หยางเซียวรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้วยื่นมือให้ซูหลี “มา ข้าประคองเจ้าเอง”
ซูหลีลังเลเล็กน้อย เพิ่งจะยื่นมือออกมา แต่กลับถูกมือข้างหนึ่งที่โผล่มาจากด้านข้างกุมไว้แน่น
“เรื่องเล็กแค่นี้ จะกล้ารบกวนฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนได้เช่นไร!” ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย ไอเย็นสะท้อนในดวงตา แขนยาวๆ ของเขาเอื้อมออกไป หมายจะอุ้มซูหลีลงจากหลังม้า ซูหลีกลับหลบเลี่ยงอย่างแนบเนียน ก่อนที่มือของเขาจะโอบเอวนาง นางก็ยืนอยู่ข้างกายหยางเซียวแล้ว ใบหน้าของนางเรียบเฉย สายตาห่างเหิน
มือของตงฟางเจ๋อชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เขาเหม่อมองนาง ในอดีตเขาเคยอุ้มนางลงจากหลังม้านับครั้งไม่ถ้วน อิริยาบถที่ดูใกล้ชิดอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องการคำพูดใดๆ ดั่งเกิดมาเพื่อเป็นคู่สร้างคู่สม ทว่ายามนี้ นางจงใจเลี่ยงเขา เห็นชัดว่ามีใจระแวดระวังต่อเขา หรือสำหรับนาง เขาสู้ไม่ได้แม้แต่หยางเซียว?!
เขาเซถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว สายตาฉายแววผิดหวังอย่างปิดไม่มิด
หยางเซียวเห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูคลุมเครือไม่ชัดเจน เขาโอบไหล่ซูหลี สายตาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกล่าวผิดแล้ว สำหรับข้า ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับอาหลี ไม่มีแบ่งแยกเรื่องเล็กใหญ่ทั้งนั้น อย่าว่าแต่ประคองนางลงจากม้าเลย แม้จะให้ข้าบุกน้ำลุยไฟเพื่อนาง ข้าก็เต็มใจ!”
แม้จะพูดกับตงฟางเจ๋อ แต่สายตากลับจ้องมองซูหลี เขาตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ วาจาอ่อนโยนนุ่มละมุน กลับทำให้ซูหลีชะงักงัน ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หยางเซียวแย้มยิ้มเล็กน้อย ครั้นหันไปมองตงฟางเจ๋อ ความอ่อนโยนในดวงตาจางหาย แปรเปลี่ยนเป็นสายตาเย็นชา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ข้ากับอาหลีเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนก็แล้วกัน หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่มีธุระใด ก็รีบกลับไปพักที่เรือนรับรองเถิด”
ประโยคเดียวแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดและความห่างเหิน บทสนทนาของสองคนนี้ เห็นชัดว่ากำลังยั่วโทสะกัน สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย ไม่ชอบใจที่พวกเขาใช้นางพูดจาถากถางอีกฝ่าย นางดึงมือหยางเซียวที่วางอยู่บนไหล่ออก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่ก็ค่ำแล้ว พวกท่านล้วนกลับไปเถิด”
ตงฟางเจ๋อยิ้มเย็น แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าวันนี้กองทัพของหยางเจิ้นปรากฏตัวที่เนินเขาเจี้ยนหลงเป็นระยะ เชื่อว่าไม่นานคงบุกโจมตีเมืองเป็นครั้งที่สอง ไม่ทราบว่าฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนคิดจะปกป้องแผ่นดินเปี้ยนที่กำลังสั่นคลอนเพราะพายุฝนของท่านด้วยวิธีใด?!” ประโยคนี้ ทำให้หยางเซียวที่เพิ่งจะก้าวเท้าต้องชะงักหยุดทันที
สีหน้าของหยางเซียวพลันเปลี่ยน หมายจะเอ่ยปาก คนผู้หนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา เป็นสือจิ้งนั่นเอง เขากล่าวด้วยใบหน้าร้อนรุ่มใจ “ฝ่าบาท สายลับส่งข่าวมา หยางเจิ้นรวบรวมกองทัพ ตั้งท่าจะบุกโจมตีเข้ามาอีกครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาของหยางเซียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมปลาบเหมือนมีด ตวัดมองไปที่ตงฟางเจ๋อ เขาเป็นคนนอก กลับได้รับข่าวสารที่แม่นยำและรวดเร็วกว่า กระทั่งเร็วกว่าเขาที่เป็นประมุขแห่งแคว้นเปี้ยนด้วยซ้ำ!
