หยางเจิ้นไม่หันหน้ามา เขาตวาดเสียงเกรี้ยว “อาหลีไม่จำเป็นต้องพูดมาก! ขอเพียงน้ายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีวันปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแน่นอน! มิเช่นนั้น หยางเจิ้นจะมีหน้าไปพบวิญญาณของพี่สาวที่อยู่บนสวรรค์ได้เช่นไร?”
ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงเสด็จแม่ ซูหลีทนไม่ไหว รู้สึกแสบจมูกทันที “เสด็จน้า…”
เรื่องที่เกิดขึ้น ณ โขดหินเชียนเตี๋ย ทำให้นางคิดว่าหยางเจิ้นไม่เห็นแก่ความเป็นครอบครัวแม้แต่น้อย มีเพียงอำนาจบารมีเท่านั้นที่เป็นเป้าหมายของเขา แต่นึกไม่ถึง เพื่อนางแล้ว วันนี้เขากลับทำถึงขั้นนี้!
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนที่ยืนมองด้วยสายตาเย็นชา พลันพ่นลมหายใจ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เซียวอ๋องเห็นแก่สายสัมพันธ์น้าหลาน ช่างทำให้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก! ถึงแม้อาหลีจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของน้องหญิงซี…แต่นางขัดขืนราชโองการต่อหน้าธารกำนัล ข้าจำต้องลงโทษนางอย่างไม่อาจละเว้น!” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างลังเล “เจ้า…ยอมรับโทษแทนนางจริงหรือ?”
หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “น้องมิกล้าพูดแล้วคืนคำแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดี!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนค่อยๆ เหยียดแผ่นหลังตรง ดวงตาที่จ้องหยางเจิ้นมีไอสังหารพาดผ่าน เขาตะโกนเสียงดัง “เด็กๆ ถวายสุรา”
เพิ่งจะสิ้นเสียงคำสั่ง ขันทีผู้หนึ่งก็เดินถือถาดสุราเข้ามาในตำหนัก แล้วน้อมส่งให้หยางเจิ้นอย่างนบนอบ ใบหน้าของหยางเจิ้นเรียบเฉยไร้อารมณ์ คล้ายไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
หัวใจของซูหลีตึงเครียดทันใด นางรีบตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน! ความผิดครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะซูหลีเป็นเหตุ ซูหลียอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทโปรดอย่าลงโทษผู้อื่นเลยเพคะ!”
“อาหลีไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” หยางเจิ้นพูดตัดบท “พี่สาวเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ หากข้ามิอาจช่วยเจ้าได้ จะมีหน้าไปพบพี่สาวได้เช่นไร? หม่อมฉันตัดสินใจแล้ว ฝ่าบาทโปรดถ่ายทอดราชโองการเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีพลันสะอึก พูดอะไรไม่ออก
ฮ่องเต้ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เซียวอ๋องมีความดีความชอบด้านการทหารมากมาย สร้างผลงานแก่ราชสำนักของเราไม่น้อย เดิมทีไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้ น่าเสียดาย…”
หยางเจิ้นพลันหัวเราะเย็นชาขึ้นมา สายตาตราตรึงอยู่บนถ้วยสุรา สุราในถ้วยใสสะอาด กลิ่นหอมเข้มข้นกลมกล่อม เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือ และดอมดมอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะอย่างแฝงความหมาย “สุราดีเช่นนี้…เดิมทีควรเป็นสุราล้ำค่าที่เอาไว้เฉลิมฉลองกับเหล่าขุนนางในงานเลี้ยง ยามนี้กลับให้น้องลิ้มรสเพียงลำพัง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโดยแท้…”
เขาค่อยๆ ยกถ้วยสุราขึ้น ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว แววตื่นเต้นพาดผ่านดวงตาอย่างรวดเร็วจนแทบสังเกตไม่เห็น
หัวใจของซูหลีบีบรัดตึงเกร็ง สัญชาตญาณบอกนาง ไม่ว่าอย่างไรหยางเจิ้นก็ไม่มีทางยอมจำนนง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน แต่นางกลับไม่อาจควบคุมความกังวล ถึงแม้นางกับหยางเจิ้นเพิ่งพบกันได้ไม่นาน แต่สายสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นกว่าปกติ นางรู้ดีว่าสายสัมพันธ์ทางสายเลือดอันเข้มข้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตัดไม่ขาด
สุราถ้วยนั้นค่อยๆ ถูกยกขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน มือของหยางเจิ้นกลับชะงักกลางอากาศ สายตาที่มองฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนมีแววกังวลและสงสัย “ฝ่าบาท โทษของอาหลี น้องขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาทจะไม่เอาความกับนางอีกจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนรีบกล่าว “ข้าพูดคำไหนคำนั้น ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์!”
