แม้เวลาล่วงเลย แต่กลับมิอาจลบเลือนร่องรอยที่ความรักหลงเหลือไว้ ถ้าหากมิได้รักอย่างสุดซึ้ง จะมองเห็นเสี้ยววินาทีที่นางดูมีชีวิตชีวาอย่างเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
นางเพ่งพินิจอย่างละเอียด ลึกๆ ในใจรู้สึกทั้งเปรี้ยวทั้งฝาดอย่างบอกไม่ถูก สายตาเลื่อนลงด้านล่าง มุมขวาล่างของผ้าไหมซึ่งเป็นตำแหน่งลงนามเจ้าของผลงาน มีรอยตราประทับสีแดงรอยหนึ่ง ด้านข้างเขียนอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งบรรทัด ‘ภาพเหมือนของซีซี วาดเมื่อฤดูใบไม้ร่วง ปีติงซื่อ’ ลายมือแข็งแกร่งทรงพลัง งามสง่าไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นลายมือของบุรุษ นางพลันชะงักงัน ค้นพบว่าตราประทับนั้นมิใช่ของจริง แต่เป็นมังกรผานหลงเก้ากรงเล็บที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ! เหตุใดจึงดูคุ้นตายิ่งนัก?! จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าลายภาพนี้คล้ายกับหยกห้อยเอวรูปมังกรผานหลงที่หลางฉ่างมอบให้นางมาก! นางรีบล้วงหยกห้อยเอวชิ้นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด เหมือนกันทุกประการดังคาด!
ซูหลีทิ้งตัวลงนั่งบนตั่งอย่างเหม่อลอย จ้องมองลายภาพมังกรผานหลงตาไม่กะพริบ ภาพเหมือนร่วงลงบนพื้น ด้านหลังภาพวาด ลายมืองดงามตัวเล็กๆ อันคุ้นตาบรรทัดหนึ่งพลันปรากฏสู่สายตา
ซูหลีรีบหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด อักษรบรรทัดนั้นแม้ตัวเล็กแต่ชัดเจนมาก ‘ครั้นถึงยามดอกถูหมีเบ่งบาน ละอองหมอกพัดผ่าน กลีบบุปผามิรู้ร่วงโรยไปมากน้อยเท่าใด[1]?”
นี่มันลายมือของเสด็จแม่!
ซูหลีตกตะลึง ความทรงจำในอดีตที่หลางฉ่างเคยกล่าววาจาคล้ายต้องการบอกใบ้บางอย่างกับนาง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาทีละน้อยในยามนี้ นางยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง หรือว่า ระหว่างนางกับหลางฉ่าง จะมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจริงๆ?!
ที่แท้บนโลกใบนี้ นางไม่ได้อ้างว้างเดียวดาย และไม่ได้ไม่มีที่ให้ยืน! นางยังมีครอบครัว…
แสงจากดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงนอกหน้าต่าง สาดส่องเข้ามาในบ้านทำให้นางตาลาย ซูหลีกำผ้าไหมผืนนั้นแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดูจากเบาะแสที่มีในยามนี้ เป็นไปได้มากที่บิดาบังเกิดเกล้าของนางจะเป็นคนแคว้นติ้ง เพียงแต่ในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเขากับเสด็จแม่ ถึงได้ทำให้นางที่รักเขาสุดหัวใจและกำลังตั้งครรภ์หนีไปอยู่ยังอีกฟากฟ้าหนึ่งเช่นนั้น? คำถามมากมายนับไม่ถ้วนประดังประเดเข้ามา แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ
นางมองผ้าไหมในมืออย่างเงียบงัน พลันตัดสินใจแน่วแน่ นางจะไปแคว้นติ้ง จะไปตามหาความจริงและคำตอบของเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว
ณ พระราชวังเปี้ยน ควันธูปลอยขึ้นจากกระถาง และค่อยๆ จางหายไปในอากาศ กลิ่นหอมที่ทำให้จิตใจสงบคล้ายหมดฤทธิ์ไปแล้ว
หยางเซียวดันกองฎีกาเบื้องหน้าออกด้วยความงุ่นง่าน เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จ้องมองนาฬิกาทรายตรงมุมห้อง พลางพึมพำเสียงเบาราวกับกำลังคุยกับตนเอง “สิบห้าวันผ่านไปแล้ว นาง…จะยังกลับมาอีกหรือไม่?”
สือจิ้งลอบถอนหายใจ กล่าวปลอบใจเขา “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ท่านธิดาเทพจะต้องกลับมาแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต รอยยิ้มขององค์ชายน้อยที่เคยไร้ทุกข์ไร้กังวลผู้นี้ก็น้อยลงเรื่อยๆ ยามนี้นอกจากสตรีนางนั้น คล้ายไม่มีคนใดหรือเรื่องใดในโลกนี้ ที่จะทำให้เขามีความสุขได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว
นัยน์ตาของหยางเซียวไหวระริกเล็กน้อย เดิมทีเขาเองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความคิดถึงและความเป็นห่วงที่มิอาจควบคุมได้ ก็ทำให้หัวใจของเขากระสับกระส่ายยากจะสงบ ศพของเสด็จอาถูกส่งกลับไปฝังที่เมืองเหลียวเฉิงนานแล้ว แม้แต่ตงฟางเจ๋อก็กลับมาถึงที่เรือนรับรองแล้ว แต่นางกลับไม่ยอมกลับมาสักที…เพียงกลัวว่าเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแห่งนี้ จะกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้นางปวดใจเสียแล้ว!
ครั้นนึกถึงสีหน้าหนักใจของเซิ่งเซียวยามเอาหญ้าหานซินกลับมาส่งมอบ ความคิดแง่ร้ายก็ผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จู่ๆ เขาก็กล่าวเสียงเย็นชา “สถานการณ์ที่เรือนรับรองเป็นเช่นไรบ้าง?”
สือจิ้งรีบตอบทันที “หลังจากที่พวกเขากลับมา ก็เอาแต่ปิดประตูไม่ยอมก้าวเท้าออกมา และไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปในเรือนรับรองด้วย แม้แต่หมอหลวงที่ฝ่าบาททรงส่งตัวไป ก็ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบพ่ะย่ะค่ะ…”
สีหน้าของหยางเซียวแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แววตาเคร่งเครียด หรืออาการของตงฟางเจ๋อย่ำแย่มากจริงๆ?! ถึงแม้เขาจะไม่อยากให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับคนผู้นั้นในยามนี้จริงๆ บางทีแคว้นเปี้ยนอาจจะ…ไม่มีวันสงบสุขไปตลอดกาล! ครั้นนึกถึงตรงนี้ เขาก็รีบลุกขึ้น สาวเท้าเร็วๆ ออกจากตำหนัก “ตามข้าไปดูเขาหน่อย!”
เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนในยามค่ำคืน ไม่เหลือความอึกทึกครึกครื้น ถนนด้านหน้าเรือนรับรองเงียบสงบ ไร้เงาผู้คน หยางเซียวสัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศรอบกายตึงเครียดคล้ายอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
สือจิ้งหมายจะเดินเข้าไปเคาะประตู จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากบนถนนใหญ่ ดึกขนาดนี้แล้ว ผู้ใดยังเดินทางอยู่อีก? หยางเซียวหันหน้าไปตามเสียง เห็นเพียงกลางค่ำคืนอันดึกสงัด ยอดอาชาตัวหนึ่งกำลังสับฝีเท้าอย่างรวดเร็วพุ่งตรงเข้ามาทางนี้ ผู้ที่อยู่บนหลังม้าเรือนร่างผ่ายผอม ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเดินทาง ใบหน้ามุ่งมั่น ดวงตาเปล่งประกายกระจ่างใสเป็นพิเศษ
ดวงตาของหยางเซียวเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาตะลึงงัน ร้องเรียกอย่างเหลือเชื่อ “อาหลี?!”
ซูหลีได้ยินก็รีบดึงบังเหียนม้าโดยพลัน นางหันมา สายตากวาดมองประตูใหญ่เรือนรับรองโดยสัญชาตญาณ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ข้ากำลังจะเข้าวังไปพบท่านพอดี”
เสียงกังวานใสอันคุ้นเคยที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกคืนวัน ดังอยู่ข้างหูเขาอย่างสมจริง ในที่สุดหยางเซียวก็มั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นางกลับมาแล้วจริงๆ! ความกังวลใจในหลายวันที่ผ่านมากลายเป็นเหมือนบุปผาที่บานพรั่งอยู่ภายในใจ ท่ามกลางผืนฟ้ายามราตรี พยับเมฆเคลื่อนคล้อยผ่านไป แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่อง โลกทั้งใบราวกับสว่างสดใสขึ้นทันทีเมื่อนางปรากฏตัว เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพียงยืนมองนางนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น คล้ายกลัวว่าหากกะพริบตา นางก็จะหายไปอีกครั้ง
ความคิดถึงและความดีใจในสายตาของเขาตรงไปตรงมา และไม่คิดปกปิดถึงเพียงนั้น ซูหลีอดตะลึงงันไม่ได้ นางไม่ได้ลืมความตั้งใจในการกลับมาครั้งนี้ นางกลับมาเพราะคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขาว่า หากคิดจะจากไป ก็ต้องบอกลาเขาก่อน
สายลมยามราตรีพัดผ่านไปอย่างเงียบงัน ใบไม้แห้งเหี่ยวสีเหลืองร่วงโรยไปตามสายลม นางถอนหายใจเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบา “หยางเซียว เสด็จน้า…จากไปแล้ว”
หยางเซียวพลันได้สติ รีบเดินเข้าไปกุมมือนาง นิ้วมือเรียวยาวที่ขาวเนียนดั่งหยกของนางเย็นเฉียบยิ่งนัก หัวใจของเขาพลันเจ็บปวด สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาหลี เจ้ายังมีข้า!”
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย กลีบปากแดงเม้มแน่น เพียงมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร
ท่าทางเหมือนต้องการพูดบางสิ่งแต่ก็หยุดของนาง ทำให้หยางเซียวสังหรณ์ใจไม่ดี มือที่กุมมือนางกระชับแน่นโดยไม่รู้ตัว ร้องบอกด้วยความร้อนใจ “อาหลี ข้ามีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น! เจ้าจะไปจากข้าไม่ได้นะ!”
หยางเซียวที่มองโลกในแง่ดีและมีบุคลิกสง่างามมาโดยตลอด ยามนี้กลับเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนร้องขอ! คิ้วเข้มขมวดแน่น ความกังวลและความแตกตื่นในสายตาฉายชัด ความรู้สึกอันลึกซึ้งในถ้อยคำเหมือนดั่งคลื่นที่โหมกระหน่ำและซัดสาดใส่นางจนแทบมิด
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ อดเงยหน้ามองเขาไม่ได้ เขาเองก็…ถูกความเศร้าโศกพันธนาการเช่นนั้นหรือ?
ซูหลีรู้สึกลำคอแห้งผาก จู่ๆ ก็กล่าวคำร่ำลาเหล่านั้นไม่ออก
“อาหลี เป็นฮองเฮาของข้าเถิด!”
ความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมาเนิ่นนาน หลุดออกจากปากไปเช่นนี้เอง หยางเซียวรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการแสดงความรู้สึกจากใจ ทว่าเขากลับสัมผัสได้ว่าหากไม่พูดตอนนี้ บางทีเขาอาจไม่มีโอกาสได้พูดไปอีกตลอดชีวิต!
ซูหลีแทบไม่อยากเชื่อ นางนึกว่าตนเองฟังผิด ได้แต่เงยหน้าด้วยความตกตะลึง ไม่รอให้นางตอบสนอง เขาก็รีบอุ้มนางลงจากหลังม้า แล้วรั้งนางเข้ามากอดแน่นๆ ด้วยเรี่ยวแรงเกือบทั้งหมดที่มี
หัวใจนางสั่นสะท้าน พยายามผลักเขาออก ถอนหายใจกล่าวว่า “หยางเซียว…”
หยางเซียวตัดบทนาง “อาหลี ข้าชอบเจ้า! ตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงขนาดนี้ ข้าไม่เคยชอบใครเลยสักคน…ถึงแม้เป็นฮ่องเต้ แต่ข้าไม่เคยคิดอยากมีสามตำหนักหกหมู่เรือน[2]แม้แต่น้อย ข้า เพียงต้องการมีเจ้าอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิต อย่าจากข้าไปเลย ได้หรือไม่?!”
คำสารภาพอย่างจริงใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ซูหลีตกตะลึง นางนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์ที่รอนางอยู่จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะตอบสนองเช่นไรดี
ในตอนนี้เอง ประตูเรือนรับรองพลันเปิดออก อากาศหนาวเหน็บในยามต้นฤดูหนาวลอยปะทะใบหน้า คนผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมาจากด้านในอย่างแช่มช้า เงาร่างสูงใหญ่ดั่งขุนเขาหนักแน่น ใบหน้างดงามกลับซีดขาวเหมือนกระดาษ สายตาของเขาจดจ้องไปที่ซูหลีซึ่งกำลังถูกหยางเซียวโอบกอดแนบแน่น แววหึงหวงและโกรธเกรี้ยวพาดผ่านดวงตาไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวกลายเป็นสายตาเย็นชาดั่งกระบี่คม ตวัดมองไปยังแขนสองข้างนั้นที่กำลังโอบกอดนาง
………………………………………
[1] ครั้นถึงยามดอกถูหมีเบ่งบาน ละอองหมอกพัดผ่าน กลีบบุปผามิรู้ร่วงโรยไปมากน้อยเท่าใด เป็นสำนวนในวรรณกรรมจีน สื่อความหมายถึงช่วงชีวิตอันสดใสของหญิงสาวได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ดอกถูหมี เป็นดอกไม้ที่บานเป็นชนิดสุดท้ายของปลายฤดูใบไม้ผลิ ต้นฤดูร้อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ดอกถูหมีบาน จึงหมายถึงช่วงสุดท้ายของฤดูกาลที่มวลบุปผาแข่งกันบานสะพรั่ง
[2] สามตำหนักหกหมู่เรือน หมายถึงเหล่านางสนม