ซูหลีเองก็ตกใจเช่นกัน “เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!” เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันหลังจากการบุกโจมตีครั้งที่แล้ว แม้ทหารที่ถูกพิษยาสลบเล่นงานจะหายดีแล้ว แต่หยางเจิ้นก็น่าจะหวั่นใจอยู่บ้าง ไม่น่าจะบุ่มบ่ามบุกเข้ามากะทันหันเช่นนี้
นอกเสียจากว่า…เขาหาวิธีกำราบพิษยาสลบได้แล้ว!
คล้ายอ่านความคิดของนางออก ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “หุบเขาที่อยู่ใกล้เนินเขาเจี้ยนหลงมีสมุนไพรชนิดหนึ่ง น้ำของสมุนไพรชนิดนี้สามารถปิดกั้นประสาทรับกลิ่นของคนได้ชั่วคราว”
สายตาของซูหลีตึงเครียด “เช่นนั้นยาสลบก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”
“ถูกต้องแล้ว ฉะนั้น สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ จะต้องรับมือยากมากแน่นอน” ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ที่นี่ลมแรง พวกเรากลับไปหารือกันในตำหนักเถิด”
ในตำหนักฉินเจิ้ง กลิ่นหอมของชาอบอวล ควันสายหนึ่งขดตัวเป็นเกลียวลอยขึ้นจากกระถางธูป กลิ่นหอมจางๆ ของอำพันมังกรแผ่กำจายอยู่กลางอากาศ ซูหลีและหยางเซียวต่างมีใบหน้าหนักใจ ต่างคนต่างนั่งเงียบๆ ครุ่นคิดหากลยุทธ์รับมือ ตงฟางเจ๋อประคองถ้วยชาร้อนๆ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองดูพวกเขา ไม่พูดอะไรเช่นกัน
“อีกนานเท่าใดกว่าฮูเอ่อร์ตูจะกลับมาถึงวัง?” จู่ๆ ซูหลีก็ถามขึ้น
หยางเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ “กองทัพใหญ่เดินทางเร็วไม่สู้ม้าเร็ว แม้เร็วที่สุดก็ยังต้องรออีกหลายวัน”
เดิมทีทหารที่รักษาการณ์อยู่ในเมืองก็มีไม่มากอยู่แล้ว สงครามปกป้องเมืองในครั้งที่แล้วก็สูญเสียทหารไปไม่น้อย หากครั้งนี้หยางเจิ้นบุกโจมตีเมืองเต็มกำลัง กองทัพทหารในเมืองทนได้อย่างมากสุดก็ไม่เกินสามวัน ถึงแม้คนในลัทธิธิดาเทพจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่แค่รับมือกับกองทัพรุ่ยเฟิงก็ถือว่าเกินตัวมากแล้ว หากคิดจะสู้กับกองทัพใหญ่แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย แผนการในตอนนี้ คือต้องถ่วงเวลาไว้อย่างสุดกำลัง รอจนกว่ากองทัพหนุนจะมาถึง แต่หยางเจิ้นเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ!
หยางเซียวกับซูหลีสบตากัน พวกเขาต่างมองเห็นความกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย เนิ่นนานไม่มีใครเอ่ยปาก บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบงัน
ซูหลีถอนหายใจ นางไม่ชำนาญการรบ มีวิธีใดที่จะสามารถถ่วงเวลาได้จนกว่ากองทัพหนุนจะมาถึงบ้างไหมนะ? นางหันไปมองตงฟางเจ๋อโดยสัญชาตญาณ
เขาเองก็กำลังมองนางเช่นกัน ในดวงตาไม่แยแส ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้รางๆ
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบละสายตากลับมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “หากต้องการประวิงเวลา ก็มิใช่จะไร้หนทางเสียทีเดียว” นิ้วมือของเขาเคาะแผนที่บนโต๊ะเบาๆ “สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าหุบเขาอวี้เสีย เป็นจุดที่ต้องผ่านหากจะเดินทางจากเนินเขาเจี้ยนหลงมายังพระราชวัง เส้นทางหุบเขายาวและอันตราย เต็มไปด้วยทรายเหลือง หลินเทียนเจิ้งทำนายว่าพรุ่งนี้จะมีหมอกหนา สามารถวางอุบายตรงนั้นได้”
