “บงการหลินเหยาวางยาพิษสังหารข้า โยนความผิดให้เสวียนจิ้ง แล้วลอบฝ่าฝืนคำสั่งของธิดาเทพโดยการแอบส่งข่าวการตายของข้าไปที่วังหลวง ครั้นไม่มีการตอบกลับเสียที เจ้าก็สังหารเสวียนจิ้งปิดปาก สร้างสถานการณ์ว่าเขาฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด หมายจะจบเรื่องลงแต่เพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสเสวียนฟง เจ้าช่างใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก!”
ทุกถ้อยคำของเขาเหมือนดั่งมีดแหลมคมที่เสียดแทงหัวใจเสวียนฟง เขาแทบหายใจไม่ออก ร่างกายโน้มต่ำ ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้อีก
“บอกมา ผู้ใดบงการให้เจ้าทำเช่นนี้? มีจุดประสงค์ใดกันแน่?” หยางเซียวมิอาจข่มกลั้นเพลิงโทสะ
ร่างกายของเสวียนฟงสั่นเทาอีกครั้ง ชำเลืองมองอวี๋เชียนจี ทว่ากลับขบกรามแน่นไม่ยอมเอ่ยวาจา
สายตาของเซี่ยฝูอันไหวระริก จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วเกลี้ยกล่อมว่า “ผู้อาวุโสเสวียนฟงอยู่ในลัทธิมาหลายสิบปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้อาวุโส ท่านทุ่มเทสติปัญญาเพื่อลัทธิเรามาโดยตลอด ที่กระทำเช่นนี้จะต้องมีความจำเป็นใดแน่นอน เหตุใดท่านจึงไม่ยอมพูด บางทีท่านธิดาเทพและองค์ชายสี่อาจมีน้ำพระทัยกว้างขวางลงโทษท่านสถานเบา”
วาจานี้คล้ายพูดแทงใจเสวียนฟง ในที่สุดสายตาที่หนักแน่นมั่นคงดั่งเหล็กกล้าก็พลันปรากฏแววสั่นไหว
นัยน์ตาของอวี๋เชียนจีสั่นระริกเล็กน้อย นางทอดถอนใจแล้วกล่าวคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “ผู้อาวุโสเสวียนฟงต้องพิจารณาให้ดี ชี้ตัวผู้บงการตัวจริงแต่โดยเร็ว ยอมสละชีวิตตนเองแต่เพียงผู้เดียว แล้วอ้อนวอนองค์ชายสี่อาจเลี่ยงโทษประหารเก้าชั่วโคตรได้! มิเช่นนั้น แม้ไปเยือนปรโลกแล้ววิญญาณของท่านก็อาจไม่สามารถจากไปอย่างสงบสุขได้!”
นางทอดถอนใจหลายครั้ง คล้ายโศกเศร้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางลูบไล้พู่หยกสีขาวก้อนหนึ่งที่ห้อยไว้ตรงเอว พู่หยกก้อนนั้นลวดลายประณีตงดงาม ตรงกลางสลักอักษร ‘กัง’ เอาไว้
สายตาของเสวียนฟงพลันแปรเปลี่ยน คล้ายถูกคนพูดจี้จุดสำคัญ ท่าทางลังเลและหวั่นไหวเมื่อครู่พลันจางหายไปในชั่วพริบตา แววสิ้นหวังค่อยๆ พรั่งพรูในดวงตา
ซูหลีพลันสะดุดใจ สังหรณ์ใจไม่ดี กลับเห็นเสวียนฟงยกฝ่ามือซัดไปที่หน้าผากตนเอง! หมายจะปลิดชีพตนเองเสียเดี๋ยวนั้น
ซูหลีและหยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี ในเสี้ยววินาทีเส้นยาแดงผ่าแปด เซี่ยฝูอันเคลื่อนไหวเร็วกว่าทุกคนหนึ่งก้าว! เขาพุ่งตัวเข้าไปตรงหน้าเสวียนฟง คว้าข้อมือเสวียนฟงไว้ และสับฝ่ามือไปที่ต้นคอเขาอย่างรวดเร็ว เสวียนฟงหมดสติล้มลงไปบนพื้นทันที
ซูหลีถอนหายใจเล็กน้อย “เอาตัวเขาไปขังในห้องลับก่อน จับตาดูอย่างเข้มงวด พรุ่งนี้ค่อยสอบสวนใหม่”
เซี่ยงหลีกับฉินเหิงก้าวเข้ามาแบกร่างเสวียนฟงออกไป
“ข้าแสดงเนียนหรือไม่?” ครั้นทุกคนแยกย้ายออกจากตำหนักไปหมดแล้ว หยางเซียวก็ถามอย่างย่ามใจ
ซูหลีไม่สนใจเขา เขาแกล้งตายได้เหมือนมากจริงๆ แม้แต่คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วเช่นนางยังเกือบจะหลงเชื่อแล้ว ยามนี้เสวียนจิ้งตายแล้ว เสวียนฟงถูกขัง แต่กลับยังมีปริศนามากมายที่ไขไม่ออก
ซูหลีหันไปมองเซี่ยฝูอัน กล่าวเสียงเรียบเฉย “ผู้ดูแลเซี่ยวรยุทธ์ล้ำเลิศยิ่งนัก”
สายตาคมปลาบของนางจดจ้องเซี่ยฝูอันเขม็ง ค้นพบว่ายิ่งนานไป คนผู้นี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา! เมื่อครู่ตอนที่หยางเซียว ‘ฟื้นคืนชีพ’ ขึ้นมา ทุกคนล้วนตกตะลึง มีเพียงเขาที่สีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับดูออกแต่แรกแล้วว่านี่เป็นเพียงละครที่นางกับหยางเซียวร่วมกันจัดฉากขึ้นมา! และเมื่อครู่ตอนที่เสวียนฟงหมายจะปลิดชีพตนเอง เขาก็ตอบสนองเร็วที่สุด ทำให้นางอดตกตะลึงไม่ได้!
