เมื่อหยางเซียวหยิบขึ้นมาดู สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปทันที
ซูหลีเพ่งมอง แล้วก็ต้องอึ้งงันไปเช่นกัน ของสิ่งนี้…นางเคยเห็นมาก่อน นั่นคือหัวพยัคฆ์ขนาดเล็กที่ทำจากทองเหลืองฝีมือประณีตงดงาม แกะสลักได้ละเอียดอ่อนราวกับมีชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงราศีน่าเกรงขามของเจ้าแห่งป่า อีกด้านหนึ่งผิวสัมผัสเรียบลื่นดังกระจก ข้างบนมีอักษรถูกสลักเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘กองทัพรุ่ยเฟิง’
กองทัพรุ่ยเฟิง กองกำลังทหารที่ทรงพลังและเก่งกาจที่สุดภายใต้อำนาจของเซียวอ๋องหยางเจิ้น
น้ำเสียงของหยางเซียวเย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี “เป็นเขาดังคาด!”
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “คนผู้นี้ใช่คนของกองทัพรุ่ยเฟิงหรือไม่ ยังไม่ทราบแน่ชัด ท่านอย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น ไปตรวจสอบประวัติเขาให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
หยางเซียวพยักหน้า แล้วกำชับนาง “ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวเจ้าเดินกลับไปทางเดิมนะ ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือซับซ้อนมาก ประตูเป็นและประตูตายอาจเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา เจ้าอย่าได้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว” เอ่ยจบ เขาก็หามศพขึ้นพาดไหล่ แล้วเดินออกจากค่ายกลไป
เงาร่างของเขาค่อยๆ หายลับไปจากสายตา ซูหลีเองก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ทว่าขณะหมุนกาย พุ่มไม้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลันมีประกายแสงสว่างวาบ เจิดจ้าแยงตา นางตั้งใจเพ่งมอง ก็พบว่าตรงกลางพุ่มไม้สีเขียวชอุ่มคล้ายมีขวดใสขนาดเล็กขวดหนึ่งอยู่
หัวใจของซูหลีสั่นไหว มีคนเข้ามาในค่ายกลน้อยมาก แล้วของสิ่งนี้มาจากที่ใดกัน? เมื่อนางสังเกตอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าตำแหน่งของขวดอยู่ห่างจากตำแหน่งที่เป็นสูตรค่ายกลประมาณสามก้าว วรยุทธ์ของซูหลีก้าวหน้าขึ้นมาก แต่นางไม่ชำนาญเรื่องค่ายกล ยามนั้นที่นางสามารถทำลายค่ายกลเก้าประตูแปดทิศที่ภูเขาเทียนเหมินได้ ก็เพราะอาศัยคำบอกใบ้ของตงฟางเจ๋อในอดีต ยามนี้ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือสลับซับซ้อนกว่ามาก นางไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช
ซูหลีมองสำรวจรอบกาย ความคิดหนึ่งพลันแล่นผ่าน นางแกะถุงผ้าต่วนตรงเอวออกมา เล็งเป้าหมายแล้วเหวี่ยงแขนออกไป ขวดเล็กๆ ขวดนั้นถูกตวัดเกี่ยวเข้ามาอยู่ในมือนางทันที
ซูหลีถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นนางเปิดขวดดู ข้างในเป็นของเหลวสีใส กลิ่นอ่อนมาก เหมือนไม่ใช่ยาพิษ แต่ไม่อาจมั่นใจได้ว่าใช้ทำอะไร นางปิดฝาขวดอย่างดี แล้วเก็บใส่แขนเสื้อ ตั้งใจจะเอากลับไปศึกษาอย่างละเอียดที่สวนเซียนจวี้
นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวเดินเพียงสองก้าว ค่ายกลก็พลันเปลี่ยนแปลงไป! แสงตะวันอันเจิดจ้าที่เดิมอยู่เหนือผืนป่า ราวกับดับมืดลงในพริบตา นางรู้สึกถึงความผิดปกติรางๆ รีบสังเกตต้นไม้ทุกต้นที่อยู่รอบกายอย่างละเอียดทันที ค้นพบว่าไม่อาจแยกแยะจริงเท็จได้ แต่นางแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าในค่ายกลมีทั้งหมดเจ็ดทิศ แต่ละทิศล้วนมีจุดศูนย์กลาง ในเจ็ดทิศนั้นจะต้องมีประตูเป็นและประตูตายรวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
ซูหลีทบทวนทิศทางที่นางเดินเข้ามาในตอนแรก แล้วค่อยๆ แยกแยะประตูเป็นและประตูตาย กระทั่งมั่นใจว่าเป็นทิศทางหนึ่ง นางก็เก็บก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วโยนไปยังทิศทางนั้น
ภาพมายาไม่ได้เลือนหายไปอย่างที่นางคาดเดาไว้ ต้นไม้รอบทิศเริ่มขยับเคลื่อนไหว อีกทั้งยังเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย!
ชั่วขณะหนึ่ง ซูหลีมองเห็นเงาต้นไม้ตรงหน้าทับซ้อนกันมากมาย เสียงสายลมพัดหวีดหวิว ผืนป่าอันเงียบสงบเมื่อครู่ พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปด้วยไอพิฆาต นางเห็นท่าไม่ดี รีบตั้งจิตรวบรวมสมาธิ ไม่สนใจภาพมายาอันสลับซับซ้อนเหล่านี้ ทว่าต้นไม้ที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงก่อให้เกิดสายลมแรง ราวกับเข็มแหลมมากมายลอยคว้างอยู่กลางอากาศ กรีดแทงผิวกายนางจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว
ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด อาภรณ์บนร่างกายซูหลีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางเริ่มแตกตื่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่นานกำลังภายในของนางก็คงหมด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่านางคงต้องตายอยู่ในค่ายกลแห่งนี้! นางพลันลืมตาขึ้น ครั้นมั่นใจทิศที่ตั้งของวิหารไท่อันแล้ว ก็พาร่างเหินทะยานขึ้นกลางอากาศทันที
กลิ่นอายแห่งความตายพวยพุ่งเข้ามา ซัดสาดหัวใจนางดั่งคลื่นลูกใหญ่! ร่างกายของซูหลีสะดุดกึก เลือดลมปั่นป่วนอยู่ในทรวงอก สมองขาวโพลนไปหมด ร่วงดิ่งลงไปทันที!
ความตายมาเยือนกะทันหันถึงเพียงนี้ ไม่ทันได้เตรียมตัวเลย
เสียงสายลมกรีดพัดผ่านใบหู เสี้ยววินาทีที่สติสัมปชัญญะจมดิ่งสู่ความมืดมิด ใบหน้าร้อนรนระคนตื่นกลัวของตงฟางเจ๋อพลันปรากฏตรงหน้า ความรู้สึกขมฝาดพรั่งพรูในหัวใจ นางยกมือประคองใบหน้าเขา แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย “ตงฟางเจ๋อ ครั้งนี้ คงต้องจากกันตลอดกาลแล้วจริงๆ…”
ว่ากันว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต เราจะมองเห็นภาพลวงตา มองเห็นคนที่เราอาลัยอาวรณ์และยากจะลืมเลือนมากที่สุดในชีวิต แต่นางพยายามเกลียดเขาอย่างสุดชีวิต เหตุใดคนสุดท้ายที่นางเห็น ยังคงเป็นเขา?!
ราวกับผ่านไปเนิ่นนาน แต่ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที นางค่อยๆ ยกหนังตาอันหนักอึ้งขึ้น สายตาพร่ามัว มองเห็นทิวทัศน์รอบกายไม่ชัดเจน หึ…เป็นยมโลกจริงๆ ด้วย ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อยนิด
“ซูซู!” เสียงขานเรียกอันร้อนรนดังขึ้นข้างหู ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย ในสายตาอันพร่าเลือน ใบหน้าของตงฟางเจ๋อลอยไหวไม่มั่นคง ราวกับระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำในทะเลสาบ
ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย นางตายแล้ว เหตุใดยังได้ยินและมองเห็นเขาอยู่อีกเล่า? หรือความรักและความแค้นในอดีตยังจะติดตามนางไปจนถึงภพชาติหน้าอีก? ใช่แล้ว เขามักจะเผด็จการเช่นนี้ ไม่เคยสนใจความต้องการของนางเลยแม้แต่น้อย!
ความน้อยเนื้อต่ำใจพรั่งพรูขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ นางอดด่าอย่างโกรธแค้นไม่ได้ “ตงฟางเจ๋อ ท่านมัน…คนเลว!”
