เซี่ยฝูอันคล้ายอึ้งไปเล็กน้อย กล่าวอย่างประหลาดใจ “หัวหน้าสำนักอวี๋? เหตุใดเป็นท่านได้?”
อวี๋เชียนจีได้สติกลับคืนมา ตกใจเมื่อพบว่าเมื่อครู่ตนเองแทบลืมหายใจ นางกลอกหมุนดวงตา แล้วหัวเราะเสียงเบา “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเล่า? หรือว่า…ท่านไม่อยากเจอข้า?”
เซี่ยฝูอันสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “หัวหน้าสำนักอวี๋เข้าใจผิดแล้ว”
“เข้าใจอะไรผิดเล่า?” อวี๋เชียนจีมองเขาด้วยสายตาร้อนแรง ถามกลั้วเสียงหัวเราะ “เหตุใดต้องแอบเปลี่ยนส้มหวงกั่วของข้าออกด้วย?”
เซี่ยฝูอันหน้าเปลี่ยนสี ราวกับถูกคนอ่านใจ ท่าทางตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
เรียวแขนเนียนขาวโอบไหล่เขาเบาๆ ดวงหน้างามหยดย้อย ผิวกายเนียนดั่งหยก กลีบปากดั่งบุปผา พาเอากลิ่นอายน่าหลงใหลประชิดเข้ามาใกล้เขา อวี๋เชียนจีหัวเราะเสียงเบา “เมื่อครู่ข้าได้ยินอย่างชัดเจน ท่านอย่าคิดจะปฏิเสธเชียว! ท่านชอบข้า ใช่หรือไม่?”
เซี่ยฝูอันสะท้านไปทั้งตัว ท่าทางเหมือนขวยเขินจนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้าชอบกินส้มเขียวหวานหลิ่งหนาน นอกจากสาวรับใช้คนสนิทของข้า ท่านใส่ใจข้ามานาน แอบสืบความชอบของข้าอย่างลับๆ แต่กลับไม่กล้ายอมรับ อ๊ะ ข้าเดาออกแล้ว ใช่กลัวท่านธิดาเทพรู้เข้าแล้วจะสงสัยในตัวท่านหรือไม่?” ดวงตาสดใสกะพริบปริบๆ นางอยากรู้ความคิดที่แท้จริงของเขาจนแทบทนไม่ไหว
สตรีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ ครั้นส่งสายตาสนิทสนมอย่างนี้ให้ก็แทบจะสามารถหลอมละลายทุกอย่างบนโลกได้แล้ว
เซี่ยฝูอันคล้ายต้านทานความอ่อนช้อยของนางไม่ไหว สุดท้ายก็ทอดถอนใจ “ในลัทธิแม้จะไม่มีกฎห้ามแต่งงานกับผู้มีอำนาจ แต่ก็ยังไม่เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาก่อน ท่านธิดาเทพเพิ่งมาอยู่ในแท่นบูชาหลักได้ไม่นาน ข้าน้อยไม่รู้ความคิด และเบื้องลึกของนาง ข้าน้อย…” เขาพลันหยุดพูด คล้ายมีบางคำพูดที่เหนียมอายเกินกว่าจะพูดออกมา
อวี๋เชียนจีกระจ่างทันที นางไม่บีบบังคับเขา เพียงแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ฉะนั้นครั้งที่แล้วที่ข้าไปหาท่าน ท่านปฏิเสธข้า เพราะรู้ว่าพวกเขาแอบจับตามองท่านอยู่หรือ?”
เซี่ยฝูอันพยักหน้าเงียบๆ
ประกายเย็นชาพาดผ่านดวงตาอวี๋เชียนจี ปากกลับกล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านช่างโง่เขลานัก ยามปกติออกจะดูน่าเกรงขาม ดูแลแท่นบูชาหลักอันกว้างใหญ่ขนาดนี้ พูดตรงๆ ไม่ได้ก็ยังคิดหาทางอื่นได้นี่นา หากวันนี้ข้าไม่บังเอิญเห็นเข้า ท่านคิดจะเก็บไว้เป็นความลับตลอดชีวิตเลยหรือไร?”
