กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9)

บทที่ 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9)

เขากล่าวพลางงัดปากหรูอวิ๋นให้เปิดออก ทุกคนสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ในช่องปากของหรูอวิ๋นเต็มไปด้วยเลือดเนื้อเหวอะหวะ

เหล่าขุนนางเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วกาย พยานถูกฆ่าปิดปากต่อหน้าธารกำนัล ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายลงมือเมื่อใด

หลินเทียนเจิ้งพลิกศพหรูอวิ๋น ค้นพบเข็มเงินที่ถูกฝังอยู่บนต้นคอนางอย่างแม่นยำ ปลายเข็มดำเมี่ยม มีขนาดบางดั่งขนวัว

เข็มเล็กๆ ที่ดูเหมือนเข็มธรรมดาเล่มหนึ่ง กลับสามารถคร่าชีวิตคน โดยที่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ร้ายได้!

หัวใจของซูหลีเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง นางเงยหน้ามองไฉฟางองครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้นที่แอบยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋นอย่างแนบเนียน จากนั้นก็หันไปมองหยางเจิ้น

สายตาของไฉฟางสั่นระริก ฝีเท้าแผ่วเบา ค่อยๆ ถอยหลังอย่างเงียบเชียบ พลันนั้น เขารู้สึกหนักอึ้งที่หัวไหล่ คนผู้หนึ่งวางมือบนไหล่เขา แล้วหัวเราะเสียงเบา “เจ้าจะไปไหนหรือ?”

เสียงนี้ฟังคุ้นหูยิ่งนัก เป็นเซิ่งฉินนั่นเอง หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน วันนี้ตงฟางเจ๋อเตรียมการมาอย่างดี! เขาทำเช่นนี้ เพียงเพื่อให้นางเลือกเท่านั้นจริงๆ หรือ? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น? จู่ๆ นางก็ไม่กล้าคิดต่อไปอีก

ไฉฟางพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยายามฉวยโอกาสในการโจมตีก่อนโดยการสกัดจุดที่เอวเซิ่งฉิน

เซิ่งฉินรับมืออย่างรวดเร็ว พลิกฝ่ามือต้านรับการโจมตีของเขา ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างคว้าไปที่ลำคอของเขา!

ใบหน้าของไฉฟางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกในที่สุด ยิ่งร้อนรนเขาก็ยิ่งแตกตื่น ถูกเซิ่งฉินกดร่างไว้กับพื้นในพริบตา! ใบหน้าหม่นหมองสิ้นหวัง แต่กลับกัดฟันแน่น แม้ตายก็ไม่ยอมเปิดปาก

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จ้าวหลู่ไม่กล้าสอบปากคำด้วยวิธีการทรมานอีก เขาตะโกนอย่างเจ็บใจ “เมื่อครู่มีเพียงเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋น ต้องเป็นฝีมือเขาแน่นอน!”

ฉีมู่เอ่อร์เอ่ยว่า “คนผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำกายของเซียวอ๋อง เซียวอ๋องตรัสอะไรหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ใบหน้าของหยางเจิ้นเรียบนิ่ง เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับข้า?”

ฉีมู่เอ่อร์กล่าว “ในเมื่อไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง เช่นนั้นเหตุใดองครักษ์ประจำกายของพระองค์จึงต้องฆ่าคนปิดปากด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

หยางเจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “น่าขัน ในตำหนักมีคนตั้งมากมาย ท่านอัครเสนาบดีฉีมั่นใจได้อย่างไรว่าใครเป็นคนลงมือ? ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ใดกล้าป้ายสีข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเล่า!” ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก แฝงแววข่มขู่รางๆ!

ฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วแน่น ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ในยามนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังจางฝู่ เขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาโดยตลอด ก้มหน้าก้มตาไม่พูดสักคำ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ยามนี้เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคมปลาบที่เต็มไปด้วยแววเคียดแค้น คนผู้นั้นกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้ายืนยันได้ ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือหยางเจิ้น”

ครั้นได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าของหยางเจิ้นพลันเปลี่ยนสี เขาหันไปมองคนผู้นั้นทันที

ซูหลีเองก็อึ้งไปเช่นกัน คนผู้นี้กลับเป็นผู้อาวุโสเสวียนฟงที่หายตัวไปจากลัทธิธิดาเทพ! นางพลันนึกอะไรออก หันไปมองตงฟางเจ๋อทันที เขาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยเพื่อยืนยันความคิดของนาง ที่แท้ก็เป็นเขาที่ช่วยเสวียนฟง! มิน่าเล่าตอนที่ออกจากแคว้นเปี้ยน หยางเซียวถึงได้ยอมปล่อยเขาไป และเขาก็ไม่กลัวการถูกเปิดเผยตัวตนในการมาเยือนแคว้นเปี้ยนอีกครั้ง ที่แท้ก็มีเบี้ยอยู่ในมือนี่เอง!

สายตาสับสนวุ่นวายพาดผ่านใบหน้านาง

“ซูซู อย่าได้คิดมากไปเลย”

เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้นข้างหู ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย นางมัวแต่คิดใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ จนไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว มืออันอบอุ่นของเขากุมมือเรียวบางเอาไว้ นางได้ยินเขากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าได้เลือกไปแล้ว ต่อไปเพียงยืนดูเงียบๆ ก็พอ”

ซูหลีไม่พูดอะไร นางรู้ เรื่องบางเรื่องหากตัดสินใจเลือกไปแล้ว ก็ไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีกต่อไป ความทะเยอทะยานของหยางเจิ้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถควบคุมได้ ช้าเร็วอย่างไรนางก็ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้เข้าสักวัน เพียงแต่ จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงประหลาดใจ และรู้สึกเหลือเชื่อ เขาซ่อนตัวตนอยู่ในต่างแคว้น กลับสามารถพลิกฝ่ามือควบคุมเมฆ หมุนฝ่ามือบังคับฝนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้! ความคิดอันยากแท้หยั่งถึงของเขา ช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก!

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ฉีมู่เอ่อร์ถามด้วยความสงสัย

“ผู้อาวุโสเสวียนฟงแห่งลัทธิธิดาเทพ”

ฝูงชนแตกฮืออีกครั้ง ลัทธิธิดาเทพคือกองกำลังสังหารที่ลึกลับที่สุดในยุทธภพมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมีความเกี่ยวข้องกับเซียวอ๋องได้เล่า?

“ผู้อาวุโสของลัทธิธิดาเทพกลับแฝงตัวเข้ามาในวังพร้อมกับทูตจากแคว้นเฉิง พวกเจ้าคิดจะรวมหัวกระทำสิ่งใดกันแน่?” หยางเจิ้นตั้งคำถามควบคุมสถานการณ์ก่อน สายตากลับจดจ้องบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายซูหลีไม่ห่าง

เขาปรากฏกายพร้อมกับคณะทูตหลายครั้ง แต่กลับเปิดปากพูดน้อยครั้งมาก ทูตจางฝู่ผู้นั้นกระทำเรื่องใดมักสังเกตสีหน้าเขาก่อนเสมอ เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

เขาเป็นใครกันแน่? เหตุใดพระราชโองการจึงไปอยู่ในมือของทูต? แล้วเขายังมอบพระราชโองการให้ซูหลีเปล่าๆ อีก? พวกเขาสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน และมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน

ตงฟางเจ๋อเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “เขามิใช่คนที่เซียวอ๋องต้องการตัวหรอกหรือ? วันนั้นบนโขดหินเชียนเตี๋ย ท่านอ๋องฆ่าคนปิดปากไม่สำเร็จ วันนี้พวกข้าพาเขามา ก็ย่อมต้องเป็นเพราะต้องการเปิดโอกาสให้ท่านอ๋องอีกครั้ง”