ครั้นถูกนางจ้องเช่นนี้ เซี่ยฝูอันกลับไม่รู้สึกอะไร ตรงกันข้ามกลับจ้องตานางกลับอย่างใจเย็น สายตาร้อนแรงบีบคั้นผู้คน ราวกับต้องการมองทะลุใจนาง จู่ๆ เขาก็ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ท่านธิดาเทพชมเกินไปแล้ว เมื่อครู่ข้าน้อยเพียงอยู่ใกล้เขา จึงเข้าไปห้ามไว้ได้ทันก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นหรือ?” นางก็แย้มยิ้มเช่นกัน ทว่าในรอยยิ้มกลับสะท้อนแววเย็นเยียบเล็กน้อย
จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็โบกไปมาตรงหน้านาง หยางเซียวทิ้งตัวนั่งลงข้างกายนาง แล้วโวยวายอย่างไม่พอใจ “นี่ ข้าเกือบตายแล้วนะ เจ้าไม่เป็นห่วงข้าหน่อยหรือ เอาแต่ถามโน่นถามนี่อยู่ได้!” แขนยาวๆ ของเขาเอื้อมมาจับหัวไหล่นาง สีหน้าจริงจังครึ่งหนึ่ง ล้อเล่นครึ่งหนึ่ง
เซี่ยฝูอันจ้องมือข้างนั้น สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
นางรีบลุกขึ้นยืน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมสนิทสนมของหยางเซียว แล้วกล่าวเสียงเฉยชา “เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้นมากมาย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนกันเถิด”
หยางเซียวโอดครวญ “ข้านอนมาตั้งหลายชั่วยามแล้ว ยังจะให้นอนอีกหรือ…”
ซูหลีไม่สนใจเขา เดินตรงเข้าไปพักผ่อนในห้องนอน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว นางหลับไปอย่างสะลืมสะลือ เสียงสายอัสนีบาตฟาดฟันลงมาจากขอบฟ้า แผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั้งผืน ซูหลีสะดุ้งตื่น นอกหน้าต่าง สายอัสนีบาตสีเงินผ่าลงมากลางท้องฟ้า สายฝนเทกระหน่ำตามมาทันใด นางบังเอิญเหลือบเห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งหายวับไปนอกหน้าต่าง จึงรีบตั้งสติ เพ่งมองอย่างละเอียดอีกครั้ง เงาร่างสีดำสายนั้นกลับหายไปเสียแล้ว
ซูหลีขมวดคิ้ว เสียงฝีเท้าเบาๆ พลันดังมาจากด้านนอก นางตึงเครียด รีบหลับตาลงทันที หลายวันก่อนที่นางรู้สึกเหมือนมีคนมาหานางยามกลางคืน บางทีอาจไม่ใช่ภาพลวงตาก็เป็นได้! ประสาทของนางเขม็งเกลียว ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดเบาๆ คนผู้หนึ่งค่อยๆ ย่องเข้ามาใกล้เตียงนาง…
ด้านนอก สายฝนโหมกระหน่ำ กลิ่นหอมสดชื่นของดินที่เปียกฝนลอยโชยเข้ามา คนผู้นั้นเก็บงำกลิ่นอายได้ดีมาก นางถึงขั้นแยกแยะไม่ออกว่าเป็นผู้ใด แต่นางสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เงาร่างสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้หัวเตียง โน้มกายลงมา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะพรืดออกมา “ที่แท้เจ้าก็ยังไม่นอนเหมือนกันหรือ!”
…………………………