เซี่ยฝูอันขยับกลีบปาก คล้ายทำตัวไม่ถูก “ข้าน้อย…”
อวี๋เชียนจีแอบยิ้มเล็กน้อย บุรุษที่ดูฉลาดปราดเปรื่องในยามปกติ ครั้นเผชิญหน้ากับสตรีในดวงใจล้วนต้องกลายเป็นคนโง่เขลาด้วยกันทั้งสิ้น “เอาเถิดคนโง่ ข้าเข้าใจหมดแล้ว ค่ำนี้ยามเที่ยงคืน พบกันที่ศาลาอวี่ฮวา”
“ค่ำนี้หรือ? เกรงว่าจะไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
“พักนี้แท่นบูชาหลักเพิ่มความเข้มงวดในการเดินตรวจตรา ซ้ำยังเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด สถานการณ์ไม่ค่อยมั่นคง รอให้ผ่านช่วงนี้ไป ข้าน้อย ข้าน้อยค่อยไปหาท่าน” เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ
อวี๋เชียนจีถามด้วยความสงสัย “เหตุใดต้องเพิ่มความเข้มงวดด้วยเล่า กำลังตามหาคนหรือ?”
เซี่ยฝูอันไม่ได้ตอบทันที สายตาสะท้อนแววลังเลเล็กน้อย คล้ายกำลังกังวลบางอย่าง
อวี๋เชียนจีคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วถามว่า “คงไม่ใช่เสวียนฟงหนีไปแล้วกระมัง?”
สายตาของเซี่ยฝูอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองนางด้วยความตกใจ อวี๋เชียนจีลอบดีใจ แต่ปากกลับร้องด้วยความตกตะลึง “ข้าเดาถูกหรือนี่?!”
สายตาของเซี่ยฝูอันเป็นประกาย แต่กลับไม่ได้ตอบนางทันที ท่าทางที่ทำเหมือนจะพูดบางอย่างแต่ก็หุบปาก ยิ่งยืนยันความคิดของนาง อวี๋เชียนจีถามหยั่งเชิง “ผู้ดูแลเซี่ย! เสวียนฟงเป็นนักโทษอันดับหนึ่งของลัทธิธิดาเทพเรา จะปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดนะ! หากเรื่องนี้เป็นความจริง…เกรงว่าทั้งท่านและข้าคงลำบากแล้ว”
เซี่ยฝูอันทอดถอนใจ “ข้าน้อยมีหรือจะไม่รู้ผลดีผลเสียของเรื่องนี้? ท่านธิดาเทพมีคำสั่งให้ปิดข่าวนี้ไว้ มั่นใจว่าเสวียนฟงยังหนีไปได้ไม่ไกล ทูตมั่งคั่งกำลังตามสืบอยู่…ท่านอย่างได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาดเล่า…”
“วางใจเถิด ข้าจะทำให้ท่านเดือดร้อนได้เช่นไรกัน?” อวี๋เชียนจียิ้มหวาน “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าเองก็จะกลับแล้ว ท่านเองก็ระวังตัวให้มากด้วยเล่า อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดอีก!”
อวี๋เชียนจีจากไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าฝีเท้าเร่งรีบ แทบไม่รับรู้ถึงสายตาลึกล้ำของบุรุษที่อยู่ข้างหลัง กลีบปากเผยอขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มเหยียดหยัน
ในคืนเดียวกัน ฉินเหิงส่งข่าวมาที่ตำหนักเซิ่งซิน ซูหลีเปิดจดหมายอ่าน จากนั้นก็ม้วนแล้วสอดเก็บเข้าไปในกระบอกจดหมายเช่นเดิม นกพิราบส่งสารสีขาวกระพือปีกบินขึ้นกลางอากาศ แล้วมุ่งหน้าออกจากภูเขาชื่อเหลียน
หลายวันต่อมา
ณ โขดหินเชียนเตี๋ย ซึ่งเป็นยอดเขาลักษณะพิเศษที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักจันทร์เสี้ยว ยอดเขาเรียงราย ก้อนหินรูปร่างประหลาดทับซ้อนกัน คนทั่วไปยากจะปีนขึ้นมาถึงยอด มีนกเหยี่ยวบินมาพักบ้างเป็นครั้งคราว
บนโขดหินลักษณะพิเศษขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกระดองก้อนหนึ่ง ด้านล่างโขดหินมีลักษณะเหมือนถ้ำหินธรรมชาติ ปากถ้ำถูกเถาวัลย์ยาวเหยียดปิดคลุม ภายในถ้ำมืดสลัว ชายวัยกลางคนชุดเทาผู้หนึ่งเดินไปเดินมาด้วยอารมณ์ร้อนใจ
“ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย เสวียนฟง”