หยางเจิ้นพลันฉีกยิ้มอย่างได้ใจ แฝงแววเย่อหยิ่งรางๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นท่าทางของคนที่วางแผนสำเร็จ เขาพลิกข้อมือเล็กน้อย ถ้วยสุราเอียง ของเหลวใสหกลงบนพื้นทันใด ครั้นหยดน้ำสัมผัสพื้น ควันสีขาวพลันลอยโขมงขึ้นจากพื้นทันที
เป็นพิษร้ายแรงที่หากดื่มลงไปก็จะต้องสิ้นชีพทันทีดังคาด! กลุ่มควันลอยคลุ้ง หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง ต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน หยางเจิ้นกระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมพร้อมมาแล้ว!
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนหน้าถอดสีครั้งใหญ่ กัดฟันกล่าวว่า “หยางเจิ้น เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
ดวงตาของหยางเจิ้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบ เขาล้วงวัตถุบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ แล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีทองสะดุดตาที่เปล่งประกายออกจากฝ่ามือเขา เหมือนดั่งแสงตะวันที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า เจิดจรัสจนลืมตาไม่ขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนจึงเพิ่งมองเห็นว่านั่นเป็นป้ายทองคำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขนาดเล็กกะทัดรัดลวดลายประณีต ตรงกลางป้ายทองคำมีอักษร ‘เซ่อ’ (นิรโทษกรรม) เด่นหราอยู่ ด้านล่างยังมีชื่อของจักรพรรดิผู้บุกเบิกอาณาจักรถูกสลักไว้ด้วย
หยางเซียวจ้องมองอย่างตะลึงงัน ตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “นี่มัน…ป้ายทองคำละเว้นโทษตายขององค์ปฐมฮ่องเต้?!”
ครั้นได้ยินคำว่า ‘ป้ายทองคำละเว้นโทษตาย’ ทุกคนหน้าถอดสี ต่างพากันคุกเข่า และโขกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนตกตะลึงอย่างไม่มีที่เปรียบ เขาจ้องหน้าหยางเจิ้นพูดอะไรไม่ออก! มิน่าเล่าป้ายทองคำแผ่นนี้หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ที่แท้ก็อยู่ในมือของเขาจริงๆ! ฮ่องเต้กัดฟันกล่าว “เหตุใดของสิ่งนี้จึงไปอยู่ในมือเจ้าได้?”
หยางเจิ้นกระดกคิ้ว ตอบว่า “ย่อมต้องเป็นเพราะเสด็จปู่ทรงมอบให้หม่อมฉัน”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกล่าวด้วยความสงสัย “ก่อนเสด็จปู่สวรรคต พระองค์ไม่เคยเรียกพบเจ้าเป็นการส่วนตัว!”
หยางเจิ้นยิ้มเย็น แล้วเอ่ยว่า “แต่เสด็จปู่เคยเรียกพี่สาวไปเข้าเฝ้า”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่องค์ปฐมฮ่องเต้จะสวรรคต สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เขากล่าวด้วยสีหน้าตกใจ “เช่นนั้น…ป้ายทองคำป้ายนี้เสด็จปู่มอบให้น้องหญิงซี? แล้วเหตุใดนางไม่ใช้มันตอนที่ทรยศต่อลัทธิธิดาเทพเล่า?”
มือของหยางเจิ้นที่ถือป้ายทองคำไว้พลันกำแน่น แววเจ็บปวดพาดผ่านใบหน้าอย่างรวดเร็ว “เพราะนางเป็นห่วงน้องชายที่ยังอายุน้อยอยู่ กลัวว่าหากนางหนีไปจะทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย ก่อนจากไปจึงได้มอบป้ายทองคำนี้ไว้ให้เขา”
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ ที่แท้…เสด็จแม่รักเสด็จน้ามากถึงเพียงนี้! ยอมให้ตนเองถูกไล่ล่า แม้มีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่ยอมให้เสด็จน้าถูกทำร้ายแม้แต่น้อย!
สีหน้าของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมสุดขีด อักษร ‘เซ่อ’ เป็นลายมือขององค์ปฐมฮ่องเต้ นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นเปี้ยนมา เห็นป้ายทองคำเท่ากับเห็นองค์ปฐมฮ่องเต้ หยางเจิ้นมีป้ายทองคำแผ่นนี้ ถึงแม้จะก่อกบฏ เขาก็มิอาจลงโทษประหารหยางเจิ้นได้!
หยางเจิ้นเห็นเช่นนั้นก็ลอบแสยะยิ้มในใจ เขากล่าวอย่างท้าทาย “ป้ายทองคำละเว้นโทษตายอยู่ตรงนี้แล้ว แม้ฝ่าบาทต้องการชีวิตน้อง ก็เกรงว่าคงต้องทูลถามเสด็จปู่ก่อนแล้วกระมัง? น้องทูลลา!”
สีหน้าย่ามใจของเขา ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนเห็นอย่างชัดเจน เขาโกรธกริ้วอย่างหนัก ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะไว้ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าไปได้ แต่ซูหลียังไปไม่ได้”
หยางเจิ้นหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนถามเสียงดัง “ฝ่าบาทจะทรงตระบัดสัตย์หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนจ้องหน้าเขา แล้วกล่าวทีละคำๆ “ป้ายทองคำละเว้นโทษตายได้ แต่โทษเป็นมิอาจหลีกเลี่ยง!”
คราวนี้เป็นหยางเจิ้นที่มีสีหน้าตึงเครียด ประโยคนี้ของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนทำให้เขาพูดไม่ออก
“ไม่ใช่กระมัง? ยังจะลงโทษอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยางเซียวอกสั่นขวัญหายอีกครั้ง เขาทำหน้าเศร้าแล้วอ้อนวอนต่ออย่างไม่ยอมแพ้ “เสด็จพ่อไม่ลงโทษอาหลีได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ให้ลูกเป็นผู้รับผิดชอบแทนทั้งหมดเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ไม่มองหน้าเขา เพียงลั่นวาจาเสียงดัง “ในฐานะลูกหลานราชวงศ์ ซูหลีกับองค์ชายสี่หยางเซียวกล้าขัดขืนราชโองการ ตามหลักแล้วมิอาจละเว้นโทษ แต่เห็นแก่ที่กระทำผิดเป็นครั้งแรก จึงลงโทษสถานเบา ซูหลีจงเดินทางไปยังวัดหลวงเพื่อทบทวนความผิดของตนเองทันที องค์ชายสี่หยางเซียว…โบยลงโทษสี่สิบไม้ กักบริเวณในตำหนักบูรพา!”
“หา?” หยางเซียวหน้างอ ทว่าครั้นเห็นใบหน้าเขียวคล้ำด้วยความเดือดดาลของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ก็จำต้องหมอบกายต่ำ “ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ทหาร! นำตัวออกไป!” ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโบกมือกลางอากาศ มีทหารเข้ามาลากซูหลีออกไปทันที ครั้งนี้หยางเจิ้นมิอาจขัดขวาง ทำได้เพียงมองดูนางห่างไกลออกไปเรื่อยๆ นางกลับเยือกเย็นสงบนิ่งราวกับไม่ได้ผ่านความเป็นความตายมา ขณะกำลังเดินทางออกจากวัง ซูหลีได้ยินเสียงโบยตี เคล้าเสียงร้องครวญดังก้องท้องฟ้าของหยางเซียวดังออกมาจากกำแพงวังสูงตระหง่าน หัวใจเจ็บแปลบแต่ก็รู้สึกขำขันเล็กน้อย องค์ชายน้อยผู้สูงศักดิ์เช่นเขาถูกประคบประหงมมาตั้งแต่ยังเล็ก เกรงว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่ถูกโบยเช่นนี้
นางถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายนางก็ทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย
ห่างจากทิศตะวันออกของเมืองหลวงไปสามสิบลี้ เป็นทุ่งหญ้ากว้างขวางสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่ง ชื่อว่าทุ่งหญ้าเป้ยเอ่อร์ ที่นี่เป็นที่ตั้งของทุ่งเลี้ยงสัตว์เฉินซิงซึ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นเปี้ยน แต่ละปีเพาะพันธุ์ลูกม้าชั้นดีได้จำนวนนับไม่ถ้วน ทิศเหนือของทุ่งเลี้ยงสัตว์ เทือกเขาสูงตระหง่านคดเคี้ยวลูกหนึ่งทอดตัวยาว เหมือนดั่งมังกรสีเขียวที่ทิ้งตัวนอนราบอยู่ตรงนั้น
………………….