หุบเขา…ทรายเหลือง…จู่ๆ ซูหลีก็นึกขึ้นได้ นางเคยเห็นกรณีศึกษาหนึ่งในตำรายุทธพิชัยสงครามของเสด็จพ่อ นางพลันกระจ่าง เงยหน้ากล่าวด้วยความดีใจ “ท่านคิดจะใช้อุบายลวงศัตรู…”
“ถูกต้องแล้ว!” เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย “ซูซูฉลาดปราดเปรื่อง กลับอ่านความคิดข้าออก” ไม่ว่าเมื่อใดหรือที่ไหน นางมักเป็นคนที่เข้าใจความคิดของเขาเสมอ เขาเหม่อมองนาง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหวนกลับไปยังวันเวลาที่พวกเขาต่างคนต่างรู้ใจกันเป็นอย่างดี…
“ฮ่องเต้แคว้นเฉิงช่างรู้จักแคว้นเปี้ยนของเราดียิ่งนัก!” ความคิดที่ล่องลอยไปไกลพลันถูกน้ำเสียงเย็นชาตัดบท สายตาของหยางเซียวคมปลาบลึกล้ำ จ้องมองเขาไม่วางตา คล้ายมีความนัยแฝง
ตงฟางเจ๋อคล้ายเข้าใจความหมายของหยางเซียว เพียงชำเลืองมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนกังวลอันใดกัน? ของที่ได้มาง่ายๆ ข้าไม่สนใจ” ความหมายในวาจาชัดเจน เขาไม่ชอบเอาเปรียบยามผู้อื่นกำลังลำบาก วาจายโสโอหังเช่นนี้ เกรงว่าใต้หล้านี้คงมีเขาคนเดียวที่กล้าพูดออกมา!
“แต่หากข้าต้องการ ก็ไม่มีผู้ใดขวางได้เช่นกัน! มิเช่นนั้น มันผู้นั้นต้องพบกับจุดจบที่เลวร้ายจนคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน” ประกายคมปลาบพาดผ่านดวงตา ในวาจาคล้ายมีคำเตือนแฝงอยู่
ซูหลีย่อมฟังความหมายของเขาออก หัวใจพลันหนักอึ้ง นางสัมผัสได้ว่าระหว่างพวกเขา จะต้องมีเรื่องอะไรที่นางไม่รู้อยู่แน่นอน
ครั้นเห็นสีหน้าหยางเซียวแปรเปลี่ยนไปมา สายตาฉายแววเย็นชา ซูหลีจึงกล่าวว่า “ในเมื่อมีกลยุทธ์รับมือกับศัตรูแล้ว ก็รีบสั่งการทหารเถิด”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ หยางเซียวก็ทำได้เพียงข่มกลั้นอารมณ์ และหารือเรื่องกลยุทธ์รับมือข้าศึกต่อไป กระทั่งกลางดึก จึงค่อยแยกย้ายกันกลับ
วันต่อมา หมอกหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณ หยางเจิ้นรวบรวมกองทัพ หมายจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาอวี้เสีย จู่ๆ ทหารสำรวจเส้นทางด้านหน้าก็วิ่งเข้ามารายงาน “ทูลท่านอ๋อง พบทหารของกองทัพศัตรูที่หุบเขาอวี้เสีย ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนนายพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ? หนึ่งแสน?!” เหล่าขุนพลต่างตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้! ในพระราชวังมีทหารเพียงสามหมื่นนายเท่านั้น กองทัพทหารหนึ่งแสนนายมาจากที่ใดกัน?!” หยางจินร้องขึ้นทันที
“หรือว่าเป็นกองทัพของฮูเอ่อร์ตู?” ขุนพลนายหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย ฮูเอ่อร์ตูเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของราชวงศ์เปี้ยน ทุกคนล้วนรู้ดีว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาเยี่ยมยอดเพียงใด เมื่อใดได้ทำสงครามก็ไม่ห่วงชีวิต แม้แต่หยางเจิ้นก็ยังต้องหวั่นเกรงอยู่สามส่วน
หยางเจิ้นขมวดคิ้วครุ่นคิด แคว้นเฉิงและแคว้นเปี้ยนได้ลงนามในสัญญาสงบศึกไปแล้ว แต่กองทัพของแคว้นเฉิงยังคงไม่ถอนกำลังออกจากเทียนเหมิน หยางเซียวกลับกล้าเคลื่อนกองทัพทหารชายแดนกลับมายังวังหลวง! เขาไม่กลัวกองทัพแคว้นเฉิงผิดสัญญา ฉวยโอกาสนี้บุกแคว้นหรืออย่างไร?! ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ตั้งด่านตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ชายแดนไว้แล้ว กองทัพทหารหนึ่งแสนนายจะเคลื่อนทัพกลับมาได้ง่ายๆ เช่นไรกัน?
……………………