ซูหลีเพ่งมองอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ “เปลี่ยนแปลงไปเช่นไร?”
หยางเซียวแสยะยิ้มเย็นชา กล่าวว่า “ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือมีวิธีการเปลี่ยนแปลงมากมายหลายวิธี หยางเจิ้นรีบร้อนมาที่นี่ ไม่น่าจะมีเวลาเปลี่ยนแปลงอะไรมาก กลอุบายเล็กน้อยแค่นี้ หยุดข้าไว้ไม่ได้หรอก! รอให้ทำลายค่ายกลได้ก่อนเถิด ข้าจะคอยดูว่าเขาจะหนีไปที่ใดได้อีก!” พูดไป สายตาของเขาก็ไหวระริก เขาก้าวไปยืนอยู่ตรงขอบค่ายกล
“หยางเจิ้นเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย องค์ชายสี่ต้องระวังตัวให้มาก” เสียงของตงฟางเจ๋อดังมาจากข้างหลัง ขณะกล่าว ลมอ่อนๆ สายหนึ่งโชยผ่านผืนป่า เสียงใบไม้เสียดสี ทำให้จิตใจของซูหลีล่องลอย นางสูดหายใจลึกๆ สัมผัสได้ว่าในอากาศ นอกจากกลิ่นหอมสดชื่นของใบไม้แล้ว คล้ายยังมีกลิ่นพิเศษกลิ่นหนึ่งปะปนอยู่ด้วยจางๆ
“เดี๋ยวก่อน!” ซูหลีขมวดคิ้ว รั้งแขนหยางเซียวไว้
“มีอะไรหรือ?” หยางเซียวมองนางอย่างสงสัย “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ค่ายกลนี้แม้ร้อยพันหมื่นเปลี่ยนแปลงแต่หลักการยังคงเดิม ข้ารู้ว่าต้องทำลายค่ายกลด้วยวิธีใด”
ตงฟางเจ๋อก้าวเข้ามาช้าๆ เขาจ้องต้นไม้อยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ซูหลีพลันพาร่างกายโฉบขึ้นเหนืออากาศ แล้วดีดนิ้วมือเบาๆ หลายครั้ง เสียงกิ่งไม้หักดังติดต่อกัน กิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปพลันสั่นไหว ถูกพลังตรงปลายนิ้วของนางจู่โจม จนใบไม้ร่วงกราว เมื่อตกกระทบพื้นก็กลายเป็นควันสีขาวลอยคลุ้งไปทั่ว!
นัยน์ตาของซูหลีไหวระริก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “ลั่วเซียง!”
หยางเซียวหน้าเปลี่ยนสี ใบไม้เหล่านี้กลับเคลือบลั่วเซียงเอาไว้! ลั่วเซียงคือยาพิษชนิดหนึ่งที่ลัทธิธิดาเทพค้นคว้าขึ้นมา หากผิวหนังของคนสัมผัสถูกแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกพิษร้ายแรงจนสิ้นใจตายทันที
หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง หยางเจิ้นโหดเหี้ยมอำมหิตมากจริงๆ เขาจงใจเปลี่ยนแปลงค่ายกลเพื่อดึงดูดความสนใจของหยางเซียว แล้วลอบวางยาพิษไว้อย่างลับๆ เมื่อครู่หากไม่ใช่ว่านางมีประสาทรับกลิ่นที่ดีเป็นพิเศษ สัมผัสได้ถึงเรื่องผิดปกติ แล้วปล่อยให้หยางเซียวเข้าไปแก้ไขค่ายกล หากใบไม้ได้รับการกระทบกระเทือน แล้วร่วงใส่ตัวเขาก็จะทำให้เขาถูกพิษทันที!
“ชั่วช้ามาก!” ใบหน้าของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ซูหลีกลับทำได้เพียงถอนหายใจ
“ตามข้าเข้าไปค้นหาข้างใน อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!” หยางเซียวโบกมือออกคำสั่ง คนกลุ่มหนึ่งตามหยางเซียวเข้าไปในค่ายกลอย่างระมัดระวัง แบ่งออกเป็นสามกลุ่มแยกย้ายกันค้นหาในสวนเซียนจวี้ วิหารไท่อัน และป่าด้านหลัง
กระทั่งยามบ่าย ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของหยางเจิ้น ยอดเขาจวี้หลิงจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก ตามหลัก ไม่ว่าอย่างไรก็ควรพบเบาะแสอะไรบ้างแล้ว
“คนมากมายขนาดนี้กลับตามหาคนคนเดียวไม่เจอ! หรือเขามีวิชามุดดินจริงๆ?!” ด้านในวิหารไท่อัน หยางเซียวชกกำแพงอย่างมิอาจควบคุมเพลิงโทสะในใจ
“คนคนหนึ่งไม่มีทางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้แน่ หรืออาจมีกลไกอื่นซ่อนอยู่!” ตงฟางเจ๋อลอบสังเกตตัววัด พลางกล่าวอย่างครุ่นคิด
หยางเซียวพลันกระจ่าง “ท่านหมายความว่า…ที่นี่อาจมีเส้นทางลับซ่อนอยู่?”
ประโยคนี้พลันเตือนสติซูหลีทันที นางนึกขึ้นได้ว่าช่วงก่อนตอนที่หยางเจิ้นมาเยี่ยมนาง เขาพูดถึงเรื่องที่ตนเองเคยถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่เป็นเวลานานถึงสิบปี เขาจะต้องคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดีแน่นอน บางทีอาจมีสถานที่ลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้
หยางเซียวพลันฮึกเหิม รีบกำชับให้ทุกคนค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง ให้สังเกตจุดที่น่าสงสัย อย่าปล่อยให้เล็ดลอดสายตาไปได้แม้แต่จุดเดียว
ในเรือนด้านขวาของวิหารไท่อันแบ่งเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง ซึ่งเป็นที่เก็บป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทั้งหมดของราชวงศ์เปี้ยน ฝีเท้าแผ่วเบาของซูหลีพลันหยุดชะงัก ป้ายแผ่นหนึ่งในนั้นดึงดูดความสนใจของนาง
นั่นก็คือป้ายวิญญาณของฮ่องเต้เหรินเจิน บรรพบุรุษสกุลหยางที่ยังไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ก็สิ้นใจไปก่อนพระองค์นี้เป็นเสด็จตาของซูหลี ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายพรั่งพรูออกมาจากใจซูหลี ปลายนิ้วลูบไล้แผ่นป้ายเบาๆ ครั้นนึกถึงเสด็จแม่ ดวงตาก็หม่นหมองลง
“เป็นอะไรไป?” ตงฟางเจ๋อคล้ายสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของนางดิ่งลง จึงเดินเข้ามาถาม
“เปล่า” ซูหลีดึงมือกลับ นางคล้ายต่อต้านพฤติกรรมใกล้ชิดของเขาเล็กน้อย หลุบตาต่ำกล่าวว่า “ท่านพบอะไรหรือไม่?”
“ไม่เลย” เขาถอนหายใจเบาๆ หมายจะเอ่ยอะไรแต่ก็เงียบไปอีก
“ข้าไปดูที่อื่นก่อน” นางหมายจะก้าวเท้าเดินออกไป แต่กลับได้ยินเขาถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หยางยี่เป็นตาของเจ้าสินะ?”
ซูหลีอึ้งงัน แต่กลับไม่ตอบคำถาม
“การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์โหดร้ายตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พี่น้องท้องเดียวกันต่อสู้ฆ่าฟันกัน ผิดหรือถูก บางทีอาจมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะสามารถพิสูจน์ได้” เขาจ้องป้ายวิญญาณแผ่นนั้น น้ำเสียงกลับแฝงความรู้สึกหนักอึ้ง
ซูหลีหันไปมองเขา ยามนี้บนใบหน้าหล่อเหลางดงามไม่เหลือราศีมังกรอันน่าเกรงขามอีกแล้ว เหลือเพียงความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย คำพูดเสียดสีเย้ยหยันที่นางตั้งใจจะพูด กลับติดอยู่ที่ลำคอ
เขาเงยหน้ามองนาง สายตาเต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก สายตาของซูหลีเลื่อนมองไปยังป้ายวิญญาณของเสด็จตา ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สำหรับท่าน ครอบครัวอาจเป็นเพียงก้อนหินสู่บัลลังก์ แต่สำหรับข้า ครอบครัว คือความอบอุ่นทุกอย่างที่มีในโลกใบนี้”
ตงฟางเจ๋อเอียงคอมองป้ายวิญญาณ ก่อนจะยิ้มหยันตัวเอง แล้วกล่าวว่า “บางครั้ง ข้าก็อิจฉาซูซูเหลือเกิน”
นางชะงักงันไปเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร
“ไม่ได้เกิดในครอบครัวของฮ่องเต้ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความยากลำบากในการเอาชีวิตรอด” เขาเดินไปยืนตรงหน้าป้ายวิญญาณ ใบหน้ากลับมาเป็นปกติ “ถึงแม้ความลำบากที่เจ้าเจอ จะไม่ได้น้อยไปกว่าข้าเลย แต่กลับยังคงมีหัวใจอันบริสุทธิ์ หากชาตินี้ข้าเสียเจ้าไป นั่นคงเป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”
ซูหลีสูดหายใจ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก นางกับเขา เป็นภัยพิบัติของกันและกันจริงหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดยังต้องพบกันอีก? นางจ้องป้ายวิญญาณแผ่นนั้น คล้ายเหม่อลอย เขาเองก็ไม่พูดอะไร ทั้งสองคนเพียงยืนมองป้ายวิญญาณแผ่นนั้นเงียบๆ ความคิดมากมายประดังประเด ยืนฟังเสียงลมนอกวิหารที่ค่อยๆ พัดผ่าน เหมือนความรู้สึกอันพลุ่งพล่านในใจที่ไม่อาจปล่อยวางได้
พลันนั้น ซูหลีพบว่าตำแหน่งของป้ายวิญญาณแผ่นนี้เอียงกว่าป้ายวิญญาณแผ่นอื่นๆ เล็กน้อย หากไม่มองอย่างละเอียด ก็จะสังเกตไม่เห็น
“ป้ายวิญญาณแผ่นนี้มีบางอย่างผิดปกติ!” ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายมองเห็นแล้วเช่นกัน ซูหลีรีบก้าวเข้าไป ยื่นมือกำป้ายวิญญาณ แล้วเคลื่อนออกเล็กน้อย พลันนั้น ประตูศิลาด้านหลังป้ายวิญญาณเปิดออกเสียงดังครืดคราด บนกำแพงด้านนั้น พลันปรากฏทางลับอันมืดมิดสายหนึ่งขึ้นมา!
“เส้นทางลับอยู่ที่นี่!” ตงฟางเจ๋อร้องอย่างดีใจ
หยางเซียวรีบวิ่งเข้ามา ตะโกนออกคำสั่งเสียงดัง “ทหาร ตามไป!”
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไปในเส้นทางลับ ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ “หยางเจิ้นที่ร้อยเล่ห์เหลี่ยม สุดท้ายก็ยังไม่ลืมความเจ็บปวดจากการสูญเสียบิดา แม้แต่กลไกเส้นทางลับก็ยังสร้างไว้บนแผ่นป้ายวิญญาณของบิดา”
ซูหลีกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เขากุมมือนางเบาๆ จ้องตานาง แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ไปดูหน่อยหรือ? ไม่ห่วงว่าหยางเจิ้นจะถูกจับหรือ?”
นางเงยหน้ามองเขา แต่อ่านสีหน้าเขาไม่ออก “ท่านกำลังช่วยผู้ใดกันแน่?”
“ช่วยเจ้า” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาอ่อนโยนดั่งสายน้ำ
ซูหลีกัดฟัน ก่อนจะวิ่งเข้าไปในเส้นทางลับ
เส้นทางลับสายนี้มืดและยาวมาก อีกทั้งยังเลี้ยวลดคดเคี้ยว ทุกคนวิ่งมาตลอดทางเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามกว่าจะมาถึงปลายทาง ครั้นออกไปดู พวกเขากลับมาถึงป่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแล้ว ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด ดวงดาราพร่างพราย ไม่เห็นเงาร่างของหยางเจิ้นแม้แต่น้อย!
“เขาวางแผนไว้แต่แรกแล้ว หากแผนการล้มเหลวก็จะหนีโดยใช้เส้นทางลับ เปลี่ยนแปลงค่ายกลกับวางยาพิษเป็นเพียงกับดักตบตา เขาเพียงต้องการประวิงเวลาออกไปเท่านั้น” ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเคร่งขรึม
………………………