เสวียนฟงตื่นตะลึง เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นคนผู้หนึ่งแหวกม่านเถาวัลย์ออก แล้วยืนมองเขาจากปากถ้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ ผู้มามีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน ดวงตากลับคมปลาบลึกล้ำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันตราย เงาสีดำใต้ฝ่าเท้าของเขาถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนทอดยาวอยู่บนพื้น เหมือนปีศาจที่ควบคุมสรรพสิ่งในโลกจำแลงกายมา
เซียวอ๋อง หยางเจิ้น
“ท่านอ๋อง!” เสวียนฟงหน้าถอดสีทันที เขาตะโกนเรียกด้วยความตื่นตะลึง
“นึกไม่ถึงว่าลัทธิธิดาเทพมีกลไกแน่นหนาขนาดนี้ ท่านกลับยังหนีออกมาได้!” หยางเจิ้นกวาดมองด้านในถ้ำหนึ่งรอบ มั่นใจว่าข้างในไม่มีคนอื่นอยู่ เขาจึงเดินเอามือไพล่หลังเข้าไป
เสวียนฟงทอดถอนใจ “โชคดีที่คนเฝ้ายามกะกลางคืนเคยได้รับความช่วยเหลือจากกระหม่อม จึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยกระหม่อมออกมา”
“เช่นนั้นหรือ? ช่างบังเอิญจริงๆ” สีหน้าของหยางเจิ้นเรียบเฉย เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองพิจารณาเสวียนฟงอย่างละเอียด สภาพเขาผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนโคลน เห็นได้ชัดว่าตกระกำลำบากมามาก ความเคลือบแคลงจึงจางลงไปหลายส่วน
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เสวียนฟงขานเรียกอย่างระมัดระวัง “ยามนี้เรื่องที่ลอบวางยาพิษปลงพระชนม์องค์ชายสี่ถูกเปิดโปงแล้ว แม้กระหม่อมจะโชคดีหนีรอดมาได้ แต่ท่านธิดาเทพกับองค์ชายสี่ไม่มีทางปล่อยกระหม่อมไปแน่นอน!…ควรทำอย่างไรดี? ท่านอ๋องโปรดชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขามองหยางเจิ้นด้วยสายตาร้อนรน เหมือนทั้งหวาดกลัว และทำอะไรไม่ถูก
หยางเจิ้นมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่พูดอะไร
เสวียนฟงขานเรียกอย่างกระวนกระวาย “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
“ข้าได้ข่าวว่าแท่นบูชาหลักกำลังส่งคนออกตามหาเจ้าไปทั่ว หากเจ้าออกไป จะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นกระหม่อมควรทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” เสวียนฟงถามเสียงร้อนรน ท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “สถานที่แห่งนี้ก็ไม่อาจรั้งอยู่ได้นาน หากพวกเขาตามมาจนถึงที่นี่…”
“ไม่ต้องกังวล” หยางเจิ้นก้าวเข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเขา “เจ้าทำงานให้ข้า ข้าย่อมต้องหาทางช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
เสวียนฟงดีใจ รีบประสานมือคารวะ ก้มหัวอย่างซาบซึ้ง “เสวียนฟงขอบพระทัยเซียวอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ในเสี้ยววินาทีที่เขาก้มหน้า หยางเจิ้นที่เมื่อครู่ยังมีใบหน้าราบเรียบ กลับมีไอเหี้ยมโหดพาดผ่านดวงตา เขาเงื้อฝ่ามือแล้วซัดตรงไปที่หัวของเสวียนฟงทันที!
ฝ่ามือลมปราณอันรุนแรงพัดพาเอาเศษดินทรายในถ้ำลอยคลุ้ง ฝ่ามือที่ทรงพลังเพียงนี้ แม้จะแข็งแกร่งทนทานดั่งหินศิลาก็ต้องแหลกละเอียดในพริบตาเป็นแน่!
สีหน้าของเสวียนฟงพลันแปรเปลี่ยน เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้า ราวกับคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วว่าหยางเจิ้นจะต้องทำเช่นนี้แน่ เขาโฉบกายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถอยห่างออกไปห้าก้าว การเคลื่อนไหวของเขากลับเร็วกว่าหยางเจิ้นถึงสามส่วน
………………………