“ใช่ เพราะข้าไม่ดีเอง ปล่อยให้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้!” เขาแค้นเคืองตนเองยิ่งนัก
นางขยับตัวเล็กน้อย อยากออกห่างจากเขา นึกไม่ถึงกลับปวดแปลบตรงหน้าอก จนต้องสูดหายใจลึกๆ
“เป็นอันใดไป?” เขาก้มหน้าสำรวจอย่างตื่นตระหนก ประจวบเหมาะกับจังหวะที่นางเงยหน้าพอดี กลีบปากนุ่มนวลเฉียดผ่านกลีบปากเขาเบาๆ
ซูหลีเหมือนถูกสายฟ้าฟาด มือที่โอบเอวนางไว้กระตุกสั่นทันที เขาชะงักงันไป แต่ไม่นานก็ก้มหน้าจุมพิตนางแรงๆ
ซูหลีหายใจไม่ออก รู้สึกเพียงกลีบปากและลิ้นอันเร่าร้อนของเขาพลิกดุนอยู่ในปากนาง ราวกับต้องการกลืนกินนางลงไปทั้งตัว กลิ่นอายเร่าร้อนพาเอารสชาติเปรี้ยวฝาดและหอมหวานมาจู่โจมประสาทสัมผัสทั้งห้าของนางอย่างต่อเนื่อง
นางอยากผลักเขาออก แต่กลับไม่มีแรง ท่ามกลางความสิ้นหวัง ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในสมอง ไม่ว่าในอดีตจะเคยรักหรือเกลียดแค้นเพียงใด สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางก็ไม่อาจดำเนินต่อไปในชาติภพหน้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การลาจากในภาพลวงตา ณ วินาทีนี้ จะต้องทนข่มกลั้นไปอีกทำไมกัน? ครั้นนึกได้เช่นนี้ หัวใจของนางก็เจ็บปวดยากจะทานทน นางพลันยกมือกุมไหล่เขา แล้วจูบตอบอย่างรุนแรง
นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ราวกับต้องการหล่อหลอมความทุกข์ทรมานในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตลอดจนความรักและความแค้นที่ตัดไม่ขาดเข้ากับจูบนี้ทั้งหมด
เขาเบิกตากว้าง ความปีติยินดีกลืนกินเขาในเสี้ยววินาที
นางไม่กล้ากะพริบตา ด้วยกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการบอกลาเขาครั้งสุดท้ายแม้จะเพียงแค่วินาเดียวก็ตาม
ทั้งสองสบตากัน ทิ้งบุญคุณความแค้นทั้งหมด มีเพียงอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่ราวกับสามารถสะเทือนฟ้าดินได้ ราวกับในโลกใบนี้เหลือเพียงเขากับนาง
การตอบสนองอย่างดุเดือดของนางทำให้เขามิอาจควบคุมตนเอง ทว่าเขากลับพยายามต่อสู้กับตนเอง ณ ประตูแห่งไฟปรารถนา ไม่ เขาครอบครองนางไม่ได้ เขาต้องการผลักนางออก นางกลับกอดเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
นางอดทนมาเนิ่นนานเหลือเกิน ราวกับความอ้างว้างและความสิ้นหวังในใจที่ไม่อาจบรรยายได้หาหนทางระบายเจอในที่สุด
จะปล่อยมืออย่างไร? จะปล่อยมือได้เช่นไรเล่า?
นางอ้าปากกัดเม้มกลีบปากเขา กลิ่นคาวเลือดพลันกระจายเต็มปาก คละเคล้ากับความสิ้นหวังอันหอมหวาน แล้วทั้งหมดก็ถูกกลืนลงท้อง
ร่างกายของเขาแข็งค้าง สติสัมปชัญญะที่เหลือเพียงน้อยนิดพลันแตกกระเจิง เขามิอาจปฏิเสธได้อีก สองแขนโอบรัดนางแน่นยิ่งกว่าเดิม จนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
กลีบปากของทั้งสอง ทั้งเร่าร้อน พัวพัน และลืมตน
ซูหลีหอบหายใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ นางแหงนหน้าอย่างไม่รู้ตัว จูบของเขาไล้ลงไปตรงติ่งหู ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุดของนาง ร่างกายนางสั่นสะท้าน กลิ่นอายเลือดอันคุ้นเคยตีขึ้นมาข้างบน นางรู้สึกชาไปทั้งตัว ก่อนจะค่อยๆ อ่อนแรงไปทีละน้อยๆ ความปรารถนาบังเกิด หัวใจพลันบีบรัดแน่น ความเจ็บปวดป่วนพล่านในทรวงอก นิ้วมือของนางที่รั้งกอดแผ่นหลังของเขาออกแรงกระชับแน่นขึ้น คิ้วงามขมวดแน่น อ้าปากหอบหายใจอย่างรุนแรง เหตุใดในภาพลวงตา ประสิทธิภาพของยาไร้รักจึงยังทำงานอยู่อีกเล่า?
…………………….