“เป็นเจ้างั้นหรือ?!” หยางเจิ้นตกตะลึง ตะโกนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่ใช่คนของลัทธิธิดาเทพหรือ? เหตุใดจึงร่วมมือกับทูตจากแคว้นเฉิง?”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่คนของลัทธิธิดาเทพ ที่ปลอมตัวเป็นเสวียนฟง ก็เพียงเพื่อต้องการช่วยท่านธิดาเทพพิสูจน์ว่าท่านใช่คนร้ายที่ลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่หรือไม่เท่านั้น”

“อะไรนะ? เซียวอ๋องลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่?” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางเดือดพล่านอีกครั้ง

“แท้จริงแล้วลัทธิธิดาเทพไม่ใช่กองกำลังลับในยุทธภพ แต่เป็นกองกำลังที่รับคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโดยตรง” เสวียนฟงล้วงป้ายทองคำแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ด้านบนมีลวดลายอันประณีตและสลับซับซ้อนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลัทธิธิดาเทพสลักอยู่ “นี่เป็นป้ายพระราชทานจากฝ่าบาท ผู้ที่มีป้ายนี้ในครอบครอง หากมีเรื่องสำคัญใด สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ”

เหล่าขุนนางยังตั้งสติไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าลัทธิธิดาเทพอันมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ กลับทำงานรับใช้ฝ่าบาท!

“ธิดาเทพคนใหม่ของเราเพิ่งขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ไม่นาน องค์ชายสี่ได้รับพระบัญชาให้ช่วยเหลือธิดาเทพ หยางเจิ้นรู้เรื่องนี้ จึงสั่งให้ข้าลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่ แล้วป้ายความผิดให้ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง และยังสั่งให้ข้าส่งข่าวกลับเข้ามาในวังอย่างลับๆ หวังให้การตายขององค์ชายสี่กระตุ้นให้อาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบ! หลังจากนั้น สายลับของเขาที่อยู่ในวังก็จะสามารถมองหาโอกาสลงมือลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้!”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?!” เหล่าขุนนางตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า

ฉีมู่เอ่อร์เองก็คล้ายประหลาดใจมากเช่นกัน เขาอดกล่าวไม่ได้ “ในเมื่อเจ้ามีป้ายเข้าเฝ้าฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องฟังคำสั่งของเซียวอ๋อง?”

เสวียนฟงถอนหายใจแรงๆ แล้วกล่าวด้วยความเคียดแค้น “เขาใช้ชีวิตลูกชายมาข่มขู่ข้า ข้าจะไม่ฟังคำสั่งเขาได้เช่นไร? โชคดีที่ท่านธิดาเทพรู้เรื่องนี้ จึงใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง จึงสามารถปกป้ององค์ชายสี่ไว้ได้! หลังแผนชั่วล้มเหลว ข้าถูกขังในห้องลับ หยางเจิ้นส่งคนมาฆ่าข้า ยามนั้นมีคุณชายหลายท่านมาช่วยไว้ เสวียนฟงจึงรอดชีวิตมาได้เช่นนี้!”

ฉีมู่เอ่อร์ถาม “ธิดาเทพคือผู้ใด?”

เสวียนฟงหันมามองซูหลี เหล่าขุนนางพลันตระหนักได้ในทันที มิน่าเล่าสตรีนางนี้จึงสามารถเข้าออกวังได้อย่างอิสระ ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งหรือยศใดๆ ในวังเลย ที่แท้นางก็คือธิดาเทพคนใหม่ของลัทธิธิดาเทพนั่นเอง!

“เหลวไหลทั้งเพ! วาจาเพ้อฝันเช่นนี้ พวกท่านกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ!” หยางเจิ้นหัวเราะเยือกเย็น ย่างกรายไปหาเสวียนฟง ขณะเดียวกันก็ควงพู่หยกสีขาวชิ้นหนึ่งในมือ

ซูหลีเห็นอักษร ‘กัง’ บนพู่หยกอย่างชัดเจน เหมือนพู่หยกที่อวี๋เชียนจีถือไว้ในมือขณะสอบปากคำเสวียนฟงในตำหนักธิดาเทพไม่มีผิด!

…………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท